บทที่ 701 ปราบปราม

บัลลังก์พญาหงส์

หลี่เย่มองจวงอ๋องด้วยสายตาเฉียบคม เท่านี้ก็มีอำนาจกดดันจวงอ๋องได้มากกว่าครึ่งแล้ว แต่จวงอ๋องก็ไม่คิดจะหลบสายตาเช่นกัน

 

 

หลี่เย่พูดเสียงเย็น “ข้าไม่รู้ว่า เจ้าไปฟังเรื่องเพ้อเจ้อมาจากที่ใด แต่ข้าเกี่ยวกับการประชวรเฉียบพลันของเสด็จพ่อหรือ? จวงอ๋อง หากเจ้าไม่สงบปากสงบคำ แต่ยังพูดจาดูหมิ่นข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะไม่เกรงใจแล้ว”

 

 

“องค์รัชทายาท…” เห็นชัดว่าจวงอ๋องไม่ได้ใส่ใจการข่มขู่ของหลี่เย่ ยังคิดพูดต่อไป

 

 

หลี่เย่พูดขัดจวงอ๋อง “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ควรแสดงท่าทีของขุนนางออกมา จวงอ๋อง!”

 

 

ดังคำกล่าวที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนหนึ่งเป็นถึงอนาคตเจ้าแคว้น ส่วนอีกคนเป็นเพียงขุนนาง หลี่เย่อยากปราบปรามจวงอ๋อง จวงอ๋องก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม

 

 

องค์ชายเจ็ดก็ถลึงตามองจวงอ๋อง “ตอนนี้เสด็จพ่อสำคัญที่สุด จวงอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?!”

 

 

หมอหลวงจับชีพจรของฮ่องเต้อยู่ตลอด แต่แล้วก็รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวแผ่วๆ ของชีพจรใต้ผิวหนังพลันหยุดลง ก็ให้นิ่งเกร็งไปทั้งตัว ก่อนพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สิ้นเสียง ภายในห้องก็เงียบสงัด ทุกคนต่างหันไปมองฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียง ที่จริงก็ไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้ แต่ทุกคนกลับรู้สึกประหลาดลึกๆ

 

 

ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว แต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็อีกไม่ไกลแล้ว แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่จะเป็นใครกันแน่ เกรงว่าแต่ละคนคงคิดต่างกันไป

 

 

ถาวจวินหลันสะกิดเบาๆ ไปทางหลี่เย่ที่กำลังเหม่อลอย ตอนนี้เขาเป็นองค์รัชทายาท ย่อมต้องมีอำนาจชิงลงมือได้ว่องไว

 

 

หลี่เย่ได้สติกลับมา สั่งการด้วยเสียงแหบพร่า “ไป เคาะระฆังเมฆ ประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนในวังทราบ จากนั้นเตรียมชุดพิธีฝังพระศพ”

 

 

หมอหลวงได้ยินเช่นนั้นก็รีบดึงเข็มเงินที่ปักอยู่บนร่างของฮ่องเต้ออกมา

 

 

ฮ่องเต้อาการกำเริบมานานเพียงนี้แล้ว ถาวจวินหลันรีบสั่งให้คนไปเอาเสื้อผ้ามา ตอนนี้ฮ่องเต้จากไปแล้ว นางกับหลี่เย่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีขาวล้วน แต่จวงอ๋อง อู่อ๋องและคนอื่นๆ ไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อน จึงถอดเสื้อนอกออกมากลับด้าน

 

 

ก่อนเปิดหนังสือราชโองการในมือของขุนนางออกช้าๆ

 

 

ทุกคนรีบคุกเข่าลงฟังราชโองการ นี่ถือเป็นราชโองการครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้สั่งเสียเอาไว้ หลังจากฟังราชโองการนี้ ฮ่องเต้ได้สูญเสียผลกระทบต่อราชสำนักไปแล้วโดยสมบูรณ์

 

 

พอต้องนั่งฟัง ‘หนังสือราชโองการ’ ที่เขียนความตั้งใจของนางเป็นส่วนใหญ่ ถาวจวินหลันกลับแปลกใจเล็กน้อย

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง พอถาวจวินหลันฟัง ‘หนังสือราชโองการ’ จนจบ ก็หันไปมองสีหน้าของฮองเฮาที่เปลี่ยนไปดูสับสน

 

 

ฮองเฮาได้ยินแล้วก็ไม่อยากเชื่อ แต่แล้วก็ใจเย็นลง ก่อนพูดเสียงเย็นว่า “ฮ่องเต้ไม่มีทางประกาศราชโองการเช่นนี้เป็นแน่”

