ในเวลาเดียวกับที่เซียวอวี๋กำลังรับประทานอาหารอย่างสบายใจ มิรันด้าที่รอรายงานอยู่บนกำแพงเมืองก็นิ่งตะลึง เขาได้ส่งทหารกลุ่มย่อยไปติดตามความเคลื่อนไหวของเซียวอวี๋ เมื่อทราบว่าเซียวอวี๋จะนำกำลังบุกมาจริงๆเขาก็ตื่นตัวขึ้นมา แม้ว่าเขาจะไม่กลัว หากแต่เขาก็ทราบว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่ใช่บุคคลไร้สามารถ เมื่อเซียวอวี๋กล้าเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี เช่นนั้นย่อมต้องมีไพ่ตายอยู่

ด้วยเหตุนั้น มิรันด้าจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมการให้พร้อมสรรพ รอคอยรับมือกับการโจมตีจากเซียวอวี๋ อย่างไรก็ตาม เขากลับคิดไม่ถึงว่าแม้กองทัพของเซียวอวี่จะมาถึงแล้ว เซียวอวี๋ก็ยังไม่เริ่มโจมตี กลับกัน อีกฝ่ายกลับตั้งค่ายเริ่มหุงหาอาหาร กลิ่นเนื้อย่างลอยคละคลุ้งในอากาศ ไพร่พลที่ประจำอยู่บนกำแพงเมืองเลียปากแห้งผากพลางกลืนน้ำลาย มิรันด้าเองก็แทบทานทนไม่ได้ เขาคิดว่านี่เป็นแผนการของเซียวอวี๋ เซียวอวี๋จะต้องซุ่มทหารไว้คอยท่าอย่างแน่นอน ดังนั้นมิรันด้าจึงสั่งให้ฝ่ายเขารอ และดูว่าเซียวอวี๋จะทำอย่างไร เหล่าผู้ที่อยู่บนกำแพงต่างก็เฝ้ามองค่ายของเซียวอวี๋พลางกลืนน้ำอึก ขณะที่ไพร่พลอีกฝ่ายต่างก็นั่งล้อมวงกินอาหาร เซียวอวี๋เมื่อเห้นว่ามิรันด้าไม่ได้ส่งกำลังออกมา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ ตัวเขาก็ดื่มด่ำกับอาหารต่อไป ไม่พูดถึงการทำสงครามแม้แต่น้อย วันต่อมา เซียวอวี๋ก็ส่งพวกกริฟฟ่อนไปทิ้งระเบิดในเมือง เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจากหลายแห่ง เมืองทั้งเมืองพลันปั่นป่วนวุ่นวาย พวกทหารเร่งรีบมาประจำการบนกำแพง พาดเล็งศรไปทางค่ายของพวกเซียวอวี๋เพื่อเตรียมรับการโจมตี กระนั้น แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ ค่ายนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ยิ่งไม่มีกองทัพบุกมาโจมตี คืนนั้นมิรันด้าไม่อาจข่มตาหลับได้ลง เขากลัวว่าเซียวอวี๋จะยกทัพบุกมาตอนกลางคืน จู่ๆ เขาก็ได้เสียงย่ำกลอง มิรันด้าลุกขึ้นพรวดพลางเร่งไปยังกำแพงเมือง กระนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด มิรันด้าเป็นคนฉลาด เขาย่อมทราบว่าเซียวอวี๋ต้องการให้เขาเป็นฝ่ายโจมตีโดยการยั่วยุ มิรันด้าทำได้เพียงสะกดข่มโทสะ ไม่ยอมเป็นปลาที่งับเหยื่อล่อของอีกฝ่าย มิรันด้าขบฟันแน่น เขาตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะไปกลับไปนอน เขาจะนั่งเฝ้าอยู่บนกำแพงนี้รอให้เซียวอวี๋เป็นฝ่ายมาหา อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ไม่มา ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี แสงอรุณเริ่มผุดขึ้นจากเส้นขอบฟ้า ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง เสียงระเบิดพลันดังขึ้นจากภายในเมือง ฟีนิกซ์เพลิงขนาดใหญ่พุ่งโถมเข้าใส่กำแพงเมืองแถบหนึ่งจนตัวกำแพงพังทลายลงมาทั้งแถบ จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นสังหารทหารยามไปสองนาย “มือสังหาร! ระวัง!” ทหารยามคนหนึ่งตะโกนขึ้นพลางชี้ไม้ชี้มือไปยังร่างของมือสังหารนั้น อย่างไรก็ตาม มือสังหารนั้นเมื่อลงมือแล้วก็กระโดดลงจากกำแพงไป เพียงพริบตาเดียวก็กลืนหายไปกับความมืดอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่ามือสังหารผู้นั้นย่อมต้องเป็นเมอีฟ “สารเลวเอ๊ย!” มิรันด้าโกรธแค้น เขาทราบว่าตนถูกปั่นหัวเล่นอีกแล้ว ในเวลากลางวัน มิรันด้าไม่กล้าประมาท เพราะเขาเชื่อว่าเซียวอวี๋จะต้องลงมือยามที่พวกเขาเหนื่อยล้าถึงขีดสุดเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวกับเหนือความคาดหมาย เซียวอวี๋ไม่ได้โจมตีและเพียงหุงหาอาหารภายในค่าย ค่ายทั้งค่ายครื้นเครงราวกับไม่ได้จะทำสงคราม ไม่เพียงเท่านั้น บางเวลา เซียวอวี๋ยังหันมาหยอกล้อกับมิรันด้าที่อยู่บนกำแพง “มิรันด้า เจ้ามาดื่มด้วยกันสิ เห็นหรือไม่ ข้ามีไวน์ชั้นเลิศอยู่ ทั้งยังมีสาวงามในอ้อมกอด ช่างสุขสบายดีแท้ ฮ่าฮ่าฮ่า…..” เซียวอวี๋หอมแก้มสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์ในอ้อมแขนคนละฟอดพลางหัวเราะร่า “เซียวอวี๋!….” มิรันด้าเค้นเสียงรอดไรฟัน ดวงตาแดงก่ำอย่างเคียดแค้น แต่เขาก็ทำอย่างไรไม่ได้นอกจากต้องอดกลั้น “องค์ชาย คนผู้นั้นโอหังนัก ให้ข้าไปฆ่ามันเถอะ” แม่ทัพแห่งเมืองเม็ก อัสวานพลันกล่าวขึ้น สำหรับอัสวานแล้ว นิสัยของเซียวอวี๋นั้นสุดจะรับได้จริงๆ คนผู้นั้นเอาแต่เยาะเย้ยถากถางพวกเขาไม่หยุดหย่อน “ฮึ่ม นั่นเป็นสิ่งที่มันต้องการ หากเราออกไปตอนนี้ ใยมิใช่ตกลงสู่หลุมพรางของมัน” มิรันด้ากล่าวอย่างใจเย็น อัสวานทำได้เพียงผงกศีรษะรับ คืนนั้น เซียวอวี๋ก็ยังคงส่งคนมาก่อกวนและเผาเมืองอีก จนทำให้ทหารในเมืองวิ่งวุ่นไปมาจนแทบหมดแรง มิรันด้าย่อมไม่อาจหลับได้สนิทใจ ดวงตาของเขาเบิกโพรง แทบทนรอจะฉีกเซียวอวี๋เป็นหมื่นชิ้นไม่ไหว “ฝ่าบาท หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทหารของเราคงไม่แคล้วถูกบั่นทอนแรงกายแรงใจจนสิ้น หากตอนนั้นพวกมันโจมตีมา เราก็ยากจะต้านทานแล้วนะพะย่ะค่ะ” อัสวานกล่าวอย่างร้อนใจ “อัสตู นำพลเกราะหนักห้าพัน ทหารม้าห้าพันไปหยั่งเชิงพวกมัน” ในที่สุดมิรันด้าก็ออกคำสั่ง ทหารภายในเมืองเม็กล้วนแต่เป็นไพร่พลชั้นดี ทหารห้าพันนายนี้ ที่อื่นอาจจะหามาได้อย่างอย่างลำบาก ทว่าไม่ใช่กับที่นี่ “พะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยิน อัสตูก็รับคำก่อนจะหันไปสบตากับอัสวาน อัสวานนั้นเป็นพี่ชายของอัสตู เป็นแม่ทัพชั้นยอด ฝีมือก็อยู่ในขั้นที่ห้าระดับสุดยอด อัสวานไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบาๆ อัสตูจึงเดินออกไปตระเตรียมทัพ ไม่นานนัก ประตูเมืองก็เปิดออก ไพร่พลที่สวมเกราะหนักเต็มกำลังห้าพันนายก็ตบเท้าเดินออกจากเมือง เห็นดังนั้น คาสโซ่ที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับเซียวอวี๋หลายวันมานี้ก็หยิบอาวุธออกมาพลางจ้องมองไปยังกองทัพศัตรู แววตาของเขาฉายประกายเย็นเยียบ เซียวอวี๋ยิ้มพลางกล่าวกับคาสโซ่ “พี่คาสโซ่อย่ากังวลไป เพียงนั่งดูก็พอ” คาสโซ่เคยผ่านศึกน้อยศึกใหญ่มาแล้วมากมาย ได้ยินเซียวอวี๋กล่าวเช่นนั้น ตัวเขาก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “พี่ชายเซียว พวกเรายังจะทำเป็นเล่นต่อไปหรือ หลายวันมานี้พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย หากปล่อยให้พวกมันบุกมา พวกเราจะเป็นปัญหาเอานะ” เซียวอวี๋คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้ามีแผนอยู่แล้ว” กล่าวจบ เซียวอวี๋ก็สั่งให้ทั้งหมดลุกขึ้นและเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมตัวล่าถอย สิ่งของจำเป็นและมีค่าล้วนแต่ถูกเก็บอยู่ในแหวนมิติ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่ต้องเก็บอะไรมาก แต่เขาจะไม่ยอมทิ้งตะแกรงปิ้งย่างหรือเครื่องมือทำอาหารเอาไว้ ดังนั้นจึงสั่งให้พวกทหารเก็บกลับมา จากนั้นก็รอคอยกองทัพอีกฝ่าย กองทัพทหารเกราะหนักก้าวเท้าอย่างเป็นระบบระเบียบ เสียงย่ำเท้าดังสะเทือนปานสายฟ้าคำรน แผ่เป็นสภาวะอันแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น “ให้ข้าลงมือเอง ข้ามั่นใจว่าจะทลายทัพพวกมันได้” คาสโซ่กล่าวเสียงเรียบ เซียวอวี๋ยิ้ม “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ท่านต้องมีเวทีแสดงออกแน่ แต่ตอนนี้พวกเราต้องถอยกันก่อน” เห็นกองทัพพลเกราะหนักมุ่งหน้าเข้ามา เซียวอวี๋ก็นำคนของเขาถอยห่างออกไป เห็นฉากนี้ มิรันด้าที่อยู่บนกำแพงรวมทั้งไพร่พลที่อยู่ด้านล่างต่างก็นิ่งตะลึง เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกิดสงครามนองเลือด โรมรันกันอย่างดุเดือดเสียอีก ทว่า เซียวอวี๋เพียงยกทัพถอยออกไป…. อัสตูเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาหันมองไปทางกำแพงอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อขอความเห็นจากมิรันด้าว่าจะไล่ตามไปหรือไม่ มิรันด้าขมวดคิ้ว จากนั้นจึงออกคำสั่งเสียงเย็น “ตามไป แต่อย่าไกลนัก”