“ท่านอวิ๋นมีความรู้ที่กว้างขวาง เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว ข้าแค่ขอเพียงกินอิ่มนอนหลับและมีเสื้อผ้าใส่ จะได้ไม่ถูกพวกสุนัขกัดกินศพ แค่นี้ก็พอใจแล้ว” ขันทีแก่ก็ยังคงมองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
“สอนให้เขารู้จักวิธีตกปลาดีกว่าเอาปลาให้เขา ส่งเงินทั้งหมดของพวกเจ้าไปที่บ้านของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ฉางอันในวันพรุ่งนี้ ข้าช่วยได้แค่ให้พวกเจ้าตั้งเนื้อตั้งตัว ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง”
พอทนดูไม่ได้ ความใจอ่อนก็มักจะคอยทรมานอวิ๋นเยี่ยอยู่เสมอ เมื่อกี้สายตาของขันทีแก่เผยให้เห็นกลิ่นอายของความตาย ตั้งแต่ครั้งก่อนที่รู้ว่ามีคนที่ต่ำต้อยพวกนี้อยู่ เขาก็ตั้งใจไปดูสภาพความเป็นอยู่ของขันทีและสาวใช้ในราชวังโดยเฉพาะ ใช้คำเปรียบเทียบได้เพียงคำเดียวคือ น่าสังเวชอย่างยิ่ง ถูกขับไล่ออกจากพระราชวังในวัยชรา มีเงินติดตัวอยู่เพียงไม่กี่เหรียญ บวกกับการใช้ชีวิตในพระราชวังเป็นเวลานาน ก็เลยไม่สามารถเข้ากับฝูงชนได้ ฝูงชนก็ไม่ยอมรับพวกเขา ใช้เงินหมดแล้วก็ทำได้แค่ขอทานหรือไม่ก็อดตาย ผู้ชายกับผู้หญิงก็เหมือนกันหมด
ขันทีแก่ก้มลงจูบเท้าของอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่พื้น จากนั้นก็เดินออกไปจากสวนดอกไม้
รู้สึกไม่มีอารมณ์นอนอีกต่อไป พรุ่งนี้ก็คงใช้เงินของพวกเขาหาเงินเพิ่มอีกหน่อย ซื้อที่ดินในพื้นที่ห่างไกลให้พวกเขาแล้วจ้างชาวนาบางคน พวกเขาคงพอได้อาศัยค่าเช่าของคนเช่าในการใช้ชีวิตต่อไป แบบนี้ถึงจะได้ไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง ขันทีหนุ่มคงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ให้เงินพวกเขา มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน
สองสามวันนี้หลี่เฉิงเฉียนดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยถามเขาว่าลูกสาวของตระกูลซูหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ เขากลับมีสีหน้าที่หวาดระแวง ดูเหมือนจะกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะคิดแผนการชั่วร้าย เขาบอกแค่พอดูได้ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ลูกสาวขอตระกูลซูต้องเป็นคนที่สวยงามคนหนึ่งแน่นอน
“ตอนที่เจ้าแต่งงานอย่าให้ข้าต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้ไหม ตอนที่ข้าแต่งงาน เฉิงฉู่มั่วยังถูกตีจนโง่ เจ้าเป็นรัชทายาท พวกเขาไม่กล้าตีเจ้า แล้วข้าจะไม่ถูกตีจนตายเลยเหรอ”
ชาที่ชงไว้ช่างไร้ประโยชน์ หลี่เฉิงเฉียนยกดื่มไปหมดแล้ว นี่ก็เป็นนิสัยที่ได้มาจากอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนถอนหายใจที่ตัวเองแก้นิสัยของรัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม หลี่ซื่อหมินไม่สนใจด้วยซ้ำ บอกให้ไม่ต้องจับสองคนนี้มาฝึกมารยาทด้วยกัน ถึงได้ทำให้พวกเขารอดพ้นไป
“ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนแค่คนเดียว พวกพี่น้องผู้ชายในตระกูลท่านลุง เจอข้าก็ราวกับหนูเจอแมว แทบไม่กล้าหายใจ ข้าเหนื่อยมากพอแล้ว ให้คนอื่นได้ผ่อนคลายบ้าง ก็แค่สิบกว่าที ทนๆ เอาหน่อยเถอะ” อย่างไรก็ไม่ใช่ตัวเองที่ถูกตีก็เลยพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย
“งานประมูลเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่ามีการร้องเพลงร่ายรำที่น่าสนใจ ข้าจะพาพี่ๆ น้องๆ ไปดูด้วย จะได้สดชื่นขึ้นบ้าง ได้ยินมาว่าทั้งฉางอันกำลังจับตาดูเจ้าอยู่เลยนะ”
“เจ้าหยุดเพ้อฝันได้แล้ว ยังจะพาพี่ๆ น้องๆ ไปดูด้วยอีก ห้องของเจ้าก็แค่ห้องสี่เหลี่ยมหกฟุต พี่น้องเจ้าเยอะขนาดนั้นจะอยู่ได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยหันหลังนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับยกขาไขว่ห้างพูดกับหลี่เฉิงเฉียน
“หากเจ้าไม่หาเงินเจ้าจะตายเหรอ เอาห้องเล็กเช่นนั้นให้ข้า ข้าบอกพวกเขาไปแล้ว ไม่ได้ เจ้าต้องเปลี่ยนเป็นห้องใหญ่ให้ข้า ห้องเบอร์หกนั่นก็ได้”
อวิ๋นเยี่ยเอาภาพห้องที่หลี่ซื่อหมินเป็นคนจัดเตรียมให้รัชทายาทดู
“หา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้เอาห้องเล็กให้ข้า หา? ของเจ้าก็ห้องเล็ก ของชิงเชวี่ย เสี่ยวเค่อก็ไม่มี เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ายังบอกตระกูลซูว่าจะพาพวกเขามาดูด้วย”
“นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่ปัญหาของข้า เจ้าไปโน้มน้าวใจฝ่าบาทเอาเอง ข้าจะกล้าจัดห้องเองได้อย่างไร เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรล่ะ”
“เยี่ยจึคิดหาทางออกให้ข้าหน่อยสิ ไม่เช่นนั้นข้าต้องอับอายขายขี้หน้ามากแน่ๆ ข้าเป็นถึงรัชทายาท ข้าจะขายหน้าไม่ได้หรอกนะ” หลี่เฉิงเฉียนรีบร้อนไปหมด หลี่ซื่อหมินเอาห้องใหญ่ให้กับหลี่เต้าจง ไม่มีใครกล้าขัดหลี่ซื่อหมิน รัชทายาทก็ไม่กล้า
“มีอยู่ทางเดียวคือเจ้าเอาห้องนั้นให้พี่น้องของเจ้า แล้วถ้าเจ้ามีความสามารถหลอกล่อตระกูลซูออกมาได้ ข้าจะช่วยหาที่ลับส่วนตัวเพื่อชมการแสดงให้เจ้า ถ้าเจ้าถือโอกาสจัดการกับตระกูลซูได้ พี่ชายอย่างข้าก็อวยพรให้กับเจ้าแล้ว”
“เหลวไหล นั่นภรรยาของข้า ข้าจะรีบทำไม นับดูเวลาก็สองสามเดือนแล้ว เดือนหน้าแต่งงานกับตระกูลโหว เดือนถัดไปแต่งงานกับตระกูลซู ไม่รีบร้อน เจ้าแน่ใจเหรอว่าส่วนตัว จะไม่มีใครเห็นเหรอ”
“มีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกมาระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ตอนแรกข้าเตรียมไว้ให้ตัวเอง แต่ตอนนี้คงต้องยกให้เจ้า นั่นคือสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมการแสดงแล้ว แต่หลี่เฉิงเฉียน ทำไมข้ารู้สึกว่าข้าเหมือนแม่สื่อ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นเช่นนั้นหรอกใช่ไหม”
“ข้าไม่คิดกับเจ้าเช่นนั้นแน่นอน แต่ข้าบอกน้องสาวข้าว่า เจ้าเป็นคนคิดที่จะหลอกล่อตระกูลซูออกมา เขาบอกว่าถ้าเจอเจ้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”
ผู้ชายสองคนพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์เช่นนี้ช่างน่ารำคาญใจ ดีที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน วันนี้มีการซ้อมใหญ่ที่โรงละคร อวิ๋นเยี่ยอยากไปดูว่าเป็นอย่างไร ถ้ายังดีไม่พอ เขาก็จะเปลี่ยนการแสดงทันที นักระบำหมุนหูเสวียนแปดเก้าคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ระบำหมุนหูเสวียนปกติจะทำการแสดงคนเดียว แต่อวิ๋นเยี่ยอยากให้นักระบำทั้งเก้าคนแสดงด้วยกัน และยังต้องระบำให้พร้อมเพรียงกันด้วย ถึงแม้ว่านักระบำจะมีศักดิ์ศรีและไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่ภายใต้การข่มขู่ถึงสองครั้ง รวมถึงเงินของอวิ๋นเยี่ย ก็เลยจำเป็นที่จะต้องยินยอมทั้งน้ำตา และหากทำการแสดงได้ไม่ดีจะถูกตีจนขาหักด้วย!
เมื่อก้าวเดินเข้าไปในโรงละคร ก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ โดมทรงกลมสีขาวราวกับหิมะ เรียงรายไปด้วยโคม ทว่าเพียงจุดไฟที่อยู่ตรงหน้าสุด โคมไฟทั้งแถวก็จะสว่างขึ้นมา โคมที่ทำจากกระจกจะสะท้อนแสงก็จะทำให้แสงทั้งหมดกระจายไปทั่วโรงละคร เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้แสง ก็เพียงแค่ดึงที่จับ แผ่นเหล็กบางๆ ก็จะพลิกกลับและรัดขั้วหลอดไฟ ไฟก็จะดับลง
เดิมทีอยากจะใช้ก๊าซชีวภาพ แต่สิ่งนั้นมันอันตรายเกินไป มันระเบิดไปแล้วถึงสองครั้ง สำนักศึกษาระบุว่ามันเป็นสิ่งของอันตรายไปแล้ว ตอนนี้คนที่ทำงานพวกนี้ต่างต้องสวมชุดเกราะ ถ้ามันระเบิดต่อหน้าหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยคงต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน
อวิ๋นเยี่ยลูบไปที่เก้าอี้ไม้ทรงกลม คิดถึงโรงละครเก่าที่อยู่หน้าบ้านของเขา มันเป็นเก้าอี้ที่พับเก็บได้ เก้าอี้ทรงกลมนี้ถูกวางจัดไว้ในโรงละครเป็นแถวๆ หากมีกิจกรรมอื่นๆ เก้าอี้พวกนี้ก็จะถูกเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่
มีประตูทั้งหมดหกบาน แต่ละประตูก็กว้างใหญ่ กรณีที่เกิดเพลิงไหม้ก็สามารถอพยพฝูงชนออกไปได้อย่างรวดเร็ว ห้องที่อยู่ชั้นบนก็มีประตูหลังอยู่ด้านขวา สามารถที่จะเข้าออกได้ง่าย
มีเวทีอยู่ข้างหน้า นักแสดงและนักระบำที่หามาในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นคนที่มีเสียงดัง ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ในเมื่อยังไม่มีไมโครโฟนก็ต้องตะโกนด้วยด้วยลำคอ ไม่มีเสียงเพลง มีแต่เพียงบทสนทนา ศิษย์ในสำนักศึกษาสูญเสียเหล้าหมักไปแล้วมากมายนับไม่ถ้วน
ผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสีขาวกำลังพูดอยู่กับซู่เซียนบนเวทีว่า “องค์ชาย เหตุใดถึงได้รีบร้อน ธรรมชาติของฤดูใบไม้ผลิ นกนางแอ่นบินหลบสายฝน ดอกไม้เติบโตที่ริมทะเลสาบ ทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ ก็ไม่สามารถหยุดเจ้าไว้ได้ เหตุใดเจ้าไม่แวะชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิอีกสักหน่อยล่ะ”
ได้ยินแบบนี้ อวิ๋นเยี่ยก็หัวเราะขึ้นมา นี่คือคำพูดหยอกล้อของชายหญิงที่ดูเปิดเผยที่สุดในสำนักศึกษา คำพูดพวกนี้ทำให้สำนักศึกษาเกิดเสียงร้องโหยหวนราวกับหมาป่าในยามค่ำคืนเพิ่มมากขึ้น ถ้าคำพูดพวกข้ารักเจ้ามาเป็นหมื่นๆ ปีพูดออกไป ไม่รู้ว่ามันจะทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าหรือเปล่า
มีศิษย์หลายคนจากสำนักศึกษาที่มาช่วยงานนั่งอยู่บนที่นั่ง โดยเฉพาะพวกที่มีส่วนร่วม พวกเขารับชมอย่างหลงใหล ไม่รู้ว่ามันจะเหมาะกับรสนิยมของคนพวกนั้นหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็แค่งานประมูลสินค้า
ตรวจดูขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้ง รวมทั้งรักษาความปลอดภัยในห้องของหลี่ซื่อหมิน ทุกอย่างเป็นไปตามปกติถึงได้โล่งใจ หวังว่าพรุ่งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น
เหอเซ่าถือถุงกระดาษน้ำมันเดินเข้ามา รูปร่างอ้วนของเขากลมขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยและเปิดถุงกระดาษออก ข้างในมีขาหมูที่ราดด้วยซอสสีแดงสองขา อวิ๋นเยี่ยหยิบขึ้นมาแทะหนึ่งขาอย่างไม่เกรงใจ
“เสี่ยวเยี่ย ครั้งนี้พวกพ่อค้าชาวหูต้องการเข้าสู่สังคมหลักของต้าถัง เพราะเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเงินจำนวนมหาศาล บัตรเชิญที่ข้าเอาไปห้าสิบใบแจกหมดภายในครึ่งชั่วโมง พวกเขารวมตัวกันเป็นสองสามกลุ่ม พ่อค้าในเปอร์เซียขายอินทผลัม ส่วนขนมแป้งทอดและเครื่องดื่มเสริมกำลัง พวกพ่อค้าหูเป็นคนก่อตั้งขึ้น และยังมีชาวหูพวกอื่นที่ได้ก่อตั้งกลุ่มพ่อค้าขึ้นอีก แดนชิวฉือ แดนซูเลย และแดนเกาชังก็ได้ก่อตั้งกลุ่มพ่อค้าธุรกิจขนาดใหญ่ แดนเกาลี่และแคว้นวอก็มีกลุ่มธุรกิจ พวกเขามีเงินและน้ำมันจำนวนมาก แค่เงินขอบคุณพวกเราก็สองพันเหรียญแล้ว”
“หาตัวแทนเป็นพ่อค้าท้องถิ่นได้แล้วหรือยัง” อวิ๋นเยี่ยกัดขาหมูอย่างเอร็ดอร่อยแล้วถามเหอเซ่า
“ไม่ต้องห่วง พวกพ่อค้าในฉางอันล้วนแต่เป็นคนที่เราสนิทสนมด้วย เจ้าบอกว่าอนุญาตให้พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อชิงเครื่องแก้วพวกนั้น แต่สุดท้ายทำไมกลับคำพูด พวกเขาไม่ค่อยพอใจ”
“เครื่องแก้วพวกนั้นไม่ค่อยมีคุณค่านัก ราคาเริ่มต้นหนึ่งร้อยเหรียญ ข้าทำมาพอแล้ว อีกสองปีของพวกนี้ก็จะราคาสองเหรียญ มันเป็นแค่สิ่งที่เผามาจากทราย ต่อไปคงจะมีราคาเท่ากับชามดื่มชาของเจ้า ถ้าข้าไม่กลับคำพูด ข้าจะรอให้พวกเขาล้มละลายเหรอ”
“แต่สิ่งของพวกนั้นดูสวยงาม ประณีตสดใสเหมือนสิ่งมีค่า”
“ที่บ้านมีเป็นโกดัง ถ้าเจ้าชอบ รอให้เสร็จเรื่องนี้ก่อนแล้วเจ้าค่อยไปเอาเอง”
“เป็นโกดัง?” เหอเซ่าเป็นพ่อค้าฉลาดอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เขาตกใจไปพักหนึ่ง แล้วก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ลดเสียงลงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหมายความว่าเราจะรวยแล้ว?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน ข้าจะทำพวกนี้ทำไม ข้าจะบอกให้ แค่จัดงานประมูลครั้งนี้ให้ดี เราก็จะกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งของฉางอัน คราวนี้ข้าจะทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออกเลย”
เหอเซ่ากำลังดีอกดีใจ นี่เป็นธุรกิจใหญ่ แต่เมื่อเขานึกถึงพวกขุนนางพวกนั้น เขาก็ถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจึ เราโกงพวกพ่อค้าหูให้ถึงที่สุดไม่เป็นไร แต่พวกพ่อค้าที่ขุนนางพวกนั้นเป็นคนควบคุม พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งหรอก และถ้าพวกเขามาสร้างปัญหา เราขาดทุนขึ้นมาจะทำอย่างไรดี และพ่อค้าในแดนอื่นที่เตรียมที่จะกัดกินตระกูลเยี่ยอีกล่ะ จะทำอย่างไร”
อวิ๋นเยี่ยลังเลไปสักพักก่อนที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ช่างเถอะ ปล่อยพวกเขาไปก่อน ทักทายกับพวกเขาตามปกติ นี่คือเส้นทางการหาเงินที่พ่อค้าในฉางอันจงใจเข้ามาเพื่อชดเชยความเสียหายเมื่อสองสามวันก่อน ให้พวกเขาได้ยกมือเสนอราคา ต้นการบูร ข้าวกล่อง พระสารีบุตร หนังหมี แม้แต่บ้านในตรอกซิ่งฮว่าฟางก็ให้พวกเขาได้เสนอราคา แต่เครื่องแก้วพวกนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอาเอง”