ฉินเจิงเห็นว่าเซี่ยฟางหวาหยุดนิ่งก็ดึงเชือกบังเ**ยนตาม ก่อนหันมามองนาง
เปลวเพลิงลุกไหม้ผืนป่าข้างหลัง อาศัยทิศทางลมก่อตัวเป็นทะเลเพลิง ใบหน้าของเซี่ยฟางหวาซีดเซียวอย่างยิ่งภายใต้แสงสว่างลุกโชติช่วง
“เป็นอะไรไป” ฉินเจิงขี่ม้าเดินมาหยุดข้างนาง เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เซี่ยฟางหวาหยุดนิ่งอย่างเลื่อนลอย นั่งบนอานม้าด้วยเนื้อตัวแข็งทื่อคล้ายไม่ได้ยิน
“ไฉนถึงไม่เดินต่อ” ฉินเจิงสงสัย ขยับเข้าใกล้นางแล้วคว้ามือมากุม
ฝ่ามือของเซี่ยฟางหวาเย็นเยียบถึงกระดูก นางพลันได้สติ แกะมือฉินเจิงออกแล้วมองไปยังข้างหลัง
เปลวเพลิงพุ่งทะยานสู่นภา เพลิงไหม้ผลาญอย่างบ้าคลั่ง
นางจ้องมองพลันมีภาพเหตุการณ์หนึ่งแล่นขึ้นในสมอง ภายในห้องลับอันมืดมิด มีคนพูดกับนางว่า ‘เซี่ยฟางหวา วันนี้เจ้าไม่รู้จักให้เกียรติ ข้าจะทำให้ตระกูลเซี่ยต้องถูกฝังเพราะความไม่รู้จักให้เกียรติของเจ้า’
ต่อมาตระกูลเซี่ยก็ถูกฝังเพราะความไม่รู้จักให้เกียรติของนางจริงๆ
ตระกูลล่มสลายลง กระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา โลหิตหลั่งรินเป็นสายธารา ไม่มีผู้ใดใช้สกุลเซี่ยอีกเลยในหนานฉิน…
ตัวนางสั่นระริกขึ้นมา…
“เป็นอะไร” ฉินเจิงกุมมือนางใหม่
เซี่ยฟางหวาหันมามองฉินเจิงเชื่องช้า
ใบหน้าหล่อเหลาของฉินเจิงเองก็ซีดลงเล็กน้อยภายใต้แสงสว่างจากเปลวเพลิงข้างหลังเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมองนาง สะท้อนให้เห็นความกังวลภายในชัดเจน
“ไม่มีอะไร เมื่อครู่พอรู้ว่าเป็นพวกเขา ข้าก็ตกใจเกินไปหน่อย” เซี่ยฟางหวามองเขาพักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
ฉินเจิงดึงนางมายังม้าของตนเอง ก่อนกระชับกอดนางแน่น “เราต้องรีบออกจากที่นี่ มิฉะนั้นเพลิงไหม้อาจจะลุกลามตามกระแสลมมาล้อมพวกเราได้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงหนีบขาสองข้างเข้ากับท้องม้า โอบเซี่ยฟางหวากระโจนม้าจากไป
วิ่งตะบึงมาได้ราวครึ่งชั่วยามจนมาถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้วบอกกับเซี่ยฟางหวา “เส้นทางกลับเมืองถูกขัดขวาง หากเราอยากกลับเมือง เกรงว่าต้องรอถึงพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้” เซี่ยฟางหวาพลิกกายลงจากม้า
“แล้วท่านปู่…” ฉินเจิงก็ลงจากม้าเช่นกัน โยนเชือกบังเ**ยนทิ้งแล้วมองนาง
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “ตอนออกจากเมืองข้าได้จัดแจงจวนจงหย่งโหวไว้แล้ว ท่านปู่ไม่เป็นไรแน่นอน” หยุดชั่วครู่ก่อนอธิบายเพิ่มเติม “จวนจงหย่งโหวส่งข่าวมาว่าท่านปู่ล้มป่วย น่าจะเป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลังที่ปล่อยข่าวปลอม ที่ข้าทราบข่าวแล้วรีบกลับเมืองก็เพราะอยากรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ มีแผนร้ายใดถึงจ้องจะเล่นงานข้าทุกย่างก้าว”
“เป็นเช่นนี้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ในเมื่อเจ้าจัดแจงไว้แล้ว เหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ ข้าเห็นว่าเจ้ารีบกลับเมือง ยังคิดว่า…” ฉินเจิงมองนาง
“ข้าเห็นว่าเจ้าเหนื่อยเกินไป” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ใช่หรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เลื่อนสายตามองไปยังข้างหลัง เห็นเพียงขอบฟ้าสีแดงเพลิง ทว่าอยู่ห่างกันค่อนข้างไกลจึงมองไม่เห็นเปลวไฟ นางเอ่ยขึ้น “ไม่นึกเลยว่าเป็นสามปรมาจารย์ของเขาไร้นาม ที่แท้ก็อยากได้ตำราเคล็ดวิชาในมือข้า”
ฉินเจิงเงียบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ตลอดมา” เซี่ยฟางหวามองขอบฟ้าสีแดงเพลิงพักหนึ่งก่อนหันกลับมาถามฉินเจิง
“ข้าคิดว่าเขาไร้นามล่มสลายลงแล้ว พวกเขาก็ตายไปด้วย” ฉินเจิงมีสีหน้าไม่น่ามอง เขาส่ายหน้าตอบ
“ข้ามั่นใจว่าทำลายเขาไร้นามไปแล้ว แต่น่าแปลกใจนัก พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ
ฉินเจิงเอามือไพล่หลัง มองไปยังขอบฟ้าสีแดงเพลิงข้างหลังเช่นกัน ไตร่ตรองใช้ความคิดพักหนึ่งก็เอ่ยเสียงเข้ม “สายลับราชสำนักไม่ใช่มีแค่ที่เขาไร้นาม เขาไร้นามเป็นเพียงสถานที่ที่ใต้หล้ารู้จักโดยทั่วกันเท่านั้น”
“เป็นเช่นนี้” เซี่ยฟางหวาตกใจ
ฉินเจิงพยักหน้ารับ
“เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่มีใครเอ่ยถึงเลย เจ้าก็ไม่เคยบอกข้าเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้” ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
เซี่ยฟางหวามองเขา พบว่าใบหน้าเขาแฝงไปด้วยความวังเวงอันมืดสลัว นางพลันเอ่ยขึ้น “ฉินเจิง ข้าว่าตั้งแต่เรากลายเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างเจ้ากับข้ากลับยิ่งห่างกันไกลเรื่อยๆ”
“เหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้” ฉินเจิงมองนางพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เซี่ยฟางหวามองเขา นัยน์ตาของเขาอ้างว้างเสียยิ่งกว่าราตรีอันมืดมิด นางยิ้มออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนเจ้าอยากให้ข้าจริงใจด้วย ข้าก็ยอมจริงใจต่อเจ้าแล้ว ต่อให้มีเรื่องปิดบังแม้แต่นิดเดียวก็รู้สึกไม่ดีต่อเจ้า แต่ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังจริงใจต่อข้าหรือไม่”
“เจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้า เรื่องที่เจ้าถามมาหากข้ารู้ก็จะบอกเจ้า” ฉินเจิงเม้มปาก
เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันหลังให้ น้ำเสียงแผ่วเบาถึงที่สุด “ได้หรือ”
“ได้!” ฉินเจิงผงกศีรษะ
เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อก่อนเวลามองเจ้า ข้าคิดว่าแม้เจ้ามีนิสัยใจคอและอารมณ์ซับซ้อนยากคาดเดาได้ แต่อย่างน้อยข้ายังคิดว่าอ่านใจเจ้าได้ชัดเจน ทว่าตั้งแต่เจ้ารักษาตัวในวังหลวงหลังถูกฮ่องเต้สั่งวางค่ายกลประตูมังกร หลังจากข้าทั้งเข้าวังแล้วกลับออกมา กระทั่งเจ้าขอตัดความสัมพันธ์กับข้าที่จวนพี่อวิ๋นหลาน นับแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็รู้สึกว่าอ่านใจเจ้าไม่ออกแล้ว ตรงหน้าเจ้าเหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่า คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
“เช่นนั้นหรือ” ฉินเจิงก้าวขึ้นมายืนซ้อนหลังนาง
“ใช่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงเงียบลง ไม่พูดไม่จา
เซี่ยฟางหวาจ้องมองผืนน้ำเบื้องหน้าพักหนึ่ง ก่อนหันกลับมาเชื่องช้า สบเข้ากับดวงตาเขา “แท้จริงที่เจ้าได้แต่งงานกับข้า ได้แลกเปลี่ยนเงื่อนไขใดกับฝ่าบาทกันแน่”
“เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว
“หากข้าไม่ถาม เจ้าก็คงไม่ยอมบอกใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงเม้มปากเงียบ
“เจ้าบอกว่าขอเพียงข้าถาม เจ้าก็จะตอบข้าทุกสิ่งที่รู้ไม่ใช่หรือ ไฉนผ่านไปครู่เดียวถึงไม่ทำตามสัญญาแล้ว” เซี่ยฟางหวาโกรธขึ้นมาทันที
ฉินเจิงเบือนหน้า ชั่วพริบตาก็ยิ้มออกมา ก่อนดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น “จะเงื่อนไขใดได้ หากพระองค์ทรงไม่ยอมให้ข้ากับแต่งงานกับเจ้า ข้าก็จะทำลายบ้านเมืองหนานฉินทิ้งเสีย เจ้าก็รู้ว่าบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกับเสด็จอาเพียงใด”
“ฉินเจิง เจ้าอย่าโกหกข้า เจ้ารู้ว่าบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกับฝ่าบาทเพียงใด ฝ่าบาททรงเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ พระองค์ย่อมรู้จักนิสัยเจ้าเช่นกัน แม้พระองค์ทรงไม่อนุญาต แต่เจ้าก็ไม่มีทางทำอะไรบ้านเมืองหนานฉินเป็นแน่ มิฉะนั้นตัวเจ้าเองจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษของหนานฉินและเต๋อฉือไทเฮาเสด็จย่าของเจ้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ฉินเจิงขมวดคิ้ว
“เจ้าบอกข้ามาตามตรง พระราชโองการครั้งที่สองของฝ่าบาทนั้น เจ้าใช้วิธีการใดบีบบังคับให้พระองค์ยอมตกลง” เซี่ยฟางหวาแกะมือเขาออก ทอดสายตามองเขานิ่ง
“ภรรยา เจ้าแตะโดนแผลข้า” ฉินเจิงสูดปากด้วยความเจ็บ
“บ้านเมืองหนานฉินถูกสายลับราชสำนักควบคุมใช่หรือไม่ หรือฝ่าบาทถูกสายลับราชสำนักควบคุม เจ้าทำให้ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการครั้งที่สองได้ต้องแลกเงื่อนไขใดเป็นแน่ เพียงแต่คนที่เจ้าแลกเปลี่ยนด้วยใช่ไม่ใช่ฝ่าบาท แต่เป็นใครบางคนที่ควบคุมสายลับราชสำนักไว้ ด้วยเหตุนี้ที่เจ้ากับฉินอวี้ร่วมมือกัน ก็เป็นเพราะสายลับราชสำนักคุกคามบ้านเมืองหนานฉิน ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยใบหน้านิ่งขรึม
ฉินเจิงหุบรอยยิ้มเชื่องช้า
“คดีที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก คดีหมอหลวงซุนถูกสังหาร คดีใต้เท้าหานถูกสังหาร จินเยี่ยนต้องคำสาปเข้าฝัน เกิดดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋น รวมถึงเจ้าถูกลอบสังหารระหว่างทางมาช่วยข้า ที่เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน เป็นเพราะเจ้าได้ประมือกับปรมาจารย์ของสายลับราชสำนัก…” เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขา “เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไร้นามแม้ถูกข้าทำลายไปแล้ว แต่สามปรมาจารย์กลับไม่ได้ถูกข้าสังหารไปด้วย ใช่หรือไม่”
ฉินเจิงเม้มปาก เงียบไม่เอ่ยคำใด
“ฉินเจิง เรายังเป็นสามีภรรยากันหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา
“แน่นอนว่าเป็น!” ฉินเจิงรีบตอบ
“แม้ข้าไม่ค่อยเข้าใจหลักการอยู่ร่วมกันของคู่สามีภรรยา แต่ก็รู้ว่าสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันไม่เป็นเหมือนพวกเราเช่นนี้ ข้าอยากใกล้ชิดเจ้าให้มากกว่านี้ แต่กลับรู้สึกได้ถึงระยะห่างกั้นข้าเอาไว้ข้างนอก เข้าไปใกล้เจ้าไม่ได้” เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองปลายเท้า “เจ้าเสียใจที่แต่งกับข้าใช่หรือไม่”
“เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่” ฉินเจิงก้าวขึ้นมา โมโหเล็กน้อย “ข้าจะเสียใจที่แต่งกับเจ้าได้อย่างไร”
“เช่นนั้นเจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ก่อนเหยียนเฉินออกเดินทางได้บอกกับข้าว่าห้ามทำให้เจ้าคิดมากโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีกับการบำรุงร่างกาย เรื่องบางเรื่องข้าจึงไม่ได้บอกเจ้า เพื่อไม่ให้เจ้าใช้ความคิดมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หลายเรื่องสำหรับข้าแล้วก็เสมือนหมอกหนาทึบ รู้บ้างไม่รู้บ้าง หากบอกเจ้าไป มีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าใช้ความคิดมากร่วมกับข้า เช่นนั้นไม่บอกเสียดีกว่า” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา
“เป็นเช่นนี้หรือ” เซี่ยฟางหวาจ้องเขา
“ย่อมเป็นเช่นนี้ ข้าใช้ความคิดไปมาก ทำทุกวิถีทางกว่าจะได้แต่งกับเจ้า หากไม่ใช่เพราะข้ารักเจ้า ชีวิตนี้จะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีหรือจะเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใด” ฉินเจิงยกมือลูบศีรษะนาง เอ่ยด้วยความโกรธ
“เจ้าทำผมข้ายุ่งหมดแล้ว!” เซี่ยฟางหวายกมือไปลูบเส้นผมตนเอง
“เจ้าสงสัยข้าทั้งยั่วโมโหข้าอีก ใครจะยังสนว่าผมเจ้ายุ่งหรือไม่อีก” ฉินเจิงทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าเขาโกรธก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ความรู้สึกที่ฉินเจิงมีต่อนางนั้นย่อมไร้ข้อกังขา เพียงแต่ทันทีที่นางทราบว่าสามปรมาจารย์ของเขาไร้นามยังไม่ตาย ชั่วเวลาหนึ่งก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้ ผนวกกับช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เสมือนมีหมอกหนานทึบบดบัง ทำให้จิตใจนางว้าวุ่น ทันทีที่จับความรู้สึกได้รู้สึกว่าคล้ายจริงคล้ายไม่จริง มองเห็นไม่ชัดเจน แม้แต่ฉินเจิงก็ยังทำให้นางรู้สึกพร่ามัว ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
เมื่อนึกได้เช่นนี้นางก็ยกมือกุมหน้าผาก เอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนล้าหมดแรง “ขอโทษ ข้าผิดเอง ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไป ยากนักที่ข้าจะไม่คิดมาก…”
“ไม่ต้องขอโทษ” ฉินเจิงเอามือนางออกแล้วดึงนางเข้ามากอดแทน “เซี่ยฟางหวา ไม่ว่าเมื่อไรเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า ข้าเป็นสามีของเจ้า เจ้าจงระลึกไว้ทุกขณะก็พอแล้ว ผูกผมเป็นสามีภรรยา ความรักของเราไร้ซึ่งข้อกังขา พวกเราสมรสกันแล้ว ข้าได้แต่งกับเจ้า เจ้าได้ออกเรือนกับข้า แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องกุมมือกันเดินไปจวบจนร้อยปี”
“อืม” ขอบตาเซี่ยฟางหวาชื้นเล็กน้อย นางวาดมือกอดเขา ซบศีรษะเข้ากับแผ่นอก พยักหน้ารับด้วยความหนักแน่น
“ผู้ใดหรือเหตุการณ์ใดก็ตามล้วนไม่อาจแยกเราได้ เจ้าจงจำไว้” ฉินเจิงกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอีกครั้ง