หลี่จื่อเฟิงรินน้ำร้อนให้เฉิงอี้หราน เพราะเฉิงอี้หรานนิ่งเงียบมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
หลี่จื่อเฟิงเห็นว่าท่าทีของเขาผ่อนคลายขึ้นมากแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ผมเคยพูดแล้วว่าบางครั้งคนก็เปลี่ยนไป”
เฉิงอี้หรานขมวดคิ้วและค่อยๆ หรี่ตาลง
หลี่จื่อเฟิงถอนหายใจ “เขาปฏิเสธงานในสถานีโทรทัศน์ ดูจากท่าทีแล้วคงไม่พอใจ ผมคิดว่าเขาคงอยากมีโอกาสเติบโตมากกว่านั้น และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่างไปจากคุณสักเท่าไร…ที่ผมหมายถึงก็คือ เขาน่าจะอยากเข้าวงการ”
“เขาจะเข้าวงการได้ยังไง!” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็รู้สึกโมโหขึ้นมา…เขาไม่รู้ว่าความโมโหนี้โผล่มาจากไหน จึงพูดต่อโดยไม่ทันได้คิดว่า “เขายังห่างจากผมมาก! เป็นไปไม่ได้!”
แต่เฉิงอี้หรานก็สงบลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าตนเองพูดเกินไป ขณะเดียวกันก็มองหลี่จื่อเฟิงและพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ผม…ผมไม่ได้คิดจะปิดบังบริษัท”
หลี่จื่อเฟิงแสดงสีหน้าเป็นมิตรและพูดว่า “ไม่เป็นไร เรื่องไม่ดีแบบนี้หากเปลี่ยนเป็นผมเองก็ไม่สะดวกที่จะพูด แต่คุณก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป มีคนในวงการจำนวนไม่น้อยที่เคยทำผิดพลาดก่อนเข้าวงการ ผมเห็นมาเยอะแล้ว คุณวางใจเถอะ ผมรู้ว่าจะจัดการยังไง แล้วก็จะจัดการให้ดี…พวกเราเป็นใครกัน? พวกเรามีหน้าที่จัดการเรื่องราวพวกนี้ให้คุณโดยเฉพาะ!”
“จะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหมครับ?” เฉิงอี้หรานเอ่ยถามอย่างกังวล
หลี่จื่อเฟิงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “คุณไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ต้องเชื่อในกำลังของบริษัทพวกเรา ฝ่ายจัดการความเสี่ยงของบริษัทก็ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเฉยๆ อีกอย่างพวกเราต้องการสนับสนุนคุณ อยากให้คุณโด่งดัง หากคุณไม่ดังแล้วพวกเราจะได้ประโยชน์อะไร?”
เฉิงอี้หรานนิ่งเงียบ…สำหรับวงการบันเทิงแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือปั้นดาราในสังกัดโด่งดัง
ตอนนี้เองหลี่จื่อเฟิงก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่อี้หราน มีบางเรื่องต้องพูดอย่างเปิดอก ผมไม่กลัวเป็นคนเลว เรื่องนี้มอบให้ผมจัดการเอง คุณต้องเชื่อใจผม มอบอำนาจให้ผมจัดการแทน อีกอย่างห้ามคุณไปติดต่อสัมพันธ์อะไรกับหงก้วนอีก”
“กีตาร์อันนั้นของคุณ คุณก็ไม่ยอมเปลี่ยน” เขาตบบ่าเฉิงอี้หรานและพูดเบาๆ ว่า “ผมก็รู้แล้วว่าคุณเป็นคนคิดถึงความสัมพันธ์ในอดีต ผมกลัวว่าคุณจะใจอ่อน แต่คุณต้องเข้าใจว่ามีบางคนรู้ว่าคุณใจอ่อนถึงได้คิดพึ่งพาและฉกฉวยผลประโยชน์ ดังนั้นต้องรู้จักขอบเขต…คุณดูสิ แม้แต่เรื่องเก่าก่อนเขาก็ยังเปิดเผยออกมา ยังมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีก? หากคนไม่มีความละอายแล้วก็ไม่กังวลอะไรอีก คุณว่าจริงไหม?”
“คุณ…พวกคุณคิดจะทำอะไร?” เฉิงอี้หรานถามอย่างลังเล
หลี่จื่อเฟิงเอ่ยว่า “เรื่องนี้คุณวางใจได้ พวกเราไม่ทำเรื่องผิดกฎหมายแน่นอน หากอยู่ในวงการนี้ก็มักจะใช้วิธีอื่น แต่ผมรับรองว่าไม่มีอะไรรุนแรงเกินไป เพราะพวกเราก็ไม่อยากทำเรื่องไม่ดีสักเท่าไร ผมรู้สึกว่าคุณหงคนนี้เป็นคนไม่ค่อยซื่อตรงเท่านั้น เพียงแต่ชดเชยให้เพียงพอ เขาก็จะไม่ก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ หรอก เพราะถ้าก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย คุณคิดว่าใช่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นเฉิงอี้หรานเป็นกังวล หลี่จื่อเฟิงก็พูดเบาๆ ว่า “อี้หราน โชว์แรกของคุณได้กำหนดเวลาแล้ว ถ้าไขว้เขวเพราะเรื่องนี้จนตอนนั้นแสดงไม่ดีก็จะส่งผลต่ออนาคตของคุณ คุณต้องคิดถึงอนาคตและความฝันของคุณให้ดี ผู้ชายถือการงานเป็นหลัก อีกอย่างหากเป็นตามที่คุณพูดว่าหงก้วนรักภรรยามาก เขาก็คงไม่คิดจะทำเรื่องอะไรให้ภรรยาเป็นกังวลหรอก จริงไหม?”
“ผมเข้าใจแล้ว” เฉิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า “งั้นฝากคุณด้วยนะครับ”
หลี่จื่อเฟิงยิ้ม “วางใจเถอะ ผมเชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องแบบนี้ คุณพักผ่อนเถอะ ผมไม่รบกวนคุณแล้ว จริงสิ ผมจัดรายการที่ง่ายและผ่อนคลายให้คุณ คุณจะได้ปรับตัวสักหน่อย”
เฉิงอี้หรานชะงัก ไม่เข้าใจว่ารายการง่ายๆ ที่หลี่จื่อเฟิงพูดนั้นคืออะไร
แต่หลังจากหลี่จื่อเฟิงออกไปแล้ว ประตูห้องพักผ่อนก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ผู้หญิงมากเสน่ห์คนหนึ่งก็เดินเข้ามา
เธอปิดประตู ยิ้มและค่อยๆ เข้ามาตรงหน้าของเฉิงอี้หราน ก่อนนั่งลงบนตักของเขา จับใบหน้าของเขาขึ้นมา
ความอ่อนโยนนี้เปิดประตูสัญชาตญาณผู้ชายของเฉิงอี้หรานในพริบตา ทำให้เขาหายใจอย่างกระชั้นชิด…
…
…
เจ้าของสมาคมเคาะนิ้วบนเคาน์เตอร์เบาๆ จากนั้นจอแสงขนาดประมาณยี่สิบสองนิ้วที่ฉายอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆ หายไป
ภาพสุดท้ายบนจอแสงเป็นภาพผู้ชายและผู้หญิงกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในน้ำวนอันน่าตื่นเต้น
วันนั้นเจ้าของสมาคมบอกว่าอยากดื่มอะไรสักอย่าง คุณหนูสาวใช้จึงตั้งใจทำค็อกเทลรสใหม่ขึ้นมา
โยวเย่เขย่าเชคเกอร์อย่างมีความสุข มองดูน้ำเหล้าสีฟ้าค่อยๆ ไหลลงแก้ว จากนั้นคุณหนูสาวใช้ก็คีบน้ำแข็งใส่ลงไป ทุกๆ การเคลื่อนไหวดูเป็นธรรมชาติมาก
‘ติ๊ง’
เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบแก้วดังออกมาเบาๆ โยวเย่ค่อยๆ ผลักผลิตภัณฑ์ที่ทำเสร็จแล้วไปตรงหน้าลั่วชิว “นายท่าน เสร็จแล้วค่ะ”
“อืม” ลั่วชิวยิ้ม ไม่ได้หยิบขึ้นมาลองทันที แต่พูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ฉันกำลังสงสัยว่าหลี่จื่อเฟิงเป็นทูตภูตดำของสมาคมเราหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นโยวเย่ยิ้ม ลั่วชิวถึงได้พูดด้วยท่าทางแปลกประหลาดว่า “ฝีมือแบบนี้น่าสนใจ”
โยวเย่พูดขึ้นว่า “การปลุกปั่นเป็นวิธีที่มนุษย์ชอบใช้มากที่สุด เพราะการปลุกปั่นทำให้ได้รับประโยชน์โดยง่าย…หลี่จื่อเฟิงอยากให้เฉิงอี้หรานเชื่อเขาจนหมดใจ จึงต้องเสียสละของบางอย่างค่ะ”
ลั่วชิวพูดขึ้นอย่างฉับพลันว่า “ฉันคิดขึ้นได้ว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนในช่วงมัธยมปลายที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ก็คงวิจารณ์ว่าโลกของผู้ใหญ่ช่างสกปรก”
“นายท่านไม่ชอบหลี่จื่อเฟิงคนนี้อย่างงั้นเหรอคะ?” โยวเย่ถามเบาๆ
ในที่สุดลั่วชิวก็ชิมผลิตภัณฑ์ของคุณหนูสาวใช้ ทำให้รสชาติหยุดอยู่ในปากและเบนสายตาไปมองโยวเย่ “ไม่หรอก ฉันแค่คิดว่าหน้าตาของเขาดูเป็นจริงมากกว่า…”
เจ้าของสมาคมลั่วพูดเบาๆ ว่า “แสดงถึงความจริงเพียงส่วนเดียว”
พูดไปลั่วชิวก็ตักเครื่องดื่มชนิดใหม่ออกมานิดหน่อย แล้วยื่นไปตรงหน้าของโยวเย่ “ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันจะทำให้เธอรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง”
นิ้วของเจ้าของสมาคมแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของคุณหนูสาวใช้และทำให้จิตวิญญาณในร่างกายเทียมของเธอสัมผัสได้ถึงคำว่า…รสชาติชั่วคราว
“หวาน”
นัยน์ตาสีฟ้าไพลินของโยวเย่พลันเปล่งประกาย