บทที่ 700 หนังสือราชโองการ

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันเห็นฮ่องเต้แน่นิ่งอยู่บนผ้านุ่มสีเหลืองอ่อน ก็เผลอกลั้นหายใจ ขาอ่อนจนถอยหลังไปจับหัวเตียงยืนให้มั่น 

 

 

ภายในห้องใหญ่โตยังมีคนอยู่มากมาย แต่กลับนิ่งเงียบจนแม้แต่เสียงหายใจก็ยังไม่ได้ยิน 

 

 

ถาวจวินหลันตั้งสมาธิ ค่อยๆ หันไปกวาดไปมองรอบห้องทีหนึ่ง 

 

 

ทุกคนเอาแต่ก้มหน้า ไม่มีใครกล้าเงยหน้าเลยสักคน 

 

 

ฮ่องเต้กริ้วถาวจวินหลันจนสิ้นลม นี่ถือเป็นโทษเนรคุณขั้นใหญ่ ขอแค่มีคนตะโกนออกมา หรือคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ถาวจวินหลันย่อมจบไม่ดีอย่างแน่นอน 

 

 

ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ ทั้งนางยังรู้ด้วยว่าจวงอ๋องกับอู่อ๋องอยู่ด้านนอก หากฮ่องเต้ตรัสเรื่องไม่ดีของหลี่เย่ด้วยถูกชักจูงให้เชื่อผิดๆ เกรงว่าพวกเขาคงฉีกหลี่เย่เป็นชิ้นๆ แล้วจับกลืนลงท้องเป็นแน่ 

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในหนังสือพระราชโองการของฮ่องเต้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้นางคงไม่ถึงขั้นบีบบังคับให้ฮ่องเต้กริวจนล้มไปเช่นนี้ 

 

 

“หมอหลวง เจ้ามาดูอาการ” ถาวจวินหลันปั้นหน้าเคร่งสั่งออกมา ตนเองกลับเดินเชิดหลังตรงไปยังขุนนางใหญ่ที่รับผิดชอบบันทึกหนังสือพระราชโองการของฮ่องเต้ ยื่นมือไปหยิบหนังสือพระราชโองการที่เขียนเสร็จไปแล้วกว่าครึ่งขึ้นมา กวาดตาดูแค่สองทีก็จัดการฉีกหนังสือพระราชโองการทิ้ง แล้วม้วนเก็บเข้าไปในแขนเสื้อของตนเองอย่างนิ่งเฉย กวาดตามองขุนนางที่คิดอยากเอ่ยปาก พูดเรียบๆ ว่า “เขียนใหม่” 

 

 

“ชายารัชทายาท!” ขุนนางใหญ่คนนั้นเหมือนจะตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง “ท่านทำเช่นนี้ถือว่ายุ่มย่ามงานราชสำนักนะพ่ะย่ะค่ะ! สตรีในวังหลังห้ามยุ่งเกี่ยวงานราชการ!” 

 

 

“ข้ารู้ดี แต่จวงอ๋องกับอู่อ๋องอยู่ข้างนอกนี่แล้ว องค์รัชทายาทใกล้จะต้านไว้ไม่ไหวแล้ว” ถาวจวินหลันชี้ไปที่ประตู ก็พอได้ยินเสียงถกเถียงโหวกเหวกดังลอดเข้ามา สถานการณ์ในตอนนี้หลี่เย่จะทัดทานได้อีกนานเท่าไรกัน? ลูกชายต้องการมาเยี่ยมพ่อที่ล้มป่วยหนัก ใครยังจะพูดอะไรได้?! 

 

 

หมอหลวงเหงื่อชื้นเต็มหน้า “ฮ่องเต้ยังหายใจพ่ะย่ะค่ะ เชิญองค์รัชทายาทกับคนอื่นเข้ามาเถิด ถือว่าได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย” 

 

 

“เช่นนั้นฮ่องเต้ยังพูดได้หรือไม่?” ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก เอ่ยปากถาม 

 

 

หมอหลวงส่ายหน้า “อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ขุนนางตะคอกเสียงดัง “แล้วจะเป็นอย่างไร สตรีห้ามยุ่งราชการ! พระชายาองค์รัชทายาททำเช่นนี้…” 

 

 

“ฮองเฮาไม่ได้ขึ้นเป็นไทเฮา ฮ่องเต้ทรงผิดหวังในตัวฮองเฮา ตอนนั้นฮองเฮาวางแผนโหดเ**้ยมกับกู้ซี แม้ไม่ปลดตำแหน่งฮองเฮา แต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ก็ไม่อนุญาตให้ร่วมหลุมเดียวกัน ทั้งยังไม่ให้ฝังในสุสานหลวง” ถาวจวินหลันไม่สนใจคำพูดของขุนนางคนนั้น เอาแต่พูดความคิดของตนเองออกมาช้าๆ อย่างมั่นคง “ได้รับประโยชน์เหมือนไทเฮา แต่ไม่แต่งตั้งเป็นไทเฮา อีกทั้งหลังจากจบพิธีฝังพระศพ ให้จวงอ๋องกับอู่อ๋องกลับตระกูลไป นอกเหนือจากนั้นเจ้าเขียนตามความตั้งใจของฮ่องเต้ได้” 

 

 

“นี่เป็นการหลอกลวงประชาชน” ขุนนางยังคงกราดเกรี้ยว 

 

 

ถาวจวินหลันปรายตามองเขาอย่างเย็นชา หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก “แล้วแต่ว่าเจ้าจะเขียนหรือไม่ ถ้าเจ้าจะพูดความจริงก็ได้ แต่ถ้าเรื่องวันนี้ส่งผลให้เกิดกบฏขึ้นในราชสำนัก เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนบาปพันปี” คนนี้เป็นคนของหลี่เย่ แต่กลับเถรตรงเกินไป ทั้งยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก 

 

 

แน่นอนว่านางเองก็มั่นใจแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าทำอะไร ฉะนั้นถึงกล้าทำเช่นนี้ หากเปลี่ยนคนแม้แต่แรงจะข่มขู่เท่านี้นางก็ไม่มีเป็นแน่ 

 

 

อย่างที่คาดเอาไว้ สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมร่วมมือ กัดฟันหยิบกระดาษอีกแผ่นออกมา หยิบพู่กันตวัดเขียนลงไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าพอใจ พลางมองไปยังขันทีเป่าฉวน เขาก้มหน้าพูดเสียงเบา “ตราประทับทองของฮ่องเต้อยู่ที่ช่องลับหัวเตียงพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เช่นนี้ก็เท่ากับเขียน ‘หนังสือพระราชโองการ’ เสร็จแล้ว ถาวจวินหลันมองขันทีเป่าฉวนประทับตราลงไปบนกระดาษ แล้วถึงถอนใจโล่งอก 

 

 

ถาวจวินหลันหันกลับไปมองฮ่องเต้ ก่อนหลุบตาลงกำชับเสียงนิ่ง “เตรียมพร้อมให้ดี” หลังจากพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว 

 

 

พอใกล้ถึงประตู ถาวจวินหลันก็ยิ่งเร่งฝีเท้า ตาแดงก่ำท่าทางโศกเศร้า ก่อนเปิดประตูออก ไม่ทันได้เห็นชัดเจนว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไร นางก็พูดสะอึกสะอื้นนำมาก่อนแล้ว “องค์รัชทายาทรีบเข้ามาดูเถิดเพคะ ฮ่องเต้ พระองค์…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว 

 

 

หลี่เย่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง กลับเป็นจวงอ๋องและอู่อ๋องที่พยายมพุ่งเข้าไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจเสมือนสูญเสียผู้บังเกิดเกล้า ทั้งยังไม่สนว่าตนเองกระแทกถาวจวินหลัน หลี่เย่ตกใจจนรีบยื่นมือไปดึงถาวจวินหลันเอาไว้ พลางขมวดคิ้วเขม็งมองอย่างละเอียด ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเบาๆ “ไม่ได้บาดเจ็บกระมัง” 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะส่งเสียงเร่งหลี่เย่ “ท่านรีบเข้าไปเถิดเพคะ อย่าให้พวกเขาคิดว่าท่านไม่ใส่ใจ” 

 

 

หลี่เย่ย่อมรู้ว่าตอนนี้ตนเองควรทำอะไร จึงสูดหายใจเข้าลึก รีบเร่งดินเข้าไปในห้อง ถาวจวินหลันประคองขอบประตู ในใจนั้นยุ่งเยิงสับสนไปหมด 

 

 

คิดถึงสภาพของฮ่องเต้ที่นอนนิ่งตาค้าง นางก็ยังรู้สึกด้านชาอยู่เล็กน้อย อย่างไรนางก็ทำให้ฮ่องเต้โมโหจนตาย แม้จะบอกว่านางเพียงแค่พูดความจริงนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้านางไม่พูดสิ่งเหล่านั้นก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น 

 

 

หลังจากนี้ไปหลี่เย่ต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะโทษนางหรือไม่ และระหว่างพวกเขาจะเกิดช่องว่างอะไรขึ้นหรือเปล่า? ไม่เพียงหลี่เย่ คนอื่นรู้เข้าแล้วจะมองนางอย่างไร? 

