ตอนที่ 125-4 ใช้เหยื่อล่อ รอคอยให้มันมาติดกับ

จำนนรักชายาตัวร้าย

คนทั้งหกพูดคุยกันอยู่อีกสักครู่ ก็ถึงเวลที่ต้องลาจากกัน ก่อนจากซย่าโหวฉิงเทียนได้มอบนกหวีดไม้ไผ่ให้กับเหลียนจิ่นและตี้อู่เฮ่ออี้คนละอัน

 

 

“รับเอาไว้ เมื่อไปถึงอู๋โยวค่อยติดต่อกับข้า!”

 

 

“นี่คืออะไร?”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้ลองเป่าครั้งสองครั้ง ไม่นานพิราบสื่อสารก็บินร่อนอยู่บนท้องฟ้า

 

 

“พิราบสื่อสาร!” ตี้อู่เฮ่ออี้ร้องออกมาด้วยอาการตกตะลึง

 

 

“น้องเขย นี่เจ้าหมายความว่าข้าจะมีพิราบสื่อสารเป็นของตัวเองหนึ่งตัวอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ดวงตาของตี้อู่เฮ่ออี้เป็นประกาย

 

 

“ให้เจ้า!” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบก็หยิบผ้าแพรคาดเอวขึ้นมามัดอวี้เฟยเยียนเอาไว้ด้วยกันกับตนเอง

 

 

“เจอกันที่เมืองอู๋โยว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนยังไม่ทันที่จะเข้าใจ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลากเอานาง ‘ตู๊บ’ กระโดดลงไปในบึงหลิงหยวนทันที

 

 

“เฮ้ยๆ น้องเขย ข้ายังพูดไม่จบเลย!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้โบกมือไหวๆ จนสุดท้ายก็ยอมแพ้และค่อยๆลดมือลงเองในที่สุด

 

 

“ใจร้อนเสียจริงๆ!”

 

 

อีกชั่วครู่หนึ่ง โม่ซางก็จัดการมัดตัวเองติดกับเหลียนจิ่น จนเชียนเย่สวี่ยที่มองดูอยู่ยิ่งรู้สึกว่าสองคนนี้มีอะไรแปลกๆอย่างที่อวี้เฟยเยียนว่าจริงๆ ชายรูปงามรักกับชายรูปงาม!

 

 

น่าอิจฉาจริงๆเลย!

 

 

อะไรจะเร่าร้อนปานนี้!

 

 

“ข้าล่วงหน้าไปก่อนละ!” เหลียนจิ่นอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นโม่ซางและเขาก็กระโดดลงไปในบึงหลิงหยวนเช่นกัน

 

 

“เอ่อ เช่นนั้นพวกเรา…”

 

 

เมื่อคนทั้งสี่ล่วงหน้าไปกันหมด กลับเป็นตี้อู่เฮ่ออี้ที่เริ่มขวยเขินขึ้นมา

 

 

ถึงแม้ว่าเขาและเชียนเย่เสวี่ยจะเปิดเผยความในใจต่อกันและกันออกไปแล้ว และในเวลาปกติก็มักจะเคยจับมือถือแขนตามประสาคนรักกันแล้วด้วย แต่การที่ทั้งสองคนต้องมาถูกมัดติดกันได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

 

 

แน่นอนว่าเชียนเย่เสวี่ยไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเชียนเย่เสวี่ยแม้แต่น้อย นางกำลังดึงสายคาดเอวออกมาแล้วมัดตี้อู่เฮ่ออี้กับตัวเองเข้าด้วยกัน

 

 

เมื่ออะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่มสัมผัสกับหน้าอกของเขา ทำเอาตี้อู่เฮ่ออี้หน้าแดงระเรื่อ

 

 

‘ดูเหมือนว่า ลูกแพร์ด้านหน้าของนางจะขยายใหญ่ขึ้นนะ!’

 

 

“เหอะๆ…”

 

 

ใบหน้าขาวสะอาดเรียวเล็กของตี้อู่เฮ่ออี้เริ่มร้อนเห่อขึ้น เขาแสดงอาการขวยเขินบิดตัวไปมา

 

 

ซึ่งหารู้ไม่ว่า การขยับตัวของเขาในตอนนี้ ทำให้เนื้อยิ่งแนบเนื้อมากยิ่งขึ้น รสสัมผัสยิ่งชัดเจน ทำให้เขาลนลานจนต้องรีบยึดหลังตรง อกผายไหล่พึ่ง ตัวแข็งราวกับหิน

 

 

“เจ้าทึ่ม เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” เชียนเย่เสวี่ยใช้มืออังหน้าผากของตี้อู่เฮ่ออี้เล็กน้อย

 

 

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา!”

