[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 21 เรื่องฉาวของพระราชวัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

จั่งซุนพลิกบัตรเชิญไปมา แม้แต่คำแนะนำเกี่ยวกับละครที่เขียนอยู่ด้านหลังก็ยังอ่าน จะบอกอะไรที่ไม่น่าเชื่อให้ฟัง จั่งซุนไม่เคยได้รับบัตรเชิญเลย บัตรเชิญที่เป็นทางการเช่นที่อวิ๋นเยี่ยเอามาให้นางแบบนี้ ตอนที่นางยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ออกไปงานสังสรรค์ข้างนอกก็จะออกไปกับหลี่ซื่อหมินทุกครั้ง เป็นเพียงผู้ติดตามตลอด และถึงแม้ว่าจะได้บัตรเชิญ ทว่าเงยหน้าดูก็คือบัตรเชิญของหลี่ซื่อหมิน ไม่มีทางเป็นบัตรเชิญของตนเองได้เลย

 

 

“องค์หญิงยังเล็กอยู่ ข้าต้องคอยดูแล ข้าคงจะไปไม่ได้” จั่งซุนรู้สึกเสียดาย แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ทำให้นางปฏิเสธคำเชิญของอวิ๋นเยี่ย ยังต้องให้นมลูกสาว จั่งซุนป้อมนมลูกด้วยตัวเองเสมอ ไม่เคยผ่านมือใครอื่น

 

 

“ท่านอย่าได้กังวลไปเลยขอรับ โรงละครได้เตรียมห้องพิเศษสำหรับฮองเฮาและฝ่าบาทไว้แล้ว การออกไปสังสรรค์ครั้งนี้ ฮองเฮาก็ถือเสียว่าเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องบ้านเมือง เรื่องงานราชการ เพียงแค่ออกไปชมดนตรีและการแสดงเท่านั้น ถือโอกาสซื้อของที่ฮองเฮาชอบติดมือกลับมาด้วย ข้าจะบอกอะไรฮองเฮาให้อย่าง ที่นั่นมีกระโปรงที่ออกแบบเป็นพิเศษโดยช่างทอผ้าของสำนักศึกษาด้วยนะ รวมถึงเครื่องประดับงามตาที่ออกแบบโดยตระกูลกงซูอีก น้ำหอมที่ผลิตโดยตระกูลอวิ๋นก็มี ชื่อก็ตั้งเรียบแล้ว ชื่อว่าดึงดูดวิญญาณขอรับ”

 

 

สาวใช้ส่วนตัวมองไปที่ฮองเฮาอย่างมีความหวัง ถ้าฮองเฮาไป นางก็จะต้องได้ไปด้วย แต่ถ้าฮองเฮาไม่ไป นางก็คงได้เลี้ยงเด็กอยู่ในวัง ตอนที่ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยแนะนำ ด้วยมีชีวิตในวังที่เงียบเหงามานานหลายปีก็เกิดทำให้นางรู้สึกถึงหัวใจที่อยากจะโบยบินตั้งนานแล้ว

 

 

ในขณะที่จั่งซุนกำลังลังเลอยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ฮองเฮา สำหรับเรื่องป้อนนมองค์หญิงน้อย กระหม่อมได้คิดไว้แล้วขอรับ นี่คือขวดนม กระหม่อมได้เตรียมไว้สำหรับลูกของกระหม่อมในอนาคต ตอนนี้กระหม่อมเอาให้ฮองเฮา ฮองเฮาต้องเก็บน้ำนมไว้ในขวดนม เมื่อองค์หญิงหิว ก็ให้อุ่นด้วยน้ำร้อนแล้วป้อนให้องค์หญิงขอรับ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบขวดนมแก้วออกมาจากแขนของเขา แก้วทำได้ง่าย แต่จุกยางข้างบนเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยทรมานตาย เพื่อที่จะหาวัสดุทดแทนที่สะอาดและถูกสุขอนามัย เขาลองใช้วัสดุมากมายนับไม่ถ้วน เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตีเอ็นเนื้อให้เละ ต้มเป็นยาง แล้วใส่ลงในแม่พิมพ์สำหรับอัดขึ้นรูป ใครจะรู้ว่าเมื่อรอให้เอ็นแห้งแล้ว จุกขวดนมกลับแข็งขึ้นมาทันที ลูกใครจะชอบจุกขวดนมแข็งกันล่ะ

 

 

ตอนแรกกงซูมู่ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำอะไร พอเขารู้ เขาก็หัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ออก บอกว่าอวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองฉลาดแต่กลับถูกความฉลาดขัดขวาง แทนที่จะใช้วัสดุสำเร็จรูป แต่เขากลับคิดอยู่ตั้งนาน แถมยังเสียเวลา ช่างโง่เขลาจริงๆ ตาแก่คนนี้ไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะได้หัวเราะเยาะอวิ๋นเยี่ยไปแน่ แล้วจึงตัดท่อนไม้อ่อนท่อนหนึ่งจากลานบ้านของตัวเอง ใช้มือหักครึ่งแล้วยื่นให้อวิ๋นเยี่ย ก่อนจะพูดว่า “ของแบบนี้มีอยู่ทั่วไป เจ้าตัดให้มันเป็นจุกนมก็ได้แล้ว นุ่มกำลังดี แปรงฟันของหลานชายข้าก็ทำมาจากสิ่งนี้ ไม่มีปัญหาแน่นอน” อวิ๋นเยี่ยรับมันมา ใช้มือลองบีบดู เขาก็หน้าแดงขึ้นมา แม่งเอ๊ย ทำไมคิดไม่ถึงไม้อ่อนนะ

 

 

จั่งซุนตกใจไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา หยิบขวดนมขึ้นมาดู แล้วยังสั่งให้สาวใช้เอาขวดนมไปล้างแล้วเทน้ำนมลงไป ตัวเองลองหยิบขึ้นมาดูด เห็นน้ำนมสีขาวค่อยๆ ไหลออกมาจากขวด นางก็ดูดเข้าไปในปาก พยักหน้าด้วยความพอใจและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าเชิญข้าไปร่วมงานด้วยได้ แต่ขวดนมนี้ต้องเป็นของข้า”

 

 

“กระหม่อมเอามาให้ฮองเฮาอยู่แล้วขอรับ คงไม่ต้องพูดอะไร”

 

 

“ข้าหมายความว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าทำของสิ่งนี้ขึ้นมา เจ้าเข้าใจไหม” จั่งซุนมองซ้ายมองขวาไม่ยอมปล่อยมือจากขวดนม

 

 

“ของสิ่งนี้ฮองเฮาเป็นคนบอกให้กระหม่อมทำขึ้นมา ใครกล้าสงสัย กระหม่อมไม่ยอมแน่ขอรับ” เห็นท่าทางอกผายไหล่ผึ่งของอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนกับสาวใช้ส่วนตัวที่คอยข่มขู่เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เจ้านายกับคนใช้ก็น่ารังเกียจเหมือนกัน เรื่องขวดนมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่นางไปเป็นเกียรติให้กับงานพรุ่งนี้ที่โรงละครก็คุ้มค่ามากพอแล้ว ขายขวดนมจะได้สักเท่าไหร่กัน

 

 

จัดการกับทั้งคู่ได้เรียบร้อย ก็ถือว่าเป็นผลความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากพระราชวังอย่างสบายใจ เห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามา เขาหาทางหลบ ถึงได้เดินผ่านประตูด้านข้าง และเดินตรงไปที่พระราชวังตะวันออกเพื่อไปปรึกษากับหลี่เฉิงเฉียนเรื่องงานแต่งของเจ้าตัวว่าต้องการจะให้ตัวเขาไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือไม่ เพื่อนเจ้าบ่าวของรัชทายาทนั้น โดยปกติแล้วจะต้องเป็นคนในราชวงศ์ ขุนนางยศต่ำต้อยอย่างเขาไม่อาจได้หรอก

 

 

“เฮ้ย หยุดเลยนะ” น้ำเสียงผู้หญิงที่น่ารักทำให้อวิ๋นเยี่ยจำเป็นที่จะต้องหยุดเดิน เพราะว่าตรงนี้นอกจากตัวเขาเองก็มีแค่กลุ่มเด็กผู้หญิงพวกนั้น แสดงว่านางกำลังเรียกเขา

 

 

หันหลังไป เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียววิ่งเข้ามา ต้องยอมรับว่าลูกสาวของหลี่ซื่อหมินมีหน้าตาสวยงาม โดยเฉพาะคนที่วิ่งเข้ามาคนนี้ น่าจะอายุสักสิบสองขวบ นางรวบผมขึ้นหมด น่าจะเพิ่งไปตกปลามา เพราะว่าในมือกำลังถือไม้ไผ่คู่หนึ่งอยู่ แล้วยังมีตะกร้าปลาห้อยอยู่ที่เอวด้วย ดูจากท่าทางที่ผ่อนคลายของนาง ในตะกร้าปลาน่าจะไม่มีปลาอยู่

 

 

“อวิ๋นเยี่ย ลับๆ ล่อๆ ทำอะไร เจ้าขโมยของหรือเปล่า” สายตาของเด็กผู้หญิงคนนั้นมองอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางตื่นเต้นเหมือนจับโจรได้

 

 

“เหอผู่ เจ้าก็ยังมีนิสัยอคติกับข้า สิ่งของในวังมีอะไรให้ข้าขโมย เจ้าดูสิ หญ้าขึ้นกำแพงหมดแล้ว เก่ากว่าบ้านของข้าซะอีก สมบัติสองชนิดนั้นข้าก็เป็นคนเอามาให้ เจ้าจะโอ้อวดทำไมกัน” สำหรับองค์หญิงเกาหยางผู้ที่จะยิ่งใหญ่ในอนาคต อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำ เด็กคนนี้ถูกหลี่ซื่อหมินตามใจจนเสียคน จะต้องสั่งสอนเสียบ้าง

 

 

“เจ้ากล้าพูดว่าบ้านของเจ้าดีกว่าพระราชวัง เจ้ารนหาที่ตายชัดๆ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ บอกให้เสด็จพ่อเอาเจ้าไปแขวนตากแห้งที่เสาธง” นางตะโกนออกมาอย่างดุเดือด

 

 

“ข้าเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ทำอะไรข้าหรอก เหอผู่ ข้าได้ยินมาว่าที่ดินของเจ้าอุดมไปด้วยไข่มุก เมื่อไหร่จะส่งมาให้ข้าบ้าง ข้าจะได้ไม่ต้องลงโทษฝางอี๋อ้ายที่สำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เขาแบกก้อนหินวิ่งทุกวัน มันคงกดความสูงของเขาลงสักสามนิ้วกระมัง” มันไม่เหมือนกันกับที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ เกาหยางกับฝางอี๋อ้ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้อวิ๋นเยี่ยสับสนเล็กน้อย

 

 

“ไอ้โง่คนนั้น เจ้าจะทรมานเขาจนตายข้าก็ไม่สนใจ เอ่อใช่ ข้าได้ยินพี่อั้นบอกว่าเจ้าเอาหัวใจแกะไปเปลี่ยนให้พี่โย่ว จริงหรือเปล่า” เหอผู่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะอากาศร้อน นางจึงไม่ได้ใส่เสื้อข้างในเลยทำให้เห็นหน้าอกเล็กๆ นางคงจงใจ เด็กคนนี้เป็นนางมารร้าย

 

 

อวิ๋นเยี่ยถอยออกห่างไปหนึ่งก้าวแล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “หัวใจดวงเดิมของเขาเต็มไปด้วยความสกปรก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นใด ข้าก็เลยเปลี่ยนหัวใจให้เขา หลี่โย่วไม่ได้บอกเจ้าเหรอว่า ทุกเที่ยงคืนหัวใจของเขาจะเจ็บปวดมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาฮองเฮายังบอกเลยว่า จะส่งพวกเจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษาดีไหม ต่อไปจะได้จัดการที่ดินได้ ข้ารอคอยการมาของเจ้า เจ้าหญิงผู้ยโสเช่นนี้ ก็คงเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ได้เช่นกัน เจ้าก็อาจจะต้องเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน เจ้าว่า เอาหัวใจของวัวดีไหม”

 

 

จู่ๆ น้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยก็ฟังดูโหดร้าย นึกถึงภาพหลี่อั้นที่เต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ท่าทางที่ตายทั้งเป็นของหลี่โย่ว เหอผู่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ก้มลงมองหน้าอกของตัวเอง ไม่กล้าจินตนาการภาพของหัวใจวัว นางกรีดร้องและวิ่งหนีราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวที่สุดในโลก หลี่โย่วถูกเปลี่ยนหัวใจแล้ว ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนที่น่าเชื่อถือ แต่เหอผู่เชื่อ เพราะว่าหลี่อั้นไม่เคยโกหกนาง

 

 

เหอผู่วิ่งหนีไปแล้ว หลานหลิงก็มาอีก ลากสุนัขขนหยิกมาด้วยตัวหนึ่ง มองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วตะโกนว่า “สุนัขดูน่ารักทีเดียว แต่ทำไมถึงถูกเรียกว่าฉางอันแสนอันตรายเหมือนกับเจ้าได้ล่ะ”

 

 

จะบอกเด็กคนนี้อย่างไรดีว่าสุนัขพันธ์นี้เชี่ยวชาญเรื่องการกัดผู้ชาย เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบนั้นจะบอกว่าโตก็ยังไม่โต จะบอกว่าเด็กอยู่ก็ไม่เด็ก ก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่อง “ข้าชอบทานเนื้อสุนัข มันก็เลยโชคดี ถูกเรียกว่าแสนอันตรายยังไงล่ะ”

 

 

“เจ้าทำอาหารอร่อยนี่ เราทานสุนัขตัวนี้กันดีไหม” หลานหลิงดีใจที่ได้ยินแบบนี้ เขาก็ชอบทานเนื้อสุนัขเหมือนกัน

 

 

สุนัขตัวนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ใต้เท้าของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้เลยว่าเจ้าของกำลังอยากจะทานเนื้อของมัน

 

 

ไม่มีอะไรจะพูดกับเด็กที่ไม่มีหัวใจ ทำได้แค่ก้มหน้าวิ่งหนีไป แล้วด้านหลังยังมีเสียงของเด็กผู้หญิงที่เอาแต่พูดยุยงว่าสุนัขตัวนั้นดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี

 

 

ในพระราชวังมีเพียงวังทางตะวันออกเท่านั้นที่ทานมังสวิรัติ หลี่เฉิงเฉียนกำลังทำงานอยู่ นั่งกระซิบกระซาบอยู่บนเก้าอี้ หลี่เฉิงเฉียนนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หลังโต๊ะทำงาน เอาแต่เขียนอะไรบางอย่างด้วยพู่กัน เห็นว่าเขากำลังยุ่งอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไปที่สวนดอกไม้ รอให้เขาทำงานเสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาเขา

 

 

สวนดอกไม้แสนเงียบสงบ บอกให้คนรับใช้ของตนเอาเก้าอี้และชงชามาให้ เขาเตรียมที่จะงีบหลับสักพักหนึ่ง พอตัวเองหลับตื่นขึ้นมาก็คงพอดีกับการดื่มชาที่เย็นลงแล้ว

 

 

ในขณะที่กำลังหลับใหลอยู่ในความมึนงง ก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างหู “ท่านอวิ๋น ท่านจะไม่ยอมให้พวกเรามีชีวิตรอดจริงๆ เหรอ” นี่ไม่ใช่ความฝัน อวิ๋นเยี่ยได้ยินมันอย่างชัดเจน

 

 

ลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบๆ ไม่พบใครอื่น มีเพียงขันทีแก่กำลังตัดหญ้าอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปที่ขันทีแก่คนนั้น อวิ๋นเยี่ยก็พูดว่า “ข้าไม่พูดอะไร ก็ให้พวกเจ้ามีชีวิตแล้ว ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ายุ่งเรื่องของหลี่อันหลาน และก็อย่ามาแตะต้องลูกของข้า มิฉะนั้น ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “องค์หญิงอยู่ไกล พวกข้าไม่มีทางเข้าไปยุ่ง คนของเจ้าไม่ยอมให้พวกเราเข้าใกล้องค์หญิง ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเชื่อใจเจ้ามาก เจ้าเป็นผู้ชายของเขา พวกข้าแค่อยากมีชีวิตรอด เมื่อวานก็มีนางรับใช้ในวังฆ่าตัวตายไปแล้วอีกสองคน ท่านอวิ๋น พวกเรามันคนต่ำต้อย ชีวิตราวกับต้นหญ้า แค่อยากมีชีวิตอยู่ไปจนแก่เฒ่าเท่านั้น ท่านอวิ๋นได้โปรดเมตตาด้วย”

 

 

ไม่เห็นคนที่พูด มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์มาแล้วมากมาย เขาอ้าปากแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งมากเหรอที่ทำเสียงแบบนี้ได้ มีมือมีเท้าก็หาทางเอาตัวรอดเองไม่ได้หรอกหรือ ถ้าหากข้าช่วยพวกเจ้า ภายใต้ความทะเยอทะยาน พวกเจ้าก็จะเติบโตเป็นมังกรพิษ ต่อไปก็อาจจะเกิดภัยพิบัติ โลกที่กำลังสงบสุขก็อาจจะต้องแตกแยกอีกครั้ง ผลที่ตามมาร้ายแรงเกินไป ข้าไม่กล้าทำ”