 

 

จวงอ๋องและอู่อ๋องก็มีท่าทีเช่นนี้ ล้วนไม่เชื่อ “ใช่ ไม่มีทาง”

 

 

“ท่านอ๋องกลับตระกูลเดิมถือเป็นเรื่องสมเหตุผล ตัวอย่างในรัชสมัยนี้มีไม่น้อย ต้องให้ข้ายกตัวอย่างทีละคนหรือไม่? อีกอย่าง ตอนที่เสด็จพ่อเขียนหนังสือราชโองการก็อยู่ต่อหน้าข้า ทำไมพวกเจ้าต้องสงสัยข้าเล่า?” หลี่เย่แค่นหัวเราะมองพวกเขาทั้งสามคน และมองไปที่องค์ชายเจ็ด “เจ้าเจ็ดคิดว่าหนังสือนี่เป็นของปลอมหรือไม่?”

 

 

องค์ชายเจ็ดส่ายหน้ายืนยัน “ไม่ใช่ของปลอมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อคิดจะจัดการกับฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่แล้ว จะมีหนังสือราชโองการเช่นนี้ก็ไม่แปลก อีกทั้งกฎที่ว่าท่านอ๋องต้องกลับตระกูลเดิมก็มีมานานแล้ว มีอะไรน่าแปลกอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? บางทีเสด็จพ่อคงกลัวว่าจะกระทบต่อความสงบสุขในราชสำนักของพี่รอง ถึงได้เขียนหนังสือราชโองการเช่นนี้ก็เป็นได้” องค์ชายเจ็ดพูดจนจบ ก็เห็นชัดว่าแฝงไว้ด้วยความขบขัน ท่าทียิ้มมีเลศนัยและแฝงนัยบางอย่าง เท่านี้ก็ให้อู่อ๋องกินปูนร้อนท้อง ทำหน้าขรึมพูดว่า “น้องเจ็ด เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

 

 

องค์ชายเจ็ดหัวเราะเยาะด้วยท่าทีไม่สนใจ “ท่านคิดว่าอย่างไรก็ตามนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” สิ้นเสียงก็ไม่สนใจคนอื่นอีก เพียงแค่หันไปมองหลี่เย่ “พี่รอง พวกเราไปกันเถิด บ่าวจะได้เข้ามาเปลี่ยนชุดให้เสด็จพ่อเสียที”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า พลางกำชับอี้กุ้ยเฟย “อี้กุ้ยเฟยท่านช่วยจัดการเรื่องสตรีในวังหลังเถิด จวินหลันกำลังตั้งครรภ์ เหนื่อยมากไม่ได้”

 

 

อี้กุ้ยเฟยย่อมไม่ปฏิเสธ ปาดน้ำตาพลางรีบรับคำ “องค์รัชทายาทโปรดวางใจ มอบเรื่องนี้ให้ข้าเถิด”

 

 

หลี่เย่เอ่ยกำชับอี้กุ้ยเฟยอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ถือว่าอี้กุ้ยเฟยเป็นผู้แก่วัยวุฒิ ทว่าข้ามหัวฮองเฮาไปเช่นนี้ สีหน้าของฮองเฮาพลันก็เข้มขรึม หน้าเคร่งมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

แต่หลี่เย่ไม่ยอมปล่อยฮองเฮาไปง่ายๆ เช่นนี้ จึงเอ่ยปากพูดก่อน “เห็นว่าฮองเฮาเองก็อยู่ในช่วงกักบริเวณ รีบกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ข้าจะคุกเข่าส่งวิญญาณฮ่องเต้อยู่ที่นี่ จะให้กลับไปได้อย่างไร!” ฮองเฮาพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางเข้าใจความคิดของหลี่เย่ ถ้ายังไม่มีฉากร้องไห้ให้เห็น ฮองเฮาเช่นนางก็มีเพียงจุดจบเดียวเท่านั้น นั่นคือถูกคนลืมเลือนไปโดยเร็ว เรื่องกลับมามีอำนาจคงยากเสียยิ่งกว่ายาก

 

 

อีกทั้งสำคัญที่สุด ฮ่องเต้ไม่ได้พูดระยะเวลากักขังที่แน่ชัด ตอนนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และหลี่เย่ก็ไม่ได้พูดผ่อนปรน เช่นนั้นนางยังต้องถูกกักบริเวณไปถึงเมื่อไรกัน?