 

 

“ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ตี้อู่เฮ่ออี้ออกอาการลนลาน ซึ่งเชียนเย่เสวี่ยก็จ้องมองอยู่เป็นนาน จนในที่สุดก็รู้ว่าเขานั้นกำลังเขินอาย นางจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

“ฮ่าๆ เจ้าทึ่ม เจ้าไม่เคยแตะต้องหญิงใดมาก่อนเลยใช่ไหมเนี่ย?”

 

 

เชียนเย่เสวี่ยเจตนาขยับเขยื้อนร่างกายเล็กน้อย

 

 

“เป็นอย่างไร รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? ก่อนหน้านี่เจ้าไม่ชอบที่ข้าหน้าอกเล็กไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เป็นอย่างไร?”

 

 

“ข้า ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าอกเล็กเสียหน่อย!” ตี้อู่เฮ่ออี้หน้าแดงระเรื่อง น้ำเสียงเริ่มตะกุกตะกัก

 

 

“จริงหรือ?” เชียนเย่เสวี่ยกล่าวไปพลางก็กระแซะเข้าใกล้ตี้อู่เฮ่ออี้เข้าไปอีก จนเรือนร่างของทั้งสองคนแนบชิดติดกัน จนในที่สุดตี้อู่เฮ่ออี้ก็ทนไม่ไหวลุกพรวด ขึ้นมา

 

 

คราวนี้กลายเป็นเชียนเย่เสวี่ยที่หน้าเริ่มแดงขึ้นมา

 

 

“เอาเถอะ…”

 

 

ยั่วยวนชายบริสุทธิ์เป็นเรื่องไร้คุณธรรม!

 

 

ไม่รู้ว่านางกำลังทรมานตี้อู่เฮ่ออี้หรือกำลังทรมานตัวเองอยู่กันแน่?

 

 

“พะพวกเรา พวกเราไปกันเถอะ!” เมื่อร่างกายเริ่มขยับ ทำเอาตี้อู่เฮ่ออี้อึดอัดไม่น้อย

 

 

คราวนี้ขายหน้าไปถึงต้นตระกูลทีเดียว!

 

 

ทำเรื่องน่าขายน่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำลายภาพพจน์ของตนเองจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ!

 

 

ทำอย่างไรดี!

 

 

หากว่าเชียนเย่เสวี่ยเข้าใจผิด คิดว่าเขาคือหมาป่าจอมหื่นเล่า จะว่าอย่างไรกัน?

 

 

“ดี——” แก้มทั้งสองข้างของเชียนเย่เสวี่ยแดงระเรื่อ หน้าตาท่าทางเจ้าเล่ห์กว่าปกติ ทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้ถึงกับตกตะลึง

 

 

“เจ้าทึ่ม เจ้ามองอะไรอยู่นะ!” สายตาเชื่อมหวานของตี้อู่เฮ่ออี้เอาแต่จ้องหน้านางเช่นนี้ ทำให้เชียนเย่เสวี่ยแสดงอาการเขินอายออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“เสวี่ย เจ้างามยิ่งนัก!”

 

 

“เจ้านี่มันเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ!”

 

 

เชียนเย่เสวี่ยเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา โอบกอดตี้อู่เฮ่ออี้เอาไว้แล้วกระโดดลงไปในบึงหลิงหยวนพร้อมกัน

 

 

“แคกๆ!”

 

 

เหม่อมองหญิงงามจนลืมกลั้นหายใจ คราวนี้ตี้อู่เฮ่ออี้ถึงกับสำลักน้ำ จนทุรนทุรายอยู่ใต้น้ำ

 

 

วินาทีนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างที่อ่อนนุ่มประกบเข้ากับริมฝีปากองเขาอย่างแนบชิด เพื่อแบ่งลมหายใจให้กับเขา

 

 

นี่มัน…

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้เบิ่กตาโพลง จึงประสานสายตากับดวงตาที่เปล่งประกายแวววาวของเชียนเย่เสวี่ยพอดิบพอดี

 

 

“เจ้าทึ่ม ข้าชอบเจ้ามากนะ!”

 

 

เชียนเย่เสวี่ยยิ้มแล้วปิดเปลือกตาลง จูบตี้อู่เฮ่ออี้ต่อไป

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการจุมพิตที่ดูดดื่มครั้งแรกของเขาจะเกิดขณะที่อยู่ในสถานที่เช่นนี้ เวลาแบบนี้

 

 

“เสวี่ย ข้าก็ชอบเจ้ามากเช่นกัน!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้เลียนแบบเชียนเย่เสวี่ย เขาหลับตาลง คนทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่มต่อไป…

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนผุดขึ้นมาตากบึงหลิงหยวนที่หนึ่ง ณ เมืองอู๋โยว

 

 

“เฮือก!”

 

 

อวี้เฟยเยียนนั่งอยู่ที่ริมบึงแล้วพยายามหายใจเอาอากาศเข้าไปให้ได้มากที่สุด รอคอยจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนแกะเชือกที่ผูกคนทั้งสองเอาไว้ด้วยกันออกจนแล้วเสร็จ นางถึงได้ยืนขึ้น แล้วใช้พลังจัดการทำให้เส้นผมและเสื้อผ้าของนางแห้ง

 

 

สถานที่ๆพวกเขามาถึงราวกับเป็นตีนเขาแห่งหนึ่ง

 

 

จวบจนกระทั่งทั้งสองคนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อย จึงพบว่าที่ตีนเขาลูกนี้เป็นเมืองขนานเล็ก

 

 

ในตอนนั้นเอง ท้องของอวี้เฟยเยียนก็ร้อง ‘จ๊อกๆ’ ประท้วงขึ้นมา นางจึงหันไปกล่าวกับซย่าโหวฉิงเทียนท่าทางเขินอาย

 

 

“ข้าหิวแล้ว!”

 

 

“แมวน้อยจอมโง่!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียน หยิกแก้มทั้งสองข้างของนางอย่างหมันเขี้ยว แล้วจับมือนางพากันเดินลงเขา หาโรงเตี๊ยมสักแห่ง

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเข้าไปด้านในนั่งลงและเริ่มสั่งอาหาร ขณะเดียวกันอวี้เฟยเยียนจึงเริ่มมองไปรอบๆด้วยความสนอกสนใจ

 

 

อู๋โยวไม่เหมือนกับหลัวอวี่จริงๆด้วย

 

 

เพียงแค่แขกของโรงเตี๊ยมในเมืองเล็กก็เป็นถึงขั้นอ๋อง อวี้เฟยเยียนยังมองเห็นจอมเทวาและปรมาจารย์ แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ของดรงเตี๊ยมก็ยังเป็นถึงจอมปราชญ์

 

 

ขนาดที่นี่เป็นเพียงเมืองเล็กๆเท่านั้นยังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าในเมืองใหญ่จะขนาดไหน!

 

 

อยากเห็นจังเลย!

 

 

เมืองอู๋โยว ข้ามาแล้ว!

 

 

อวี้เฟยเยียนยิ้มหวาน

 

 

“ได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่แห่งสกุลหนานกงล้มป่วยด้วยโรคประหลาด แม้แต่ผู้เฒ่าแห่งเผ่าตันขวายังไม่อาจรักษาได้เลย!”

 

 

“ก็ใช่นะสิ! เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองเฮ่อ ข้าเคยพบกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกงมาก่อน งามราวกับดอกไม้แรกแย้ม ท่าทางท่าทางร่าเริงสดใสและเป็นมิตร กลับต้องมาล้มป่วยเช่นนี้ น่าสงสารเสียจริง!”

 

 

เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเริ่มลงมือกินข้าว เสียงพูดคุยของโต๊ะข้างๆก็ดังแว่วมา

 

 

หนานกงจื่อหลิง?

 

 

คนที่พวกเขาพูดถึงคือหลิงเอ๋อร์ใช่ไหม?

 

 

อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้น สบสายตากับซย่าโหวฉิงเทียน ในขณะที่โต๊ะข้างๆยังคงพูดคุยกันต่อไป

 

 

“ประมุขแห่งสกุลหนานกงถึงกับมีรางวัลหนึ่งแสนหลิงปี้ เพื่อตามหาผู้มีวิชาสูงส่งมารักษาให้กับคุณหนู”

 

 

“หนึ่งแสนหลิงปี้? มากเพียงนั้นเชียว! ประมุขหนานกงรักคุณหนูจริงๆเลยนะ!”

 

 

“ก็ใช่นะสิ! น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่หมอ! แต่ว่า ผู้เฒ่าแห่งตันขวายังรักษาคุณหนูใหญ่ไม่ได้ ข้าว่าเรื่องนี้ต้องมีเลศนัย!”

 

 

“พี่ชายท่านนี้ คนที่ท่านกล่าวถึงคือหนานกงจื่อหลิงใช่หรือไม่?”

 

 

ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ทนไม่ไหว เดินเข้าไปซักถาม จู่ๆก็มีสาวงามหยาดฟ้ามาดินเข้ามาหา ทำเอาคนทั้งสองถึงกับตกตะลึง

 

 

“นางล้มป่วยอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

 

เมื่อคนงามซักถาม แน่นอนว่าคนทั้งสองย่อมเต็มใจอธิบายเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่มีหมกเม็ด

 

 

“ที่ปากทางเข้าเมืองมีประกาศของสกุลหนานกงติดอยู่ แม่นางน้อย เจ้าลองไปดูเอาก็แล้วกัน!”