ไม่นาน เซียวอวี๋ก็มาถึงสถานที่ซึ่งกองทัพของเขากำลังรวมพลกันอยู่ หลังจากที่ร่อนลงพื้น เซียวอวี๋ก็กวาดมองไพร่พลของเขาอย่างพึงพอใจ

มีกองทัพเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าไปที่ใด ตัวเขาก็รู้สึกอุ่นใจเสมอ เซียวอวี๋ประหลาดใจเมื่อพบว่า ไม่เพียงแต่กองทัพของเขาเท่านั้นที่มา กระทั่งบุรุษผู้นำกลุ่มภาคีอาชาเหล็กก็มาพร้อมกันด้วย บุรุษผู้นั้นส่งยิ้มทักทาย “ท่านดยุคเซียว” เซียวอวี๋รีบกล่าวตอบ “พี่ชายคาสโซ่นี่เอง ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” เซียวอวี๋กระตือรือร้น เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลากรอันมีค่า ทั้งพวกเขายังแข็งแกร่ง เมื่อเห็นท่าทีของเซียวอวี๋ ใบหน้าของคาสโซ่ก็ฉายแววยินดี “ได้ยินว่าท่านกำลังลำบาก พวกเราจึงมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่” เซียวอวี๋ทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องร้องขอ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยก่อน อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องเพราะเวลานี้เขาต้องการกำลังพลเพิ่มจริงๆ หากอีกฝ่ายมีคำร้องขอ เขาก็จะพยายามช่วยเท่าที่กระทำได้ เมื่อได้คนกลุ่มนี้มาเสริม ความมั่นใจว่าจะสามารถบุกยึดเมืองเม็กก็เพิ่มขึ้นมาก ครั้งนี้ ภาคีอาชาเหล็กพาพี่น้องมาร้อยกว่าคน ซึ่งแต่ละคนก็ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว “ประเสริฐ ข้ากำลังต้องการคนอยู่พอดี การยื่นมือเข้าช่วยของท่านครั้งนี้ไม่ต่างจากฝนในยามแล้งเลยจริงๆ” “นี่….ก็ดี” คาสโซ่ยังไม่ได้เอ่ยปากถึงเรื่องที่จะร้องขอ ตัวเขาเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นเขาก็ควรจะหยิบยื่นให้อีกฝ่ายก่อน ดังนั้น เซียวอวี๋และคาสโซ่จึงเดินพลางคุยพลางไปยังกลางค่าย และในระหว่างทาง เซียวอวี๋ก็ได้พบกับเหล่าฮีโร่และสอบถามถึงสถานการณ์ จากนั้น เซียวอวี๋ก็เห็นไค่เอ๋อร์และมารดากำลังกอดกับสกาเล็ตอย่างอบอุ่น สกาเล็ตหลั่งน้ำตา นางไม่คิดว่าเซียวอวี๋จะสามารถพามารดาและน้องสาวของนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย มองดูไพร่พลกองทัพของเซียวอวี๋ที่อยู่โดยรอบแล้ว สกาเล็ตก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก นางยิ่งเชื่อมั่นว่าการตัดสินของนางเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หลังจากนางมาพึ่งพิงเซียวอวี๋ ต่อให้ไม่อาจฟื้นฟูหอการค้าฝูลู่กลับมาได้ อย่างน้อยพวกนางก็ยังมีที่พึ่งพิงอันปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง เซียวอวี๋ก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ในใจสัมผัสถึงความหนาวเหน็บอันเกินบรรยาย ร่างกายเริ่มแข็งทื่อเพราะได้ยินสุ่มเสียงหนึ่ง เสียงนั้นคือเสียงของมู่เสวี่ย คู่หมั้นสุดน่ารักของเขาเอง….. “อา…นี่….เสี่ยวเสวี่ย…จะ…เจ้าฟื้นแล้วหรือ? เจ้าสบายดีหรือไม่ ข้าคิดถึงเจ้าสุดหัวใจเลยนะ” เซียวอวี๋ร้อนลน เขาไม่พูดเปล่าหากแต่รีบเข้าไปกอดนางไว้ “ไป” สิ้นเสียง เซียวอวี๋ก็ลอยไปชนกับต้นไม้หลายต้น โชคดีที่เขามีร่างกายแข็งแรง มิเช่นนั้นคงมีเลือดตกยางออกหรือกระทั่งสิ้นชีวีเลยก็เป็นได้ “แค่กๆ…เมียจ๋า ไม่ต้องอารมณ์พลุ่งพล่านถึงเพียงนี้ก็ได้” เซียวอวี๋เหลือบมองพลางกล่าวเสียงอ่อน “ดูให้ชัดๆ ข้าใช่ภรรยาของเจ้าหรือ?” หลินมู่เสวี่ยมองเซียวอวี๋อย่างเย็นชา ทั้งสายตาของนางยังเย่อหยิ่งประดุจกำลังมองมดปลวก “เป็นเจ้า เอกวินน์ เจ้ายังอยู่อีกหรือ? เมียข้าล่ะ? หากวันนี้เจ้าไม่เล่าโดยละเอียด บิดาจะไม่เลิกราเด็ดขาด!” เซียวอวี๋เพ่งตามองดู เขาก็เข้าใจแล้วว่าตอนนี้เอกวินน์กำลังควบคุมร่างของมู่เสวี่ยอยู่ “เจ้าช่างเป็นบุรุษโสโครกเสียจริง มีภรรยาอยู่แล้วกลับยังออกไปเที่ยวแทะโลมสตรีอื่น ทั้งยังพากลับมาด้วยถึงสองคน” เอกวินน์ยืนเชิดหน้ามองเซียวอวี๋ ใบหน้าสวยซึ้งของนางดูเย็นชาจนผู้อื่นไม่กล้ามองตรงๆ “นี่…ดูเหมือนไม่ใช่ธุระกงการของเจ้ากระมัง?” ได้ยินแบบนั้น เซียวอวี๋ก็คร่ำครวญ มันเป็นเพียงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตัวเขาไม่เคยคิดจะออกไปเด็ดดมดอกไม้ริมทางเลยจริงๆ(?) “หึ ตอนนี้ร่างนี้ถูกใช้ร่วมกันโดยนางและข้า แล้วบุรุษเยี่ยงเจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรกับข้าหรือ?” เอกวินน์กล่าวอย่างถือดีราวเทพธิดาพบปะปุถุชน ซึ่งอันที่จริง เอกวินน์นั้นเป็นเทพธิดาจริงๆ ตอนนี้เทพธิดานางนี้และมู่เสวี่ยกำลังใช้ร่างร่วมกัน ดูเหมือนนางจะไม่มีหนทางกำจัดวิญญาณของมู่เสวี่ยโดยสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ มันอาจจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ที่พวกนางทั้งสองจะต้องอยู่ร่วมกัน “นี่…ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดอย่างไร เสี่ยวเสวี่ยเป็นภรรยาของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมต้องกังวลสนใจนาง แล้วเจ้าจะเข้ามายุ่งกับความรักของพวกเราได้อย่างไร นักบวชแยกจากวัดไม่ได้ฉันใด เจ้าก็แยกพวกเราสองคนออกจากกันไม่ได้ฉันนั้น เจ้าเคยได้ยินหรือไม่? หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกประณาม!” เซียวอวี๋จับแพะชนแกะปะติดปะต่อคำขึ้นเอง “เหอะ ใยข้าจะไม่มีสิทธิ์ ร่างกายนี้เป็นของข้าครึ่งหนึ่ง หากว่าข้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็ไม่อาจแต่งนางเป็นเมีย” กล่าวจบ แววตาของเอกวินน์ก็ปรากฏแสงขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดหน้าเดินจากไป “นี่…นี่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเสี่ยวเสวี่ยของข้าจะต้องถูกนางควบคุมตอลดไป?” เซียวอวี๋หันไปถามอลอนโซ่ที่ด้านข้าง อลอนโซ่ตอบอย่างจนปัญญา “ไม่หรอก ไม่กี่วันก่อน คุณหนูเสวี่ยและเอกวินน์ผลัดกันควบคุมร่าง แม้นางจะเป็นเอกวินน์ แต่นางก็ยังคงเป็นคุณหนูเสวี่ยด้วย” “หา? เรื่องบ้าอะไรกัน?” เซียวอวี๋เงยหน้าคร่ำครวญต่อฟ้า นี่จะดีได้อย่างไร? ตอนนี้วิญญาณครึ่งหนึ่งของภรรยาของเขาถูกเปลี่ยนเป็นของเอกวินน์ไปแล้ว? เทพธิดานางนี้ไม่เหมือนกับเหล่าฮีโร่ของเขา ฮีโร่เหล่านั้นล้วนอยู่ใต้บัญชาของเขา ดังนั้นจึงเชื่อฟังคำสั่ง ทว่าเอกวินน์นั้นไม่ใช่ นางคือเอกวินน์ มารดาของเมดีฟที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจ้าวมนตราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ ตอนนั้นเอง สกาเล็ตก็เดินเข้ามาหา ร่องรอยหยาดน้ำตายังคงประดับอยู่บนใบหน้าของนาง “นายน้อยเซียว ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่านจริงๆ พระคุณนี้ใหญ่ลลวงนัก ข้าไม่ทราบจะตอบแทนท่านได้อย่างไร ข้าไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าทราบว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้ว ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงของท่าน ข้าจะอธิบายต่อนางเอง” “อา…นี่…แค่กๆ…จริงๆแล้ว เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่สตรีไร้เหตุผล เมื่อครู่นี้ไม่ใช่นาง นางเป็นเทพธิดา ดังนั้นจึงแสดงท่าทีเช่นนั้น สกาเล็ตน้อยอย่างได้กังวล ข้าเป็นบุรุษ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง สิ่งที่ทำลงไปแล้วข้าย่อมต้องรับผิดชอบ” เห็นสกาเล็ตมีจิตใจดีเช่นนี้ ในใจของเซียวอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกดีต่อนาง ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ ใบหน้าของนางก็เริ่มแดง นางทราบแล้วว่าเซียวอวี๋กับน้องสาวของนางหลับนอนร่วมกันแล้ว กระนั้นนางก็ไม่คิดตำหนิแต่อย่างใด หากไม่ใช่เซียวอวี๋นางก็คงถูกยกให้ผู้อื่น อย่างนั้นไม่สู้ยกให้เซียวอวี๋จะดีกว่าหรือ บุรุษเช่นนี้ย่อมคู่ควรแล้ว “นายน้อยเซียว ตอนนี้น้องสาวและมารดาของข้าก็ปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จากไปเถอะ ขอเพียงสถานที่พักอาศัยเล็กๆในอาณาจักรพยัฆ์เมฆาสำหรับพวกเราก็พอ” สกาเล็ตกล่าวเสียงเบา เซียวอวี๋ได้ช่วยเหลือน้องสาวและมารดาของนาง นางพอใจแล้วและไม่กล้าคาดหวังไปมากกว่านี้ อย่างไรเสียทีนี่ก็คือเมืองเม็กที่มีทหารประจำการมากมาย การจะช่วยเหลือคนที่เหลือจึงไม่ยากดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์ ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี๋ก็รีบโบกไม้โบกมือ “นี่จะได้อย่างไร? ข้าสัญญาแล้วว่าจะช่วยคนของเจ้าออกมาทั้งหมด อีกทั้งข้ายังต้องการบุคคลากรด้านธุรกิจไว้ช่วยงานในอนาคตอีกด้วย ทั้งเซี่ยชานและคนอื่นๆ ข้าล้วนต้องการ” ได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะนึกยินดี ทว่าสีหน้าของนางยังฉายแววกังวล “แต่นั่นยากเย็นยิ่ง” เซียวอวี๋เผยรอยยิ้ม “สำหรับผู้อื่นอาจจะยาก แต่ไม่ใช่สำหรับข้า เจ้าก็ทราบว่าข้านั้นเป็นใคร ข้าคือบุตรชายของเซียวซานเทียน ปีนั้นบิดาของข้าเคยบุกตีเมืองนี้เสียยับเยิน แล้วใยข้าจะทำบ้างไม่ได้?” ได้ยินดังนั้น สกาเล็ตก็คุกเข่าและพลางกล่าวเสียงสะอื้น “นายน้อยเซียว สกาเล็ตไม่ทราบจะทดแทนคุณท่านได้อย่างไรแล้ว” เซียวอวี๋รีบโอบกอดนางพลางกล่าวปลอบโยน “พูดเรื่องอะไรกัน? เจ้าเป็นสตรีของข้า ไม่จำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด แต่หากจะตอบแทนจริงๆ เช่นนั้นตอนขึ้นเตียงก็ทำตัวน่ารักๆเถอะ ฮี่ฮี่…..” ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ สกาเล็ตก็พยักหน้าอย่างเอียงอาย “หึ พอข้าไม่อยู่ ท่านก็เจ้าชู้ไปทั่ว” เสียงหวานเสียงหนึ่งก็พลันแทรกเข้ามา เซียวอวี๋หันกลับไป และพบว่าหลินมู่เสวี่ยคนงามกำลังยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล แววตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะของนางจับจ้องมองเซียวอวี๋เขม็ง ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว เซียวอวี๋ก็ทราบว่าครั้งนี้นางคือหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์ เซียวอวี๋ไม่ได้พบกับนางมานาน ในใจจึงรู้สึกโหยหา เขารีบใช้เทเลพอตไปข้างนางและรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด “เสี่ยวเสวี่ย ข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว” เซียวอวี๋ทราบว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย อธิบายมากไปก็รังแต่จะสร้างความไม่สบายใจให้กับนาง ตอนนี้ เพียงแสดงท่าทีหวานซึ้งแสดงความรักอย่างเต็มเปี่ยมก็พอ “หึ ยังคิดถึงข้าด้วยหรือ? ถ้าข้าไม่อยู่ด้วย ท่านก็ไปหยอกเย้ากับสตรีอื่น” แม้ปากจะว่าไปอย่างนั้น แต่ชัดเจนว่านางไม่ได้โกรธจริงๆ เพียงตำหนิไปอย่างนั้นเอง เซียวอวี๋ยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องมันยาว อย่าเพิ่งคิดมากเลย ตอนนี้มาให้ข้าจูบให้หายคิดถึงหน่อย” ได้ยินดังนั้น มู่เสวี่ยก็แค่นเสียง กระนั้นก็ยังยอมให้เซียวอวี๋จูบอยู่ดี คนทั้งสองพลอดรักกันกลางค่าย เหล่าผู้ที่อยู่โดยรอบต่างก็เบนสายตาเสมองไปทางอื่น