 

 

อู่อ๋องก็เอ่ยปากพูดว่า “พี่รอง เสด็จพ่อเลอะเลือนไปแล้ว หรือว่าท่านก็เลอะเลือนไปด้วย? หลายปีมานี้เสด็จแม่ดีกับพวกเรามาโดยตลอด ท่านไร้เยื่อใยเช่นนี้ ไม่กลัวคนกล่าวโทษว่าท่านอกตัญญูหรือ?”

 

 

อู่อ๋องคิดจะเงยหน้าขึ้นมางัดกับหลี่เย่

 

 

หลี่เย่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ถาวจวินหลันก็ชิงพูดขึ้นว่า “อู่อ๋องพูดถูกเพคะ องค์รัชทายาทเหมือนไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้กฎเกณฑ์ก็จริง แต่เสด็จพ่อสั่งกักบริเวณเอาไว้ พวกเราจะขัดคำสั่งได้อย่างไรเพคะ? เสด็จพ่อเป็นฮ่องเต้ พวกเราเป็นขุนนาง ย่อมต้องปฏิบัติตามคำพูดของเขา เสด็จพ่อเป็นหัวหน้าของตระกูล พวกเรายิ่งมิกล้าไปแก้ไขคำสั่งของเขา มิเช่นนั้นเกรงว่าคนทั้งแผ่นดินคงตราหน้าองค์รัชทายาท ทำไมอู่อ๋องต้องสร้างความลำบากใจให้องค์รัชทายาทด้วยเล่าเพคะ?”

 

 

อู่อ๋องหน้าขรึม “องค์รัชทายาทไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์กาลก่อนเลยหรือ? เสด็จแม่เพียงแค่อยากคุกเข่าส่งวิญญาณให้เสด็จพ่อเท่านั้น พวกท่านเป็นสามีภรรยาย่อมรักใคร่กัน…”

 

 

ถาวจวินหลันทนฟังต่อไปไม่ไหว เอ่ยเตือนอู่อ๋องเสียงเรียบ “อู่อ๋องอ่านหนังสือราชโองการของเสด็จพ่อให้ดีอีกสักครั้งเถิดเพคะ สามีภรรยารักใคร่อย่างนั้นหรือ?” นางหัวเราะเย้ยหยัน ไม่อยากพูดอะไรอีก

 

 

อู่อ๋องหน้าเห่อแดงทันที ไม่ใช่เพราะอับอายแต่เพราะหงุดหงิด เขาถลึงตามองถาวจวินหลัน และมองไปทางหลี่เย่อีกครั้ง “บุรุษกำลังพูดคุย ไฉนเลยสตรีจะสอดแทรกได้ตามใจ? หรือพี่รองไม่รู้แม้แต่กฏข้อนี้?”

 

 

“นางเป็นชายารัชทายาท ไม่ใช่ภรรยาชั้นต่ำของเจ้า อู่อ๋อง หากเจ้ายังล่วงเกินเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้อง!” หลี่เย่โกรธขึ้ง ตะคอกเสียงเบาด้วยหน้าเคร่งขรึม

 

 

จวงอ๋องดึงอู่อ๋องเอาไว้ ก่อนพูดอย่างปลิ้นปล้อนไม่จริงใจ “ช่างเถิด น้องชายแสนโง่ของข้า พี่รองเป็นองค์รัชทายาทแล้ว พวกเราต้องเชื่อฟังคำพูดของเขา”

 

 

หลี่เย่ขี้คร้านไปถกเถียงกับจวงอ๋อง สั่งกำชับนางกำนัล “พาฮองเฮาเหนียงเหนียงกลับวังไปเถิด หากฮองเฮามีความรักอย่างลึกซึ้งกับฮ่องเต้จริง เช่นนั้นก็ทำตามจวงเฟยตายไปพร้อมกันเลย ดีหรือไม่?”

 

 

ฮองเฮายอมตายไปพร้อมกันได้ที่ไหน จึงไม่แสดงท่าทีโศกเศร้าอาดูรอีก สูดลมหายใจเข้าลึกไม่รอให้คนมา ‘ประคอง’ ก็เดินหลังตรงแน่วออกจากประตูไป

 

 

ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังที่เหยียดตรงของฮองเฮา ก็ให้สงสัยขึ้นมา หรือว่าฮองเฮาจะยอมปล่อยไปเช่นนี้? เอาจริงแล้วตอนนี้ฮองเฮาควรคิดหาวิธีรักษาตำแหน่งเอาไว้มิใช่หรือ? อย่างไรฮ่องเต้ก็จากไปแล้ว! ไม่นานหลี่เย่ขึ้นตำเป็นฮ่องเต้ก็ตัดสินใจทุกอย่างเองได้แล้ว ศัตรูอย่างฮองเฮาควรต้องลนลานแล้วมิใช่หรือ?

 

 

แต่ฮองเฮากลับนิ่งสงบจนน่าแปลกใจ เหมือนกับฮองเฮาเดาเรื่องนี้ได้แต่แรก และเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ตอนนี้ถึงได้ดูสบายใจนัก

 

 

ฮองเฮาเตรียมพร้อมมาแล้วจริงหรือ? ความคิดนี้วนอยู่ในหัวของถาวจวินหลันหลายครั้ง แต่ยังคิดไม่ออกก็ถูกเรื่องอื่นดึงดูดดความสนใจไป

 

 

ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว แม้เตรียมโลงศพและหลุมฝังพระศพไว้ก่อน แต่วังหลวงก็ยังต้องอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายอยู่ดี

 

 

พิธีฝังพระศพของฮ่องเต้มีพิธีรีตองมากมาย ช่วงนี้จึงไม่มีใครว่างแม้แต่คนเดียว

 

 

แม้เด็กๆ ในวังตวนเปิ่นยังอายุน้อย แต่ก็ยังต้องมาคุกเข่าส่งวิญญาณตามกฎเกณฑ์ คนที่ตายไม่เพียงเป็นเสด็จปู่ของพวกเขา ทั้งยังเป็นผู้นำแคว้น ไม่ว่าเป็นฐานะหลาน หรือเป็นขุนนางก็สมควรคุกเข่าส่งวิญญาณ

 

 

ต่อให้ถาวจวินหลันเป็นหญิงตั้งครรภ์ก็ไม่ยกเว้น แต่เพราะนางยังมีเรื่องต้องจัดการ จึงไม่ได้คุกเข่านานนัก มากที่สุดแล้วคือนั่งคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่ง เดี๋ยวนางก็ต้องลุกไปจัดการธุระ

 

 

คุกเข่าส่งวิญญาณต้องทำนานถึงสามวัน นี่เพิ่งจะวันแรก หลังจากซวนเอ๋อร์คุกเข่าไปครู่หนึ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาเพียงบ่นกับตัวเองเท่านั้น ทั้งยังแอบถามถาวจวินหลันว่า “ท่านแม่ให้น้องสาวกลับไปก่อนได้หรือไม่?”

 

 

ถาวจวินหลันก็เจ็บเข่าเช่นเดียวกัน แม้อยากให้เด็กๆ กลับไป แต่นางก็ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ไม่ได้ หากเหนื่อยก็ให้แม่นมแอบอุ้มหมิงจูออกไปนอน ตื่นแล้วค่อยมาทำต่อ”

 

 

ซวนเอ๋อร์เดินกลับไปอย่างงุ่นง่านเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันมองซวนเอ๋อร์ ก่อนเหลือบมององค์ชายเก้าในอ้อมแขนแม่นม ก็ให้เศร้าใจบอกไม่ถูก องค์ชายเก้ามีชะตาน่าสงสารเสียจริง แม้อี๋เฟยรักใคร่เขา แต่อี๋เฟยก็จากไปนานแล้ว ถึงกู้ซีไม่ดีอย่างไร แต่ก็ยังเอ็นดูเขาจากใจจริง แต่ตอนนี้กู้ซีเป็นตายเท่ากัน…แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนที่เอ็นดูเขาไม่อยู่แล้ว หลังจากนี้ชีวิตของเขาคงลำบากกว่าเดิม

 

 

ไม่ใช่ว่านางกับหลี่เย่จะเอาเปรียบเด็กคนนี้ แต่ก็อาจไม่ได้เอ็นดูและมอบความรักให้มากนัก นางอาจจะสงสาร แต่สุดท้ายแล้วก็เพียงสร้างกุศลเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้เยอะมาก อย่างน้อยก็ไม่มากเท่ากับมารดาให้ลูกคนหนึ่ง สำหรับหลี่เย่ยิ่งไม่อาจเป็นไปได้ แม้แต่ลูกของตนเองยังไม่มีเวลาดูแลเลยด้วยซ้ำ

 

 

อีกทั้งองค์ชายเก้าก็ไม่ใช่สายเลือดตระกูลหลี่ หลังจากนี้จะถูกจัดการอย่างไรก็ยังไม่มีคนรู้

 

 

เด็กตัวเล็กเท่านั้น แต่กลับไม่รู้อนาคต…

 

 

ทว่าถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้ได้ไม่นานนัก ก็มีเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจไปโดยพลัน