ฉินเจิงกระชับกอดนางแน่นพักใหญ่ก่อนผละตัวออกเชื่องช้า ยกมือเคาะหน้าผากนางแผ่วเบา “เจ้าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงเสียจริง”
เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก
ฉินเจิงโน้มศีรษะไปจุมพิตมุมปากนางแผ่วเบา เซี่ยฟางหวาสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ฉินเจิงดึงนางมากอดใหม่อีกครั้ง ก่อนมอบจุมพิตที่ลึกซึ้งกว่านั้นให้
เซี่ยฟางหวาคล้ายเวียนหัวในพริบตา นางยกมือตีเขาแล้วดันตัวออก เอ่ยเสียงทุ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “พวกซื่อฮว่าแปดคนยังอยู่ เจ้าอย่าวอแวข้า”
“พวกนางไม่กล้ามองหรอก” ฉินเจิงแม้กล่าวเช่นนี้ แต่ก็ยอมปล่อยนางอย่างอ้อยอิ่ง
เซี่ยฟางหวาไม่กล้ามองเขา ก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง
“อีกนานกว่าฟ้าจะสว่าง ไม่ไกลนี้มีครอบครัวเกษตรกรในชนบทแห่งหนึ่ง เราขึ้นเขาไปขอค้างสักคืนแล้วกัน” ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา กุมมือนางไว้แล้วเอ่ยขึ้น
“เขาจะให้คนนอกค้างแรมหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา
“คนอื่นอาจจะไม่ แต่ข้ารู้จักสามีภรรยาชราคู่หนึ่ง เมื่อก่อนเวลามาล่าสัตว์มักขอค้างด้วยเป็นประจำ” ฉินเจิงตอบ
เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองฟ้าแวบหนึ่งก่อนพยักหน้าตกลง จากนั้นก็มองไปยังข้างหลังอีกครั้ง “เพลิงไหม้เผาผืนป่าครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเปลวเพลิงจะมอบดับลงเมื่อไร จะลุกลามไปถึงครอบครัวชาวบ้านหรือไม่”
“ป่าผืนนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ อีกอย่างเมื่อเกิดไฟไหม้ป่า ทหารทางการในอำเภอใกล้ๆ ทราบข่าวก็จะรีบมาช่วยดับไฟ วางใจเถอะ เพลิงไหม้ไม่ได้ลุกลามเป็นวงกว้าง” ฉินเจิงบอก
“เมื่อครู่ในป่าผืนนั้นมีกันกี่คนกันแน่ ปรมาจารย์ทั้งสามท่านนั้นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นอีก
“น่าจะมีแค่คนเดียว หากอยู่พร้อมกันทั้งสามคน มีหรือจะกลัววิทยายุทธ์ของเจ้ากับข้า คงแสดงตัวออกจากป่าตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้” ฉินเจิงตอบ “แต่เจ้าวางเพลิงได้ดีเยี่ยม การจะหนีออกจากทะเลเพลิงก็คงลวกผิวหนังชั้นหนึ่ง ระหว่างนี้คงหยุดเคลื่อนไหวก่อน”
“ตอนนี้เจ้าบอกความจริงกับข้าได้หรือยัง การสมรสของเรา เจ้าทำเช่นไรถึงทำให้ฝ่าบาททรงยอมออกพระราชโองการครั้งที่สองกันแน่” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“อยากรู้จริงหรือ” ฉินเจิงคลึงหน้าผาก
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เมื่อครู่ที่เจ้าเดาก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด มีคนจากสายลับราชสำนักควบคุมเสด็จอาจริง แต่ไม่เคยควบคุมได้ทั้งหมด เสด็จอาเป็นคนเช่นไร นิสัยของพระองค์นั้นแท้จริงแล้วแข็งแกร่งมาก แม้บัลลังก์มังกรนั้นจะผ่านการกระทำความผิดมาบ้าง แต่สุดท้ายการครองตำแหน่งมาหลายปีก็นำมาด้วยความมีเกียรติสูงส่งในฐานะจักรพรรดิเช่นกัน พระองค์ทรงอดกลั้นตลอดมา หลังข้าสังเกตเห็นเข้า