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางก็สงบลงอย่างเร็ว ส่ายหน้าหัวเราะขมขื่นในใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องถนัดของนาง ถึงบังเอิญพบเข้าก็ไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ปล่อยให้หลี่เย่ไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ถึงมีโอกาสอีกครั้ง นางก็คงทำเช่นเดิม 

 

 

ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่น แต่หากเพื่อความสงบในวันข้างหน้า หรือช่วยให้หลี่เย่และลูกๆ มีอุปสรรคน้อยลง  นางไม่มีทางลังเลเป็นแน่ 

 

 

ไม่นานฮองเฮาก็มาถึง จากนั้นก็เป็นอี้กุ้ยเฟยและคนอื่นๆ  

 

 

ฮองเฮาหยุดลงตรงหน้าถาวจวินหลันครู่หนึ่ง ถามด้วยท่าทีเย็นชา “ฮ่องเต้ประชวรขั้นหนัก เจ้ากับองค์รัชทายาทกลับปิดบังผู้คน โทษนี้กลับไปต้องไล่เอาความให้ดี!” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธแค้นฮองเฮา ไม่ว่าอย่างไรหลังจากประกาศหนังสือราชโองการแล้ว ฮองเฮาก็คงจะเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสมบูรณ์ ถึงเวลานั้นหากฮองเฮายังคิดจะไล่เรียงเอาความอะไรอีก นางเองก็ไม่เกรงใจที่จะอธิบายกับฮองเฮาอย่างละเอียดอีกสักครั้ง 

 

 

ฮองเฮายังกำลังถูกกักบริเวณ! เร่งรีบออกมาเช่นนี้ พูดให้น่าฟังก็คือเป็นห่วงสามี พูดให้ไม่น่าฟังก็คือขัดขืนคำสั่งฮ่องเต้ และบวกกับโทษสืบข่าวของฮ่องเต้ด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก แล้วจึงเดินตามเข้าไป  

 

 

ฮองเฮาตรงเข้าไปฟุบหน้าร้องไห้ตรงตั่งนอนของฮ่องเต้ เสียงร้องไห้โศกเศร้าดังลอยมา จวงอ๋องและอู่อ๋องเองก็มีสีหน้าโศกเศร้าและเจ็บปวดไม่ต่างกัน 

 

 

ทว่าหลี่เย่ที่ยืนดูอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีทีท่าโศกเศร้าเหมือนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย หากไม่ได้เปรียบเทียบก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอมาเปรียบเทียบแล้วก็ดูเย็นชาเล็กน้อย 

 

 

ถาวจวินหลันขยี้ตาตัวเอง ก้าวเข้าไปต่อหน้าหลี่เย่ตาแดงกล่ำพูดขึ้นว่า “องค์รัชทายาทเพคะ ฮ่องเต้…”  นางต้องแสร้งทำท่าทีเจ็บปวด ไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่น เพียงเพราะไม่ให้คนเอาไปติฉินนินทาเท่านั้นเอง 

 

 

หลี่เย่แสร้งทำสีหน้าเจ็บปวดเดินไปหน้าเตียง ก่อนถอนหายใจ “เสด็จพ่อประชวรเฉียบพลัน ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อมีความปรารถนาอะไรหรือไม่” 

 

 

ขุนนางใหญ่ที่รักษาหนังสือราชโองการรีบก้าวเข้ามาคุกเข่า “สวรรค์มีตา ฮ่องเต้ทิ้งหนังสือราชโองการเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮองเฮากับอู่อ๋องสบตากัน จากนั้นฮองเฮาก็ถามขึ้นว่า “หนังสือราชโองการเขียนไว้ว่าอย่างไร? ฮ่องเต้ปรารถนาสิ่งใดหรือไม่?” 

