เซี่ยฟางหวาปฏิเสธมิได้ ได้แต่ปล่อยให้ฉินเจิงกระทำตามใจปรารถนา
ห้วงวสันต์ในค่ำคืนนี้จบลงอย่างรวดเร็ว
เช้าวันถัดมา เซี่ยฟางหวาตื่นจากการหลับลึกก็ยามตะวันโด่งฟ้าแล้ว
นางเปิดเปลือกตาขึ้นพบว่าข้างกายว่างเปล่าจึงยื่นมือออกไปสัมผัสฟูกนอนด้านข้างถึงทราบว่าค่อนข้างเย็นเยียบ ภายในห้องไร้ผู้ใด เสียงสนทนาดังแว่วมาจากข้างนอก น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างยิ่ง เมื่อเงี่ยหูฟังก็ทราบว่าเป็นพวกซื่อฮว่ากับหญิงชราท่านนั้น นางคลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมา
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อกำลังเก็บผักป่าให้หญิงชราท่านนั้นอยู่นอกลานบ้าน
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ” เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบลุกขึ้นเดินมาหา
“พระชายาน้อย” หญิงชราท่านนั้นรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“เมื่อคืนรบกวนท่านแล้ว ไม่ต้องมากพิธีหรอก” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางเอื้อมมือรองนางให้ลุกขึ้น
“พระชายาน้อยดุจเทพธิดาก็มิปาน” หญิงชราพินิจมองเซี่ยฟางหวา “เมื่อคืนฟ้ามืด สายตาข้าฝ้าฟางจึงมองไม่ชัด ยังคุยกับตาแก่นั่นอยู่เลยว่าวันนี้จะต้องพินิจมองให้เต็มตา ยามนี้เห็นแล้วมีหรือจะมิใช่เทพธิดาลงมาโปรด ท่านอ๋องน้อยช่างมีวาสนาดีนัก”
เซี่ยฟางหวายิ้มบาง กวาดตามองรอบกายแต่ไม่เห็นเงาฉินเจิงจึงถามขึ้น “ฉินเจิงเล่า”
“เรียนคุณหนู ท่านอ๋องน้อยออกไปล่าสัตว์ในป่ากับผู้เฒ่าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบตอบ “ก่อนไปได้กำชับพวกเราว่าห้ามเข้าไปรบกวนท่าน บอกว่าเมื่อคืนท่านเหนื่อย ให้ท่านได้นอนพักมากหน่อย”
เซี่ยฟางหวานึกถึงเมื่อคืนก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที “เขาบอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร”
“บอกว่าก่อนเที่ยงเจ้าค่ะ น่าจะใกล้กลับมาแล้ว” ซื่อฮว่ายื่นมือมาประคองนาง “บ่าวช่วยปรนนิบัติท่านล้างตาล้างตาดีกว่า”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตักน้ำสะอาดเข้ามา รุมล้อมปรนนิบัติล้างหน้าหวีผมให้เซี่ยฟางหวาอย่างขะมักเขม้น
“อย่างไรผู้ร่ำรวยมีเกียรติก็แตกต่าง พระชายาน้อยช่างมีวาสนาดีนัก” หญิงชรามองด้วยความอิจฉาอยู่ด้านข้าง
เซี่ยฟางหวามองนางแล้วแย้มยิ้มบาง “ท่านสองคนอยู่ในภูเขาแห่งนี้มานานเท่าไรแล้ว”
“เราน่ะหรือ หลายสิบปีแล้ว ข้ากับตาแก่ต้องล่าสัตว์ตัดฟืนเพื่อเลี้ยงชีพ หลายปีก่อนหลังได้รู้จักกับท่านอ๋องน้อย เขาก็มอบที่นาหลายหมู่ให้พวกเรา ต่อมาก็หันมาทำนาเลี้ยงชีพแทน น้อยครั้งจะออกไปล่าสัตว์” หญิงชรานั่งบนขั้นบันไดแล้วเอ่ยตอบ
“ท่านอยู่กันสองคนหรือ มีลูกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
หญิงชราพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าด้วย “เราสองคนมีลูกชายคนหนึ่ง หลายปีก่อนตอนออกไปสัตว์เจอกับฝูงหมาป่าเข้า เพราะหลบไม่ทันจึงถูกฝูงหมาป่าล้อมโจมตีรุมขย้ำเอา ก่อนตายเขายังไม่ได้แต่งภรรยาจึงไม่มีลูกหลานให้เลี้ยงดูต่อ เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้น”
“ฝูงหมาป่า?” เซี่ยฟางหวาชะงัก
“พบกับฝูงหมาป่าจริง ตอนนั้นตาแก่กับลูกชายออกไปด้วยกัน โชคดีที่ได้พบกับท่านอ๋องน้อยเข้า หากไม่ได้ท่านอ๋องน้อยช่วยชีวิตตาแก่ ข้าคงสูญเสียทั้งลูกชายและสามีไปแล้ว บางทีอาจตายตามพวกเขาไปด้วย ไม่มีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงตอนนี้ ท่านอ๋องน้อยเป็นคนดี ทั้งที่มีฐานะสูงศักดิ์แท้ๆ กลับมีจิตใจงดงามมาก ไม่ได้ดูถูกพวกเราเลยแม้แต่น้อย หลังไล่ฝูงหมาป่าไปก็กำชับตาแก่ว่าอย่าออกไปล่าสัตว์อีก จากนั้นก็มอบที่นาหลายหมู่ให้เราดำรงชีวิต” หญิงชราพยักหน้า
“ตรงนี้ห่างจากตัวตำบลไม่ไกลนัก ฝูงหมาป่ามาจากไหน” เซี่ยฟางหวาสงสัย
“มิทราบ” หญิงชราส่ายหน้า
“ท่านบอกว่าหลายปีก่อน พอจำได้หรือไม่ว่ากี่ปีมาแล้ว” เซี่ยฟางหวาถามอีก
หญิงชราครุ่นคิดทั้งนับนิ้วคำนวณดู “ประมาณเจ็ดปีก่อน”
“ผ่านมานานมากแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มบอก
“นั่นสิ นานจนข้าลืมไปแล้วว่าลูกชายหน้าตาเป็นเช่นไร” หญิงชราถอนหายใจ “ตอนนี้เขาคงไปเกิดใหม่แล้วกระมัง”
“จะต้องเกิดมาในครอบครัวที่ดีแน่” เซี่ยฟางหวาปลอบ
“อืม ขออย่าให้เขาได้เกิดมาในครอบครัวคนจนอย่างเราเลย หวังว่าเขาจะได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย เป็นคุณชายผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ เหมือนอย่างท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยที่มีชีวิตดีถึงเพียงนี้” หญิงชรากล่าว
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “บางครั้งความร่ำรวยมีเกียรติก็เทียบกับการใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ แบบคนธรรมดาไม่ได้”
หญิงชราอุทาน “เอ๋” แล้วพูดต่อ “พระชายาน้อยกับท่านอ๋องน้อยก็รักกันมากไม่ใช่หรือ หรือว่าไม่สมดังปรารถนา”
“เราย่อมรักกันมาก เพียงแต่เพราะฐานะ ทำให้ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบบนบ่านั้นมากตามเช่นกัน ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หากได้ใช้ชีวิตแบบท่านสองคน ทำนา ล่าสัตว์ ตัดฟืนอยู่ในชนบท ผ่านแต่ละวันไปอย่างสงบเรียบง่ายก็คงดีอย่างยิ่ง แม้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่านสองคน แต่สำหรับเรานั้นยากดุจทะยานสู่ฟ้า” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้มออกมา
หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจบ้าง “ที่แท้พระชายาน้อยผู้มีฐานะร่ำรวยมีเกียรติเหลือกินเหลือใช้ กลับอยากมีชีวิตแบบพวกเรา” พูดจบนางก็ยิ้มกริ่ม “ข้าทราบว่าตระกูลร่ำรวยมีเกียรตินั้นมีกฎระเบียบมาก คงไม่ง่ายเช่นกัน ต่างคนต่างมีความขมขื่นและความหอมหวาน”
“ถูกต้อง” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นจากข้างนอก