ข้าจึงบอกเรื่องที่ฉินอวี้ร่ายคำสาปใจเดียวใส่ข้ากับพระองค์ตามความจริง หากพระองค์ไม่ยอมออกพระราชโองการสมรสพระราชทาน ข้าก็จะลากฉินอวี้ไปตายด้วยกัน จะไปกล่าวคำขอโทษต่อบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ว่าทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ไม่อาจมีแค่ข้าเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ก็แก่แล้ว ถึงอยากปกป้องบ้านเมืองหนานฉินหากแต่สังขารไม่อำนวย ผู้ที่พึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น” ฉินเจิงตอบ
“เช่นนั้น สิ่งที่เจ้ากับฝ่าบาทตกลงร่วมกันก็คือเจ้าจะปกป้องบ้านเมืองหนานฉิน พระองค์จึงทรงออกสมรสพระราชทาน อนุญาตให้เจ้าแต่งกับข้า” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
ฉินเจิงดีดนิ้ว ม้าที่กำลังกินหญ้าอยู่รีบวิ่งมาหาทันที เขาอุ้มเซี่ยฟางหวาขึ้นม้าแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง”
“เช่นนั้นเหตุใดตอนยกน้ำชาขอบคุณ น้ำชาของพระองค์ถึงมีปัญหา หมายทำร้ายตัวเองเพื่อเอาผิดข้า” เซี่ยฟางหวาถามขึ้นอีก
“น่าจะไม่ใช่เจตนาเดิมของเสด็จอา” ฉินเจิงตอบ “มีคนต้องการชีวิตเจ้า”
“ไม่นึกเลยว่าชีวิตข้าจะมีค่าถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้ควบคุมเบื้องหลังของสายลับราชสำนักวางแผนทุกย่างก้าว” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ แล้วโอบกอดนาง “ชีวิตเจ้าย่อมมีค่า”
เซี่ยฟางหวาชะงัก “ตอนนี้ดูท่าไม่ได้ต้องการชีวิตข้าแล้ว แต่อยากได้ตำราเคล็ดวิชาในมือข้ามากกว่า”
ฉินเจิงวางศีรษะหนุนไหล่เซี่ยฟางหวา ขาทั้งสองข้างหนีบเข้ากับท้องม้า ก่อนกระโจนม้ามุ่งไปยังเนินเขา ขณะเดียวกันก็เอ่ยถาม “เจ้าได้ตำราเคล็ดวิชามาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร”
“หนึ่งในสามส่วนเก็บไว้ที่เขาไร้นาม อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่จวนจงหย่งโหว ตอนปีใหม่ช่วงที่จัดงานเลี้ยงวันสิ้นปีขึ้นที่วังหลวง ฉินเหลียนพาข้าไปยังหอเก็บหนังสือในวัง ข้าจึงได้ส่วนสุดท้ายมา” เซี่ยฟางหวาตอบ “เป็นเช่นนี้ ข้าจึงได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ท่าทางจะเป็นสวรรค์ลิขิต” ฉินเจิงบอก
“เจ้าเชื่อเรื่องสวรรค์ลิขิตด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาพิงแผ่นอกเขา
ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบ แยกแยะอารมณ์ไม่ได้
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก หากเอ่ยถึงเรื่องสวรรค์ลิขิต นางก็ย่อมเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน หากไม่ได้นักพรตจื่ออวิ๋นช่วยฝืนกฎธรรมชาติแก้ไขชะตากรรมให้ ตอนนี้นางคงยังเดินไปยังสะพานไน่เหอโดยเลียบเส้นทางซึ่งรายล้อมด้วยดอกปี่อั้น*[1]ในยมโลกแล้วดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง หาใช่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว หาใช่เซี่ยฟางหวาอีกต่อไป เรื่องราวในอดีตทั้งหมดจะถูกลบเลือนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ถ้าเป็นเช่นนั้นนางก็จะไม่ได้รู้จักฉินเจิง จำฉินเจิงไม่ได้อีก และไม่มีโอกาสได้ออกเรือนกับเขา…
นางนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็พลันเจ็บแปลบที่หัวใจ จึงหันกายกลับมากอดเอวฉินเจิงแน่น
“เป็นอะไรไป” ฉินเจิงก้มมองนาง
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ฉินเจิงมองนาง มือข้างหนึ่งโอบนางไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็ควบม้าตรงไปยังภูเขา
หลังเดินทางไปอีกประมาณสามสี่ลี้ก็พบกระท่อมที่สร้างด้วยหญ้าเหมาสามหลังตั้งอยู่บริเวณกลางภูเขา ล้อมรอบด้วยรั้วที่ทำจากไม้
เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า ฉินเจิงก็อุ้มเซี่ยฟางหวาลงจากม้า ก่อนเอื้อมมือไปเคาะประตู
หลังเคาะไปครู่หนึ่งก็มีเสียงคนแก่ดังออกมาจากข้างใน “ใครน่ะ”
“ข้าเอง ฉินเจิง” ฉินเจิงตอบ
“ฉินเจิง คุณชายรอง…เจิง” ชายชราพูดพลางก็รีบลุกมาคลุมเสื้อลงจากเตียง
“คุณชายรองอันใดกัน ท่านอ๋องน้อยต่างหาก” เสียงผู้หญิงค่อนข้างมีอายุดังขึ้น ก่อนคลุมเสื้อตามแล้วออกมาที่ประตู
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างใน เป็นชายหญิงมีอายุราวห้าสิบกว่าปีแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงชัดเจนก็แสดงความแปลกใจ “ที่แท้ก็เป็นท่าน มาได้อย่างไร” ไม่รอฉินเจิงตอบก็หันมามองเซี่ยฟางหวา “ท่านนี้คือ…”
“ผ่านมากลางดึก รบกวนแล้ว นางเป็นภรรยาของข้า” ฉินเจิงยิ้ม
“คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว” ชายชรานึกได้ทันที
“เป็นพระชายาน้อยต่างหาก!” หญิงชราพูดได้ถูกต้องกว่า
“ไอ้หยา แค่ฐานะเท่านั้นที่ต่างกัน ยายแก่เช่นเจ้าชอบขัดข้านัก” ชายชราพูดพลางก็รีบเชิญทั้งคู่เข้าไปข้างใน ทั้งพูดกับพวกซื่อฮว่าที่อยู่ข้างหลัง “แล้วแม่นางเหล่านี้…”
“มาด้วยกัน” ฉินเจิงตอบ
“แต่กระท่อมเล็กเกินไป เกรงว่าแม่นางเหล่านี้…” ชายชราลำบากใจอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรหรอกผู้เฒ่า เราไม่ต้องนอนก็ได้ แค่ครึ่งคืนเท่านั้นเอง” ซื่อฮว่ารีบบอก “ขอเพียงท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยของเรามีที่พักผ่อนก็พอแล้ว”
“หากแม่นางไม่รังเกียจก็พักในโรงเก็บฟืนได้” ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็เชิญทั้งแปดเข้ามาในลานบ้าน
หลังทักทายกันเสร็จแล้ว ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าพักในห้องห้องหนึ่ง เมื่อล้มตัวนอนลง ฉินเจิงก็โน้มกายคร่อมทับเซี่ยฟางหวา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เดิมไม่ควรรบกวนสองตายายกลางดึก แต่ทำเช่นไรได้ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว”
“ไม่ได้” เซี่ยฟางหวาหน้าแดงทันที ยกมือผลักเขาออก
ฉินเจิงไม่ยอมให้นางพูดมากความ เลื่อนมือมาปลดสายรัดเอวนางออก ก่อนโน้มใบหน้าจุมพิตนาง
*ดอกปี้อั้น ดอกไม้ของคนตาย มักปลูกเอาไว้ตามหลุมศพ ไม่นิยมนำมาจัดแจกันเพราะถือว่าเป็นดอกไม้อัปมงคล ตามความเชื่อจีนเล่าว่า ดอกปี่อั้นจะเบ่งบานตลอดสองข้างทางไปยังนรกเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายไปเกิดใหม่