ได้รับคำสั่งจากมิรันด้า ไพร่พลเกราะหนักก็เคลื่อนทัพติดตามเซียวอวี๋ไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกราะที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงเคลื่อนที่ได้ช้า มันจึงยากที่จะไล่ติดตามพวกเซียวอวี๋ได้ทัน
พวกทหารม้าก็ไม่กล้ารุดหน้าไปโจมตี ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเว้นระยะติดตาม เซียวอวี๋ไม่ได้ถอยรวดเร็วนัก กระบวนทัพก็ดูสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นความเร็วจึงมีไม่มาก ดังนั้น ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งถอยหนี เป็นเช่นนี้กว่าสองสามไมล์แล้ว เป็นเพราะใช้แถบนี้ตั้งค่ายมาหลายวัน หลุมบ่อมากมายจึงถูกขุดไว้เพื่อหุงหาอาหารและอื่นๆมากมาย นี่เป็นอุปสรรคทำให้ทัพพลเกราะหนักเคลื่อนพลได้อย่างเชื่องช้า เซียวอวี๋นำกองทัพวิ่งไประยะหนึ่ง ก่อนจะหยุดยั้งลง “ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกลูกเต่าเอ๊ย! ตามมาดูดก้นบิดามา ฮ่าฮ่าฮ่า….” นักรบออร์คหลายตนตบก้นยั่วยุใส่อีกฝ่ายที่กำลังติดตามมา เมื่อถูกยั่วยุซึ่งหน้าเช่นนี้ ไพร่พลจากเมืองเม็กก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ กระเหี้ยนกระหือรือจะเข้าไปประเคนให้สักดาบสองดาบ พวกมันใช่เป็นทหารที่ถูกฝึกแน่หรือ? แน่ใจนะว่านั่นไม่ใช่เพียงพวกกากเดนที่มารวมตัวกัน? อัสตูไม่กล้าติดตามไกลไป เขาได้ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปตรวจตราพื้นที่แล้ว แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยากจะคงไว้ซึ่งกระบวนทัพ ดังนั้นไพร่พลของเขาจึงถูกบีบให้แตกออกเป็นกลุ่มย่อยๆจนไม่อาจรักษากระบวนทัพไว้ได้ ด้านทัพม้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกม้าเกิดชนปะทะกันเพราะความสับสนในสภาพพื้นที่ ในเวลานั้นเอง แววตาของเซียวอวี๋ก็มีแสงไหววูบ เขาพลันตะโกนขึ้น “ระเบิดเลย!” บึ้ม บึ้ม…… พร้อมกับเสียงกัมปนาท แรงระเบิดทำให้พวกทหารบางส่วนตกตาย บางส่วนชุลมุนไม่รู้เหนือรู้ใต้ “พี่คาสโซ่ ตาท่านแล้ว” เซียวอวี๋หันไปมองคาสโซ่ คาสโซ่เห็นว่าเซียวอวี๋นั้นมักมีทีท่าแปลกประหลาดเสมอ อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ทราบว่าเหตุใดจึงรู้สึกเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายอย่างมาก ตอนนี้ ได้เห็นสถานการณ์ที่เบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแผนการของเซียวอวี๋แล้ว ในใจพลันฮึกเหิม เขาเงยหน้าขึ้นตะโกนว่า “ตามข้ามา!” เหล่าอัศวินแห่งภาคีอาชาเหล็กพลันโถมพุ่งลงไปโจมตีศัตรูโดยไม่แม้แต่จะจัดรูปขบวน นั่นเพราะอีกฝ่ายไร้รูปขบวน พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้รูปขบวนเช่นกัน หากเป็นการปะทะซึ่งหน้า แน่นอนว่าพวกเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เพราะทัพเกราะหนักนี้สมควรรับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การประสานงานย่อมสมบูรณ์พร้อม ทว่าเมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ นั่นก็อีกเรื่องแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายสับสนกับสภาพแวดล้อมและกับระเบิด ความชุลมุนตอนนี้บีบบังคับให้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพึ่งพากำลังของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าทางพวกเขาแล้ว โฮก…… คาร์นกู่ร้องคำราม เขายกชูขวานในมือขึ้นพลางนำพวกออร์คโถมลงเนินไป เขาชื่นชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ กรอมเองก็ไม่รอช้า เขาใช้ทักษะเรียกร่างแยกออกมาพุ่งโถมเข้าไปในกลุ่มคน ก่อนจะปลิดปลงศีรษะข้าศึกไปหลายสิบในคราวเดียว เห็นเหตุการณ์ชุลมุนที่เบื้องหน้า อัสตูก็ตื่นตระหนัก เขาพลันตะโกนสุดเสียง “ถอยก่อน! ถอย….” เพิ่งกล่าวได้เพียงไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ เขาค่อยๆฝืนหันกลับไปทางด้านหลัง บนหลังม้าของเขา ร่างที่สวมผ้าคลุมสีดำหลงเหลือเพียงช่องดวงตากำลังจับจ้องมาที่เขา สายของเขาสบประสานกำลังดวงตาสีม่วงคู่สวยที่ชืดชานั้น ก่อนที่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาจะตกร่วงหลังม้าไป ร่างนั้นคือ เมอีฟ ตั้งแต่ผสานพลังของเทพไป ความแข็งแกร่งของเมอีฟก็แทบทพยานเหินขึ้นฟ้า กลายเป็นมือสังหารที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด เมื่อไร้ซึ่งผู้นำ ไพร่พลก็ทำอะไรไม่ถูก พวกเขาต้องการจะหลบหนี ทว่าพื้นที่แถบนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ระหว่างทางยังเหยียบกับระเบิดเข้าหลายครั้งจนไม่ทราบว่าต้องมุ่งไปทางใด ทหารหลายนายต้องการจะมุ่งไปยังทิศทางที่เซียวอวี๋และพวกใช้มา ทว่าทางสายนั้นมีพวกดรูอิดตั้งแนวรบสกัดอยู่ พายุหมุนหลายลูกโหมพัดไพร่พลผู้โชคร้ายลอยหวือขึ้นฟ้าไป ขณะที่บนฟ้าก็ปรากฏฝูงบินกริฟฟ่อนขึ้นปลดปล่อยสายฟ้าถล่มใส่ไพร่พลที่หนีตายอยู่เบื้องล่างอย่างถนัดถี่ เป็นเพราะสวมใส่เกราะหนักชั้นดีซึ่งนำไฟฟ้า ดังนั้นผู้ที่โดนสายฟ้าวิ่งเข้าใส่ย่อมมีแต่ทางตายสถานเดียว ในการจัดการกับศัตรูประเภทนี้ พวกกริฟฟ่อนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด พลเกราะหนักห้าพัน ทหารม้าห้าพัน ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ถือเป็นกองทัพชั้นยอด โดยเฉพาะกับกองทัพที่คัดเอายอดฝีมือเข้ามาทัพนี้ด้วยแล้ว การรับมือกับศัตรูที่มีมากกว่าสามเท่าก็ไม่นับเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ เซียวอวี๋ไม่ได้ทุ่มกำลังออกมาทั้งหมด เขาใช้คนเพียงพันเศษเท่านั้น ซึ่งในทัพก็มีพวกอัศวินหัตถ์เงินอยู่ด้วย เดิมทีทัพอัศวินหัตถ์เงินก็แข็งแกร่งพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังได้รับบัฟจากอูเธอร์ไป แน่นอนว่าความน่ากลัวยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ ขณะที่กองกำลังอัศวินสีชาดมีพลังศรัทธาเป็นที่ตั้งนั้น ยิ่งได้รับบัฟพร้อมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอูเธอร์ก็ยิ่งต่อสู้ถวายหัว ภายใต้บัฟหลากหลายสาย ความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดต่างก็อยู่ในขั้นที่สองระดับสุดยอด ขณะที่พวกพาลาดินระดับสูงพุ่งขึ้นไปอยู่ในขั้นสาม ขั้นสี่ระดับสุดยอดเลยทีเดียว ถึงจุดนี้ พวกเขาก็แทบจะไร้คู่ต่อกร เพราะเดิมเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสนามรบตอนที่อยู่ในกองกำลังอัศวินสีชาดอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาในสนามรบแห่งนี้ เห็นได้เห็นเลือด โ,หิตในกายก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เซียวอวี๋นำเก้าอี้ออกมาจากแหวน นั่งมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสบายใจ ซ้ายขวามีสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์คอยบีบนวดปรนนิบัติ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคาสโซ่และภาคีอาชาเหล็กนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง อัศวินกลุ่มนี้ไม่มีผู้ใดที่ต่ำกว่าขั้นสามเลย ภายใต้บัฟของอูเธอร์ พวกเขาก็ยิ่งกลายเป็นทัพแกร่งที่ยากต้านทาน โดยเฉพาะกับตัวคาสโซ่ เขาเป็นนักรบขั้นที่หก เขาบุกตะลุยไปในทัพศัตรูราวกับพยัคฆ์กระโจนใส่ฝูงแกะ เกราะหนักเหล่านั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีจากคาสโซ่ ทั้งคาสโซ่เองยังมีโล่แกร่ง ดังนั้นไพร่พลทั่วไปย่อมไม่อาจจัดการกับเขา เซียวอวี๋ครุ่นคิด รอไว้กลับไป เขาจะจัดชุดเกราะเซ็ตทีห้าเพื่อเสริมแกร่งทัพของเขา พลเกราะหนักห้าพันและทัพม้าห้าพันกลับกลายเป็นแกะที่รอโดนเชือด ไม่ถึงสิบนาที ไพร่พลก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายเซียวอวี๋ คาสโซ่เลือดเดือดพล่าน เพราะได้รับบัฟจากอูเธอร์ พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างทำให้เขารู้สึกถึงพลังอันเต็มเปี่ยมคล้ายถูกฉีดเลือดไก่เข้าไป นักสู้ทุกคนต่างก็ปรารถนาให้ตนแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากไปถึงขั้นที่หก การจะก้าวหน้าก้ยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์ เขาคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจแข็งแกร่งไปได้กว่านี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยบัฟของอูเธอร์ เขารู้สึกว่าพลังของตนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจนราวกับพุ่งทะลวงไปจ่ออยู่ที่ประตูอีกระดับหนึ่ง ที่บนกำแพงเมือง เมื่อโล้นมหากาฬเห็นคาสโซ่ เขาก็ไม่อาจละสายตาจากไป เขาย่อมสัมผัสได้ถึงพลังของคาสโซ่ เขาต้องการจะไปต่อสู้กับคาสโซ่ แต่เมื่อเห็นพลังที่เพิ่มขึ้นจากบัฟของอูเธอร์แล้ว เขาก็ทราบว่าตนไม่อาจเป็นคู่มือของอีกฝ่าย หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ตัวเขาคงพ่ายแพ้ในไม่กี่กระบวน เซียวอวี๋ผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนจึงมีกลุ่มยอดฝีมือติดตามมากมายถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจที่เขาจะกล้าบุกโจมตีเมืองเม็กด้วยกำลังคนอันน้อยนิด…..