ซื่อฮว่ามองออกไปแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้ว”
เซี่ยฟางหวาก็หันไปมองเช่นกัน ไม่นานก็เห็นม้าสองตัวหยุดหน้าทางเข้าบ้าน ฉินเจิงกับชายชราลงจากหลังม้า กระต่ายหลายตัว ยังมีหมูป่าตัวหนึ่งถูกแขวนไว้ข้างหน้า
ฉินเจิงสวมชุดผ้าโปร่งคาดเอวหลวม รูปงามล้ำเลิศ หลังลงจากม้าก็เดินตรงมาที่ลานบ้าน เดินไปหาเซี่ยฟางหวาด้วยฝีเท้าว่องไวแผ่วเบา
“ไอ้หยา ข้าไม่เคยพบคุณชายรูปงามเช่นท่านอ๋องน้อยมาก่อน ไม่ใช่แค่นิสัยใจคอหรือพฤติกรรมเท่านั้นที่ดีงาม แต่ยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลา มีวิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมมากด้วยเช่นกัน คุณชายจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นมิอาจเทียบท่านอ๋องน้อยได้สักคน” หญิงชรายิ้มกล่าวกับเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาหัวเราะแผ่วเบา หากแต่ก็พยักหน้าคล้อยตาม “ข้าก็คิดว่าสามีข้าเป็นคุณชายที่พานพบได้ยากในใต้หล้าเช่นกัน”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็เม้มปากกลั้นยิ้ม
ระหว่างที่ฉินเจิงเดินเข้ามาก็บังเอิญได้ยินทั้งสองคุยกันพอดี เขาอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา เดินเข้ามาใกล้แล้วกดหน้าผากเซี่ยฟางหวา “คนอื่นชมไม่เป็นไร แต่เจ้าเป็นคนของข้า ชมข้าเช่นนี้ไม่อายหรือ”
“ไม่อาย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “เดิมเจ้าก็ดีมากอยู่แล้ว”
ฉินเจิงแย้มยิ้มอันลึกซึ้ง กระทั่งหางคิ้วและหางตายังยกยิ้มตาม เขายกมือโอบนาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “เมื่อคืนเจ้าเอาแต่พูดว่าเหนื่อย วันนี้นอนถึงกี่ยามกว่าจะตื่นมา ไฉนถึงไม่นอนให้มาก ยังเหนื่อยหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาหน้าร้อนผ่าวดุจไฟเผาทันที กระซิบตอบด้วยเสียงอู้อี้ “ไม่เหนื่อยแล้ว เพิ่งตื่นไม่นานนี่เอง”
ฉินเจิงยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาต่อ “พอกลับถึงบ้านแล้ว ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
เซี่ยฟางหวารู้สึกคล้ายหน้าใกล้จะไหม้แล้วจึงผลักเขาออก
ฉินเจิงถือโอกาสผละตัวออกเล็กน้อย ก่อนสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “พวกเจ้าไปช่วยผู้เฒ่านำสัตว์ที่ล่ามาได้ลงจากม้า พอกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วเราจะออกเดินทาง”
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อย” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบทำตามคำสั่ง
“ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยจะกลับแล้วหรือ ไม่อยู่ต่ออีกสักคืนหรือ” หญิงชราได้ยินเช่นนี้ก็อาวรณ์ไม่น้อย
“เราออกมาทำธุระ จากเมืองมาค่อนข้างนานแล้ว คนที่บ้านคงเป็นห่วงแย่ ตรงนี้ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก ถ้ามีเวลาว่างค่อยมาเยี่ยมท่านสองคนใหม่” ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยต่างเป็นผู้สูงศักดิ์ ย่อมมีเรื่องต้องทำมากมาย เช่นนั้นข้าไม่รั้งแล้ว รีบไปทำอาหารให้พวกท่านดีกว่า” หญิงชราเก็บผักเสร็จแล้วก็เดินไปยังห้องครัว
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนเดินมายังทางเข้า ช่วยชายชรานำสัตว์ลงมา
ฉินเจิงกุมมือเซี่ยฟางหวา ก่อนดึงนางเข้าไปในห้อง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้วก็ปิดประตูลง ฉินเจิงดึงเซี่ยฟางหวาเข้ามากอด จากนั้นก็โน้มหน้ามอบจุมพิตอันลึกซึ้งให้
เซี่ยฟางหวาถูกเขาจุมพิตกระทั่งแทบขาดลมหายใจเขาถึงยอมปล่อยนางเป็นอิสระ ทอดตามองด้วยแววตาอบอุ่น น้ำเสียงแหบพร่าชวนมอมเมา “ในหัวใจของเจ้า ข้าเป็นคุณชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าจริงหรือ”
“แน่นอน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าแดงซ่าน
ฉินเจิงระบายยิ้มกวาง ก้มประทับริมฝีปากจูบนางอีกครั้ง
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนีทั้งที่ยังหอบหายใจ กระซิบเสียงเบาว่า “อย่าซน ประเดี๋ยวข้าคงไม่มีหน้าไปพบผู้อื่นแล้ว…”
ฉินเจิงไม่ยอม บรรจงจุมพิตนางต่ออีกพักหนึ่งก่อนผละออก กอดนางพลางเอ่ยขึ้น “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าดื้อขนาดนี้”
“เจ้าต่างหาก” เซี่ยฟางหวามองค้อนด้วยความไม่พอใจ
ฉินเจิงมองนาง ใบหน้านางดุจเมฆาในแสงสายัณห์ เครื่องหน้าดุจภาพวาด ท่ามกลางความอ่อนโยนแฝงไปด้วยรอยยิ้มสว่างจ้าและความรักอันอบอุ่นชวนเบิกบานใจ เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เอ่ยด้วยความพึงพอใจ “ข้าฉินเจิงมีดีอันใดถึงได้รับความรักจากเจ้าเช่นนี้”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
“ชีวิตนี้มีเจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว” ฉินเจิงกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวาเห็นว่านัยน์ตาของเขามีแค่นางเพียงผู้เดียวในนั้น ความรักอันอบอุ่นเด่นชัด นางจึงกล่าวขึ้นบ้าง “ข้าก็เช่นกัน ชีวิตนี้มีเจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”
ฉินเจิงจุมพิตนางอีกครั้ง
“พอแล้ว” เซี่ยฟางหวายกมือปราม กระซิบเสียงเบา
ฉินเจิงปัดมือนางออก มอบจุมพิตอันหนักแน่นให้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ไฟไหม้เมื่อคืนเผาป่าผืนนั้นจนราบ ปรมาจารย์สายลับราชสำนักที่มาขัดขวางเราคือฉือเฟิ่ง เขาถูกไฟลวกด้วย”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เมื่อวานหลังเจ้ากับข้าออกมา เยว่ลั่วก็ไล่ตามเขาไปอย่างลับๆ แต่ร่องรอยก็หายสาบสูญ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน แต่มั่นใจว่าต้องอยู่ห่างจากเมืองหลวงในรัศมีร้อยลี้เป็นแน่ คงไม่ไกลไปกว่านี้” ฉินเจิงส่ายหน้า
“สามปรมาจารย์ของเขาไร้นามเก่งกาจโดดเด่น เยว่ลั่วเองก็มาจากสายลับราชสำนัก ย่อมเทียบเคียงไม่ได้ แม้เขาถูกไฟลวกแต่ยังมีพลังอยู่ ลบร่องรอยหายไปได้ย่อมเป็นเรื่องปกติ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ส่วนเรื่องคดีในเมือง พอกลับไปแล้วก็ต้องรีบปิดคดีให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องแผนลับของสายลับราชสำนักนั้น ไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณชน” ฉินเจิงเม้มปาก “มิฉะนั้นภาคราชสำนักและประชาชนคงสั่นคลอน ราษฎรเกิดความตื่นกลัว จะส่งผลกระทบต่อระบอบการปกครอง”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ในเมื่อพวกเขาอยู่เบื้องหลัง เจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะปิดคดีอย่างไร”
“ในเมื่อถอนรากถอนโคนไม่ได้ ก็ต้องตัดยอดไม้และลำต้น” ฉินเจิงพยักหน้า “ข้าคิดไว้แล้ว แต่จำต้องมีเจ้าร่วมมือด้วย ระหว่างทางข้าจะอธิบายให้ฟัง”
“ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
หลังทานอาหารเสร็จ ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาก็บอกลาผู้เฒ่าทั้งสองท่าน ก่อนออกมาจากครอบครัวเกษตรกรในชนบท
ระหว่างทางผ่านป่าผืนนั้น เหลือเพียงดินและต้นไม้ที่กลายเป็นเถ้า ไร้สัญญาณชีวิต
“เมื่อคืนข้าเห็นว่าเขาไม่ยอมเลิกราจึงทำเช่นนั้นลงไป เพื่อป้องกันไฟลุกลามวงกว้าง แต่ความจริงแล้วต้นไม้ใบหญ้าก็มีหัวใจ แท้จริงไม่สมควร” เซี่ยฟางหวามองแล้วถอนหายใจออกมา
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าตัวเดียวกัน เขาเอื้อมมือโอบรอบเอวนางแน่น “เจ้าทำถูกแล้ว ถ้าไม่ชิงลงมือก่อน เราก็จะเป็นฝ่ายถูกบีบบังคับแทน เรียกได้ว่าจำใจต้องทำ ตอนนี้เข้าหน้าร้อนแล้ว ต้นไม้พวกนี้ผ่านฝนตกหนักมาตลอดสองวันก่อนจึงไม่เสียหายมากนัก ฟื้นฟูสักระยะก็มีโอกาสเติบโตใหม่ เพียงแต่ตอนนั้นลมแรงมาก ทำให้สถานการณ์ไฟไหม้ดูรุนแรง มิฉะนั้นหากเป็นฤดูหนาว ถึงแม้ฉือเฟิ่งมีพลังสูงมากเพียงใด แต่การถูกไฟล้อมเช่นนั้นก็คงต้องตายลงที่นี่ คงไม่แค่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เจ้าดูสิ เจ้าใจอ่อนมีเมตตาเช่นนี้ ต่อไปข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากกว่าเดิม” ฉินเจิงยิ้มกล่าว
เซี่ยฟางหวารู้สึกตัวในฉับพลัน ตัวแข็งไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง
“เป็นอะไร” ฉินเจิงสังเกตเห็นว่านางแปลกไป
เซี่ยฟางหวาใจลอยพักหนึ่งก่อนหันกลับมาถาม “เมื่อครู่เจ้า…พูดว่าอะไร”
“ข้าบอกว่า เจ้าดูสิ เจ้าใจอ่อนมีเมตตาเช่นนี้ ต่อไปข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากกว่าเดิม” ฉินเจิงเกลี่ยหน้าผากนาง “ข้าว่าช่วงนี้ใจเจ้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ่อยนัก น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง”
เซี่ยฟางหวากุมมือเขา ปลายนิ้วสั่นระริกแผ่วเบา ไม่เอ่ยคำใด
“เจ้าคงคิดมากเกินไป เป็นเหตุให้เหนื่อยง่าย” ฉินเจิงกระชับกอดนาง จัดท่าทางให้นางพิงแผ่นอกตนสบายๆ หากแต่มั่นคง ก่อนกล่าวเสียงเบา “เดินทางช้าหน่อย ถึงเมืองก่อนฟ้ามืดก็ได้ ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หลับสักงีบ เมื่อคืนข้ากวนเจ้าจนนอนไม่เต็มที่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ขดตัวในอ้อมอกเขา ก่อนหลับตาลง
ไม่นานนางก็เผลอหลับไปจริงๆ
แม้หลับไปแล้ว แต่สมองกลับมีภาพบางเหตุการณ์แล่นขึ้นสลับไปมา…
เมื่อตะวันคล้อยตกลงทางทิศตะวันตกก็กลับมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่น
สี่ซุ่นนำคนมาชะเง้อคอมองหาตรงหน้าประตูเมือง เมื่อเห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับมาแล้วก็รีบก้าวขึ้นมาด้วยความดีใจ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดท่านทั้งสองก็กลับมาถึงโดยปลอดภัย พระชายาเฝ้ารอด้วยความร้อนใจ เป็นห่วงจนกินมิได้นอนมิหลับ” พูดจบก็หยั่งเชิงถาม “พระชายาน้อยไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”
ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “นางไม่เป็นไร เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่เถอะ”
สี่ซุ่นรีบพยักหน้าก่อนกลับไปยังจวนอิงชินอ๋องด้วยความดีใจ
เซี่ยฟางหวาลืมตาตื่น มองกำแพงเมืองเบื้องหน้าด้วยความเหม่อลอย
ฉินเจิงเคาะหน้าผากนางแผ่วเบา ก่อนเอ่ยถามขึ้น “ตื่นแล้วหรือ”
เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองเขา
“เพิ่งตื่นมาเหตุใดถึงดูล่องลอยเช่นนี้ เหมือนไม่รู้จักข้าแล้ว” ฉินเจิงมองนางแล้วยิ้มขำ
เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่งกว่าจะปรับสายตาให้ชัดเจนได้ นางวาดมือกอดเขาก่อนซุกใบหน้าคลอเคลียแผ่นอก เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าหลับตลอดทางเลยหรือ”
“อืม หลับลึกมาก” ฉินเจิงตอบ “ถ้าสี่ซุ่นไม่เอะอะปลุกเจ้า ตอนนี้น่าจะยังหลับอยู่”
เซี่ยฟางหวายกยิ้มมุมปาก ไม่เอ่ยคำใด
ฉินเจิงพานางเข้าเมือง เมื่อมาถึงทางแยกระหว่างจวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวก็ถามขึ้น “จะไปหาท่านปู่ที่จวนจงหย่งโหวก่อนหรือไม่”
“ดีเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงพานางไปยังจวนจงหย่งโหว
ไม่นานก็มาถึงจวนจงหย่งโหว ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาลงจากม้า เด็กเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นพวกเขาก็รีบคำนับให้ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย”
“โหวเหยผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่” ฉินเจิงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยถาม
“โหวเหยผู้เฒ่าสบายดีขอรับ รอข่าวคราวจากท่านทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ข้าน้อยจะไปรายงานประเดี๋ยวนี้” เด็กเฝ้าประตูคนนั้นพูดพลางก็รีบเปิดประตูเชิญทั้งคู่เข้ามา จากนั้นก็รีบวิ่งไปรายงานในเรือนชั้นใน
ฉินเจิงกุมมือเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไปข้างใน
เซี่ยฟางหวาเดินตามเขา ทว่าเดินไปไม่ไกลเบื้องหน้าพลันมืดมิด ร่างกายอ่อนระทวย เซล้มลงบนพื้น
ฉินเจิงตกใจ รีบรองรับตัวนางด้วยความว่องไว
เซี่ยฟางหวาล้มลงในอ้อมกอดเขา วูบหมดสติไปทันที