 

 

หลี่เย่กับถาวจวินก็หลันสบตากัน ล้วนมองความเข้าใจในก้นบึ้งดวงตาของอีกฝ่ายออก พูดตามจริงแล้วฮองเฮาถามเช่นนี้ พวกเขาสองคนคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรสิ่งที่ฮองเฮาสนใจมากที่สุดก็คงเป็นหนังสือราชโองการ 

 

 

ฮองเฮารีบเดินทางมาก็คงเพราะหนังสือราชโองการกระมัง 

 

 

“ฮ่องเต้ยังมีชีวิต มิอาจเปิดหนังสือราชโองการได้ ย่อมมิอาจอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนนั้นเป็นคนเถรตรง รีบพูดปฏิเสธคำของฮองเฮาอย่างถูกต้องด้วยเหตุผลและสัจธรรม 

 

 

ขันทีเป่าฉวนก้าวขึ้นมา น้อมตัวพูดอย่างโศกเศร้าว่า “ฮ่องเต้เพียงแค่ตรัสให้บรรดานักพรตร่วมฝังด้วยพ่ะย่ะค่ะ คาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องวาดปีกกลายเป็นเซียนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

นี่ก็เป็นเรื่องที่หลี่เย่และขันทีเป่าฉวนปรึกษากันมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ฮ่องเต้มีจุดจบเช่นวันนี้ พูดง่ายๆ ก็เพราะว่านักพรตเหล่านั้นใช้เล่ห์กลมัวเมาใจคน ทำให้ฮ่องเต้ตกลงไปในความเชื่อเพ้อพกเรื่องยาอายุวัฒนะมีชีวิตยืนยาว แน่นอนว่าตัวฮ่องเต้เองก็มีส่วนผิด แต่นี่ก็ไม่ได้หยุดความเคียดแค้นที่หลี่เย่มีต่อนักพรตเหล่านี้ 

 

 

นักพรตเหล่านี้มอมเมาฮ่องเต้ให้หลงเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พวกเขาตามฮ่องเต้ไป ปรุงยาไล่ตามความฝันเรื่องเป็นอมตะกลายเป็นเซียนต่อไปเถิด! อย่างไรในวังหลวงก็ไม่อาจเก็บคนเหล่านี้เอาไว้ได้! 

 

 

ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ ก็เผลอกลั้นหายใจเล็กน้อย ไฉนเลยนางจะอยากได้ยินสิ่งเหล่านี้? นักพรตเหล่านั้นจะตายหรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับนาง? สิ่งที่นางสนใจก็คือหนังสือราชโองการ! 

 

 

จวงอ๋องเอ่ยปากพูด “นอกจากนั้นเล่า? ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่า เสด็จพ่อประชวรเฉียบพลันเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทเล่า?” 

 

 

หลี่เย่ปรายตามองจวงอ๋องทีหนึ่ง พูดออกมาแค่สี่คำ “จวงอ๋องระวังคำ” 

 

 

จวงอ๋องถูกคำนี้สกัดไปจนแทบจะก่นด่า แต่เพราะตอนนี้อี้กุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดเข้ามาพอดี อี้กู้เฟยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้องไห้เสียงดัง ดึงองค์ชายเจ็ดพุ่งเข้ามา ร้องไห้อย่างโศกเศร้า พลางพูดว่า “ฮ่องเต้เพคะ พระองค์เป็นอะไรเพคะ!“ 

 

 

องค์ชายเจ็ดรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แม้จะไม่ถึงขั้นอี้กุ้ยเฟย แต่ก็หันมาถามหลี่เย่ว่า “ทำไมเสด็จพ่อถึงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ “อาการประชวรเฉียบพลัน หมอหลวงบอกแล้วว่าไม่มีทางรักษาได้ เกรงว่าตอนนี้คงใกล้จากไปแล้ว” 

 

 

ดวงตาขององค์ชายเจ็ดพลันแดงระเรื่อ เขาและหลี่เย่ไม่เหมือนกัน อย่างไรฮ่องเต้ก็เคยเอ็นดูโปรดปรานเขามาก่อน ย่อมไม่เย็นชาใส่กันนัก เขาเศร้าก็ถือเป็นเรื่องสมควร 

 

 

จวงอ๋องกลับไม่ยอมถูกเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา จึงเอาแต่พูดฉอดๆ ออกมา “ทำไมองค์รัชทายาทไม่ยอมตอบข้า แท้จริงแล้วเสด็จพ่อประชวรได้อย่างไร? ร่างกายของเสด็จพ่อแข็งแรง ข้าไม่เชื่อว่าประชวรเฉียบพลัน!” 

 

 

น้ำเสียงของอู่อ๋องแฝงไว้ด้วยความไม่ยอมแพ้ หากหลี่เย่ไม่บอกให้ชัดเจน เขาก็ไม่มีทางปล่อยหลี่เย่ไป