เซียวอวี๋และหลินมู่เสวี่ยตัวติดกันราวกับเงา พวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องสกาเล็ต เมื่อเพลิงรักถูกจุดขึ้นแล้ว ยังจะคำนึงถึงเรื่องอื่นไปใย?

ทั้งสองขึ้นไปบนรถม้า พวกเขายิ่งตัวติดกันกว่าเดิม สำหรับเซียวอวี๋ที่เคยลิ้มรสชาติระหว่างชายหญิงแล้ว แล้วตอนนี้เขายังจะทนได้อีกหรือ? ครั้งนี้ หลินมู่เสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง นางเพียงแข็งขืนแต่พอประมาณจนทำให้เซียวอวี๋ร้อนรุ่มกว่าขึ้นมา หลินมู่เสวี่ยเป็นคนฉลาด นางทราบว่าเมื่อใดควรมัดใจบุรุษ ตอนนี้ เซียวอวี๋เคยหลับนอนกับสกาเล็ตและสตรีอื่นแล้ว หากว่านางยังปฏิเสธอยู่อีก เช่นนั้นอีกฝ่ายจะไม่เบื่อนางเอาหรือ? นางทราบดีว่าเซียวอวี๋ไม่เหมือนกับบุรุษอื่น ในภายภาคหน้า เขาจะเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ แล้วนางจะปล่อยให้บุรุษเช่นนี้หลุดมือไปได้หรือ? ด้วยเหตุนั้นทั้งสองจึงปล่อยตัวปล่อยใจ แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋ย่อมยินดี เขายื่นมือออกไปปลดเปลื้องเสื้อนอกของมู่เสวี่ยออก หลงเหลือชั้นในเพียงสองชิ้น ผิวขาวราวหิมะปรากฏแก่สายตา นั่นยิ่งทำให้เซียวอวี๋ร้อนรุ่มดั่งถูกเพลิงเผา เซียวอวี๋พลันยื่นหน้าไปประกบปิดริมฝีปาก เซียวอวี๋เริ่มเข้าคลอเคลีย มือหนึ่งลูบไล้ไปตามสะโพก ขณะที่อีกมือค่อยๆปลดสายรั้งชั้นในออก แต่ขณะที่เขากำลังจะฝ่าปราการขั้นสุดท้าย จู่ๆแววตาของมู่เสวี่ยก็ฉายประกายเย็นชา นางกรีดร้องเสียงแหว “ทำอะไรของเจ้า?” หลังจากนั้น เซียวอวี๋เพียงสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรง เสียงโครมดังขึ้นคราหนึ่ง ร่างของพลันลอยละลิ่วออกจากรถม้าอย่างอเน็จอนาถ “เพ้ย เอกวินน์ นี่ไม่มากไปหรือ?” เซียวอวี๋นอนตัวงออยู่ที่พื้น เหล่าองค์รักษ์ที่ได้ยินเสียงพลันกรูกันออกมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสภาพของเซียวอวี๋และได้ยินเสียงกรีดร้องของมู่เสวี่ยจากภายในรถม้า พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คงเป็นเพราะทั้งสองกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม จากนั้นเอกวินน์ก็โผล่ออกมาควบคุมร่างพอดีกระมัง? ตอนนี้เอกวินน์และมู่เสวี่ยใช้ร่างกายร่วมกันอยู่ แล้วเอกวินน์จะยอมให้เซียวอวี่ครอบครองเรือนร่างของนางได้อย่างไร? “นี่….นายท่าน ข้าคงทำอย่างไรนางไม่ได้ ท่านจัดการเองได้หรือไม่?” กรอมที่จงรักภักดีที่สุด เห็นเช่นนี้เขาก็ได้แต่เกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ทราบสมควรจะทำอย่างไร “นายท่าน เด็กหญิงนี้พลังแกร่งกล้านัก บ่าวเฒ่าไม่อาจต่อกร ท่านคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว” คาร์นเหลือบมองรถม้าอย่างหวาดกลัว จากนั้นจึงรีบเปิดแนบหนีไป ฟังคำพูดคำจาของคาร์นแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าเขาเลี้ยงมันเปลืองข้าวสุกหรือ? “พี่ชาย ข้าเองก็สู้ไม่ได้ ท่านคงรับมือไหวนะ?” แม้แต่มังกรน้อย หลังจากกล่าวไม่กี่คำก็รีบหลบลี้หนีหน้า “มารดามันเถอะ พึ่งพาไม่ได้สักคนเดียว” เซียวอวี๋สบถอย่างขุ่นเคือง ไม่มีทางอื่น เซียวอวี๋มองรถม้าแล้วมองรถม้าอีก เขาคงอยู่ไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงบ่ายไปหาสกาเล็ต ลูกพี่อึดอัดขนาดนี้ ยังจะยอมเลิกราไปง่ายๆหรือ? สำหรับเอกวินน์ เขาจำต้องยอมนางเช่นนี้เสมอไปหรือ? หรือเขาจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้เลย? ……………………………… วันต่อมา เซียวอวี๋ตื่นแต่เช้าและเริ่มประชุมวางแผนเกี่ยวกับการโจมตีเมืองเม็ก จากนั้นเมอีฟก็เข้ามารายงาน บอกว่าเมื่อคืน ค่ายแห่งนี้ถูกโจมตีอยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆเท่านั้น เซียวอวี๋คาดการณ์ไว้แล้ว เขารู้ว่ามิรันด้าคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แต่การโจมตีเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์ ตอนนี้เหล่าฮีโร่ของเขาเติบโตขึ้นมาก พวกเขาสมารถจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตนเอง เซียวอวี๋นั่งรับประทานอาหารพร้อมคนอื่นๆ ตอนนั้นเอง หลินมู่เสวี่ยที่กลับมาควบคุมร่างได้แล้วก็เข้ามานั่งที่ด้านข้างของเซียวอวี๋ ใบหน้าของนางฉายแววขุ่นเคือง นางกล่าวขอโทษเซียวอวี๋อยู่หลายครั้ง เห็นมู่เสวี่ยเอาแต่โทษตัวเอง เซียวอวี๋ก็ใจอ่อนและปลอบโยนนาง เขาสรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้นางสบายใจ จนท้ายที่สุดก็ทำให้นางลงมือทานอาหารอย่างอารมณ์ดี หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฏหมายของเขา หน้าที่ของสามีไม่ใช่ดูแลนางหรือ? อีกอย่าง นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนาง เขาจะไปโกรธนางได้อย่างไร? หลังจากได้รับการปลอบประโลมจากเซียวอวี๋ ในที่สุดนางก็หัวเราะออก ทั้งสองกินพลางพูดคุยพลางอย่างมีความสุข เมื่อพวกสกาเล็ตทั้งสามเข้ามาเห็นเช่นนั้น พวกนางสามแม่ลูกก็เกร็งจนไม่กล้านั่งลง หลินมู่เสวี่ยเผยรอยยิ้มพลางกล่าวเชื้อเชิญ เรียกหาเป็นพี่สาวน้องสาวอย่างเป็นกันเองจนทำให้สกาเล็ตและไค่เอ๋อร์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง สกาเล็ตนั้นทราบว่าหลินมู่เสวี่ยเป็นคู่หมั้นของเซียวอวี๋ ภายภาคหน้านางจะเป็นนายหญิงแห่งดินแดนไลอ้อน อย่างไรก็ตาม มู่เสวี่ยใจดีกับพวกนางสองพี่น้องมากจนสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์คิดขึ้นในใจ บางที การตัดสินใจเลือกมาพักพิงอยู่กับเซียวอวี๋นั้นอาจจะถูกต้องที่สุดแล้ว “ท่านดยุคเซียว ท่านจะโจมตีเมืองเม็กอย่างไรหรือ?” ขระที่รับประทานอาหารร่วมกัน คาสโซ่ก็เปิดปากถามขึ้น ได้ยินคำถามนั้น เซียวอวี๋ก็ยิ้มตอบ “ข้าเองก็ไม่ทราบ” คำตอบที่ได้ทำเอาคาสโซ่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ผู้บัญชาการจำต้องมีกลยุทธ์ไว้จัดการกับศัตรู ในฐานะผู้บัญชาการแล้ว หากไม่มีแผนการแล้วจะเอาชนะสงครามได้อย่างไร? สงครามไม่ใช่เกมเดินหมาก หากไม่ระวัง พวกเขาก็อาจย่อยยับจนยากกอบกู้ ทว่าเมื่อมองไปยังสีหน้าท่าทางของเซียวอวี๋ ทั้งยังทราบว่าเซียวอวี๋นั้นไม่ใช่บุคคลที่จะประมาทต่อศัตรู ดังนั้น หลังจากถามออกไปแล้ว คาสโซ่ก็ไม่ได้ถามเพิ่มอีก เขาเพียงแต่รอดูว่าเซียวอวี่จะจัดการกับสงครามนี้อย่างไร จากนั้น เซียวอวี๋และคาสโซ่ก็เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร ทั้งสองไม่พูดถึงเรื่องสงครามอีก หลังจากรับประทานเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็ลุกขึ้นกวาดมองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง “พี่น้องทั้งหลาย! เตรียมตัวลุย!” ได้ยินคำสั่งของเซียวอวี๋ ทั้งหมดก็เริ่มตรวจเช็คอาวุธและตระเตรียมตัวบุกตีเมือง ได้เห็นฉากนี้ คาสโซ่ก็อึ้ง กินจนอิ่มหนำแล้วไปทำสงคราม? อย่างนี้ยังจะทำสงครามได้หรือ? คาสโซ่อดประหลาดใจไม่ได้ ไม่เพียงแต่เซียวอวี๋ แม้แต่ไพร่พลของเขาก็น่าประหลาดพอกัน พวกเขาดูไม่กังวลอะไรคล้ายกับกำลังจะออกไปเดินเล่นก็มิปาน ไม่มีผู้ใดแสดงอาการลังเลหรือกังวลแม้แต่น้อย คาสโซ่เดาไม่ออกว่ากองทัพเช่นนี้ถูกฝึกมาอย่างไรกัน? ไม่มีทางอื่น คาสโซ่หันไปมองกลุ่มของเขาและพบว่าแต่ละคนต่างก็กระสับส่ายตึงเครียด เซียวอวี๋ไม่ได้ใช้รถม้าอีก เขาปีนขึ้นม้าตัวหนึ่งบังคับมันเดินไปพร้อมคาสโซ่ ขณะที่ขี่อยู่นั้น เซียวอวี๋ก็หันไปถาม “คาสโซ่ พวกท่านเป็นผู้สืบทอดของภาคีอาชาเหล็ก?” คาสโซ่ไม่ได้ประหลาดใจกับคำถาม “พี่ชายเซียว ท่านกล่าวถูกแล้ว พวกเราเป็นลูกหลานกลุ่มสุดท้ายของภาคีอาชาเหล็ก หลายปีมานี้พวกเราเผชิญพบเรื่องราวมากมาย ทั้งยังเดินทางท่องไปหลายที่ อย่างไรก็ตาม พวกเรายังคงยึดถือวิถีแห่งอัศวินของกลุ่มอาชาเหล็ก” เซียวอวี๋พยักหน้า “อืม พวกท่านสมกับเป็นอัศวินที่แท้จริง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าประทับใจในตัวพวกท่าน” “อันที่จริง ผู้คนในทวีปนั้นแทบจะลืมเลือนเรื่องราวของพวกเราไปแล้ว ภายในวิหารดำ พวกเราได้ยินพี่ชายเซียวเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ดังนั้นพวกเราก็หวังว่าพี่ชายเซียวจะบอกเล่าเรื่องราวบางส่วนของภาคีอาชาเหล็กของพวกเราให้ฟังบ้าง” คาสโซ่กล่าว เซียวอวี๋ยกมือลูบคาง “แม้ประวัติศาสตร์นั้นแทบจะถูกลืมเลือนไป มันก็ไม่สำคัญ หากว่ามรดกยังคงถูกสืบทอดต่อกันมา หากพวกท่านยังคงยึดถือวิพีแห่งอัศวินสืบไป นั่นก็เพียงพอแล้ว” เซียวอวี๋พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคาสโซ่หลายเรื่อง เขายังบอกเล่าความเป็นมาและเรื่องราวกับภาคีอาชาเหล็กให้คาสโซ่ฟัง คาสโซ่ตั้งใจรับฟังทุกคำของเซียวอวี๋อย่างตัง้ใจราวกับกำลังฟังคัมภีร์ไบเบิ้ล เขากระทั่งอยากจะจดบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ใช้สืบทอดต่อกันไปในกลุ่ม หลังจากนั้นซักพัก เซียวอวี๋ก็อธิบายแผนการต่อคาสโซ่ หลังจากได้ฟังแล้ว คาสโซ่ก็อดเลื่อมใสต่อเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นไม่ได้