ภูเขาจิ่งกัง เมืองฉือผิง
อาศัยความสามารถของทูตภูตดำ หากคิดจะไปที่ไหนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะเป็นทูตภูตดำใหม่อย่างไท่อินจื่อก็รู้จักวิชาทะลุกำแพง ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงภูตดำหมายเลขเก้าที่เป็นทูตภูตดำมานานตนนี้เลย
เมื่อได้รับคำสั่งจากนายท่าน ภูตดำหมายเลขเก้าก็เดินทางโดยไม่หยุดพัก จนเข้ามาถึงสถานที่ซึ่งเจ้าของสมาคมเขียนเครื่องหมายไว้บนแผนที่
แต่สิ่งที่ทำให้ภูตดำหมายเลขเก้าสงสัยก็คือ แม้จะมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วเขาก็ไม่มีเบาะแสอื่นอีก
เครื่องหมายสีแดงบนแผนที่ยังคงกะพริบแสง…แต่เขากลับไม่รู้ว่าหลังจากตนเองมาถึงที่นี่แล้วจะต้องทำอะไรต่อ
หากทำตามคำพูดของนายท่านแล้ว เขาต้องการให้ภูตดำหมายเลขเก้าช่วยเขาหาของอะไรสักอย่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เพราะตามที่ภูตดำหมายเลขเก้าเข้าใจ เหมือนว่าของนี้แม้แต่นายท่านก็ไม่แน่ใจ
‘ยังมีเรื่องที่เจ้าของสมาคมไม่แน่ใจอยู่ด้วยหรือ?’
ภูตดำหมายเลขเก้าไม่อยากเชื่อว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
แต่ภูตดำหมายเลขเก้านั้นมีความอดทนมาก อีกอย่างนายท่านคนใหม่ก็คงไม่มอบแผนที่ที่มีเครื่องหมายอย่างนี้ให้เขาโดยไม่มีเหตุผลหรอก บางทีเขาอาจจะต้องหาเบาะแสอยู่ที่นี่เอง
ดังนั้นเขาจึงมายังเมืองฉือผิง ส่วนสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ทำไมตนเองถึงเลือกมาหยุดอยู่ที่นี่อย่างรอคอยอีก
เพียงเพราะว่า…ในตอนที่เข้ามาในภูเขาจิ่งกังนั้น คำว่าฉือผิงก็แวบเข้ามาปรากฏในความคิดของเขา
ภูตดำหมายเลขเก้าคิดว่านี่คงเป็นอีกเบาะแสที่นายท่านมอบให้เขา
ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
บนถนนมีพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานอยู่มากมาย ภูตดำหมายเลขเก้ายืนอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแล้วมองไปยังบ้านเก่าหลังหนึ่งในซอยเงียบๆ
‘ทำไมเขาถึงมอง?’
เขาเองก็ไม่รู้
…
…
ดูเหมือนชีวิตของซานเอ๋อร์จะปรากฏความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย…แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
เธอยังคงเปิดร้านเต้าหู้ของเธอและยังคงดูแลลูกสาวเสี่ยวจืออยู่เช่นเดิม
ซานเอ๋อร์รู้สึกว่าชีวิตของตนเองเหมือนน้ำเต้าหู้ต้มที่กำลังรอให้เย็น น้ำเต้าหู้สีเหลืองจางๆ สงบนิ่งมากมีเพียงแค่ไอความร้อนลอยขึ้นมา
บนผิวของน้ำเต้าหู้แข็งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้แท่งไม้ไผ่ตักลงไปก็จะได้ของบางอย่างที่ดูยับย่นขึ้นมา…เป็นฟองเต้าหู้แห้ง
มาร์คเป็นเพียงแค่ฟองเต้าหู้แห้งที่โผล่ออกมาในชีวิตของเธอ?
“วางไว้ตรงนี้ได้ไหม?”
ทันใดนั้นซานเอ๋อร์ที่กำลังคิดอะไรอยู่หน้าโม่หินก็ได้ยินเสียงของมาร์คดังเข้ามาจากด้านหลัง ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจจนรีบหันกลับไป
เธอเห็นมาร์คสวมชุดเก่า…ชุดที่เดิมทีเป็นสีขาวแต่ตอนนี้เป็นสีเหลืองซีด ข้างมาร์คมีอุปกรณ์วางอยู่ไม่น้อย อุปกรณ์เหล่านี้เป็นแม่พิมพ์สำหรับพิมพ์เต้าหู้
เสื้อสีเหลืองซีด กางเกงม้วนขาขึ้นกับรองเท้าหนังแตกเล็กน้อย…พริบตาเดียว ดูเหมือนซานเอ๋อร์จะมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยซึ่งจากไปนานแล้ว
‘ทำไม…ถึงให้เขาสวมเสื้อผ้าพวกนี้?’
“เอ่อ…ได้แล้วครับ”
ซานเอ๋อร์รีบพยักหน้า “รบกวนคุณแล้ว ตามจริงคุณไม่ต้องทำเรื่องพวกนี้ก็ได้…”
แต่มาร์คกลับพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมเองก็ว่าง ผมวางของไว้ตรงนี้นะครับ คุณทำงานต่อเถอะ”
มาร์คไม่ได้อยู่ต่อนาน ซานเอ๋อร์พบว่ามาร์คเป็นคนค่อนข้างเงียบคนหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรกับตนเองมากเกินไป มีบางครั้งอาจจะคุยกับเสี่ยวจือบ้าง แต่คงเป็นเพราะรำคาญที่เสี่ยวจือรบกวน?
มาร์คไม่ได้พูดว่าเขาจะอยู่นานแค่ไหน ส่วนซานเอ๋อร์ก็ไม่ได้ถามว่าเขาจะอยู่นานเท่าไรเช่นกัน…เหมือนไม่มีประเด็นนี้อยู่เลย หรือจะพูดว่าต่างคนต่างหลีกเลี่ยงประเด็นนี้
ซานเอ๋อร์ทำงานต่อ
หลังจากจางคุนพบมาร์คและจากไปในวันนั้น วันถัดมาก็มาก่อกวนอีก เวลานั้นมาร์คไม่ได้ปรากฏตัวและไม่ได้ออกจากห้องเล็กๆ ที่เขาพัก แต่มีเพื่อนบ้านมาช่วยซานเอ๋อร์คลี่คลายปัญหา
เพียงแต่ในคืนวันนั้น ได้ยินว่าจางคุนดื่มเหล้าจนเมาหรือว่าเพราะอะไรอื่น เขาตกหลุมจนแขนขาหัก…ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และต้องนอนไปอย่างน้อยหนึ่งหรือสองเดือนถึงจะลงมาจากเตียงได้
บางครั้งซานเอ๋อร์ก็คิดว่า…จางคุนประสบอุบัติเหตุจริงๆ หรือเปล่า? ส่วนในเย็นวันนั้น ดูเหมือนมาร์คก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย
แต่เธอก็ไม่รู้
เธอรู้เพียงว่า ร้านขายเต้าหู้ของตนเองมีผู้ชายเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ เธอเพียงบังเอิญเขี่ยเขาขึ้นมาจากแม่น้ำเท่านั้น
ผู้ชายคนนี้บอกว่าตนเองความจำเสื่อม
จากนั้นเขาก็บอกว่าตนเองชื่อมาร์ค และจะอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว
ไอน้ำลอยตัวขึ้นมา ซานเอ๋อร์ช้อนฟองเต้าหู้ที่ใกล้จะแข็งตัวขึ้นมาแขวนเอาไว้ รอมันเย็นก็จะกลายเป็นฟองเต้าหู้แห้ง
…
…
วันนี้เฉิงอี้หรานก็ยุ่งทั้งวันเช่นเดิม…แน่นอนว่าต้องมีการพัฒนาเพราะได้รับทรัพยากรมากมายขนาดนี้
เฉิงอี้หรานรับรู้ได้ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น เพราะในสองวันนี้เฉิงอวิ๋นมาดูเขาบ่อยและดูเกรงใจขึ้นจนเฉิงอี้หรานตกใจ
แต่เขายังคงคิดถึงเรื่องที่ได้พบกับคุณจงคนนั้นในคลับ K&C…รวมถึงคำพูดสุดท้ายของเขา
เฉิงอี้หรานเพิ่งผ่านคาบเรียนมาทั้งวันจึงล้าเล็กน้อย เมื่อกลับมาถึงสถานที่พักผ่อนเขาก็พบว่าหลี่จื่อเฟิงมานั่งรออยู่นานแล้ว และกำลังอ่านนิตยสาร
คนคนนี้มักจะจัดการของที่ตนเองต้องการได้ดีเสมอ
“อ้า กลับมาแล้วเหรอ” หลี่จื่อเฟิงรีบวางนิตยสารในมือลง ยิ้มและพูดว่า “วันนี้เป็นไงบ้าง?”
“พอได้ครับ” เฉิงอี้หรานเพิ่งนั่งบนโซฟาก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้า เอนหัวลงบนโซฟามองเพดาน ท่าทางดูใจลอย
หลี่จื่อเฟิงหัวเราะขึ้นมา “มา ผมมีข่าวดีมาบอก ได้กำหนดเวลาของโชว์ครั้งแรกแล้ว เป็นโปรแกรมทองชั้นหนึ่ง คุณจะได้ร้องหนึ่งเพลงและพูดคุยกับพิธีกร!”
“เป็นข่าวดีจริงๆ” เฉิงอี้หรานกระตือรือร้นขึ้นมาและพยักหน้า
หลี่จื่อเฟิงเอ่ยว่า “ตั้งใจทำให้ดี ผมจะรอชัยชนะแรกของคุณ!”
เฉิงอี้หรานเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ทันใดนั้นหลี่จื่อเฟิงก็พูดขึ้นมาว่า “อี้หราน เมื่อวานผมได้เจอหงก้วนแล้ว”
“งั้นหรอ…” เฉิงอี้หรานพยักหน้า “เขาพูดอะไรบ้างครับ?”
“เขา…” หลี่จื่อเฟิงหยุดเล็กน้อย ส่ายหน้าและพูดว่า “เขาปฏิเสธผม ไม่ต้องการงานที่สถานีโทรทัศน์”
“ทำไมล่ะครับ?” เฉิงอี้หรานถามอย่างมึนงง “ไม่ใช่ว่า…ดีมากงั้นเหรอ?”
หลี่จื่อเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากพูดตามเหตุผลก็ดี แต่เขาบอกเรื่องบางอย่างกับผม…อี้หราน คุณบอกผมมาตามตรง คุณมีเรื่องอะไรปิดบังบริษัทหรือเปล่า?”
เฉิงอี้หรานชะงัก คิดไปถึงเรื่องกีตาร์ทันที…หรือจะถูกจับได้แล้ว? เฉิงอี้หรานคิดไปถึงเรื่องที่ตนเองแสดงต่อหน้าท่านประธานคนนั้น
คืนวันนั้นถึงเขาจะสยบแขกได้ทุกคน แต่กลับไม่สามารถสยบท่านประธานคนนั้นได้ เหมือนท่านประธานคนนั้นจะไม่ได้รับอิทธิพลจากกีตาร์ อีกทั้งยังพูดบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจความหมายอีก
จนถึงตอนนี้เฉิงอี้หรานก็ยังรู้สึกว่า คำพูดนั้นซ่อนความหมายอื่นเอาไว้ และเขาก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย
ตอนนี้เฉิงอี้หรานไม่อาจปกปิดความไม่สบายใจเอาไว้ได้ ดีที่มันปรากฏอยู่ต่อหน้าหลี่จื่อเฟิง “ผมไม่รู้ว่าคุณอยากพูดอะไร”
หลี่จื่อเฟิงหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า “อี้หราน หงก้วนบอกผมมาบางเรื่อง…เป็นเรื่องในตอนที่พวกคุณกำลังไล่ล่าตามหาฝัน”
“หงก้วน…” เฉิงอี้หรานชะงัก พูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “คงจะไม่ใช่…”
ที่แท้ก็ไม่ใช่เรื่องกีตาร์…แต่หากเป็นเรื่องในตอนที่พวกเขากำลังไล่ล่าฝันก็…
หลี่จื่อเฟิงพยักหน้าและเอ่ยว่า “ใช่ เขาบอกผมเรื่องที่พวกคุณเคยทำผิดกฎหมายและติดคุกอยู่หลายเดือน…”
“เขาบอกคุณงั้นเหรอ! เขา…” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ตัดบทพูดของหลี่จื่อเฟิง “เขา…ทำอย่างนั้น! ทำไม?!”
เฉิงอี้หรานเผยสีหน้าโกรธจัด
เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องเมื่อก่อน และพวกเขาก็สัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนั้นอีก แต่สัญญานั้น…กลับถูกทำลายลง!
หงก้วนนะหงก้วน…เป็นเพราะฉันมีโอกาสทำฝันให้เป็นจริงได้ นายก็เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น เห็นสัญญาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ?
เฉิงอี้หรานกำกำปั้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง