ตอนที่ 55 กังวลมากเกินเหตุ

จารใจรัก

เซี่ยฟางหวาเป็นลมหมดสติ จวนจงหย่งโหวแตกตื่นทันที 

 

 

           ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาช้อนร่างเซี่ยฟางหวาอุ้มขึ้นมาก่อนสั่งงานข้างหลัง “รีบไปตามหมอมา” 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเพิ่งข้ามธรณีประตูเข้ามา ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบหันหลังออกจากจวนทันที มุ่งไปยังสำนักหมอหลวงด้วยความรีบร้อน 

 

 

           เซี่ยหลินซีได้ยินว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาที่จวนก็ออกมารับด้วยความดีใจ ทว่าเมื่อเห็นเหตุการณ์ตอนเซี่ยฟางหวาล้มหมดสติไปก็ตกใจมากเช่นกัน รีบก้าวขึ้นมาถามฉินเจิง “น้องฟางหวาเป็นอะไร” 

 

 

           ฉินเจิงส่ายหน้า 

 

 

           “ในจวนเราเองก็มีหมอ ข้าจะให้คนไปตามมาประเดี๋ยวนี้” เซี่ยหลินซีพูดจบก็เรียกเด็กรับใช้มาสั่งงานด้วยความรีบร้อน “รีบไปตามหมอมา เชิญเขาไปที่…ห้องโถงหรงฝู” 

 

 

           “ขอรับ” คนผู้นั้นรีบวิ่งไปตามหมอมา 

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่าได้ยินว่าพวกเจ้ากลับมาแล้วก็ดีใจมาก ตรงนี้อยู่ใกล้กับห้องโถงหรงฝู พาน้องฟางหวาไปที่นั่นก่อนเถอะ” เซี่ยหลินซีหันกลับมากล่าวกับฉินเจิง  

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า ก่อนอุ้มเซี่ยฟางหวาเดินไปยังห้องโถงหรงฝู 

 

 

           เนื่องจากเซี่ยฟางหวาหมดสติไปกะทันหัน เซี่ยหลินซีกับฉินเจิงจึงไม่ได้คุยกันมากมาย รีบไปยังห้องโถงหรงฝูแทน 

 

 

           เมื่อมาถึงทางเข้าห้องโถงหรงฝู ป้าฝูออกมาต้อนรับ ทว่าเมื่อเห็นฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาที่ไม่ได้สติมาก็สะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋องน้อย คุณหนู…เป็นอะไร” 

 

 

           “ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดพอเข้ามาในจวนก็หมดสติกะทันหัน” ฉินเจิงตอบพลางอุ้มเซี่ย 

 

 

ฟางหวาเข้าไปข้างใน 

 

 

           ชุยอวิ่นเดินออกมาจากข้างใน ได้ยินเช่นนั้นก็แหวกม่านให้ด้วยตัวเอง 

 

 

           ฉินเจิงเรียก “ท่านลุง” ก่อนเป็นการทักทาย จากนั้นก็อุ้มเซี่ยฟางหวาข้ามธรณีประตูเข้าไป 

 

 

           จงหย่งโหวกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เมื่อเห็นฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติไปเข้ามาในห้องก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วถาม “เจ้าเจิง เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

           ป้าฝูรีบเข้ามาปูเตียงให้เรียบร้อย 

 

 

           ฉินเจิงวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงแล้วหันมาส่งเสียงเรียกจงหย่งโหวว่า “ท่านปู่” จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหมดสติกะทันหัน” 

 

 

           “ไปตามหมอในจวนมาแล้ว” เซี่ยหลินซีบอก 

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้า ยกมือสื่อว่าให้เขานั่งลง 

 

 

           ฉินเจิงนั่งบนหัวเตียง กุมมือเซี่ยฟางหวาพลางมองนาง 

 

 

           “เจ้าอวิ๋นหลานไม่กลับมาพร้อมพวกเจ้าด้วยหรือ” ชุยอวิ่นมองข้างนอกพักหนึ่งแล้วเอ่ยถามฉินเจิง 

 

 

           “ข้าไปถึงอารามลี่อวิ๋น พบแค่นางอยู่ล่างหุบเขา ไม่พบพี่อวิ๋นหลานด้วย” ฉินเจิงเม้มปากแล้วส่ายหน้า  

 

 

           ชุยอวิ่นมีสีหน้าเปลี่ยนไป “เจ้าอวิ๋นหลานเกิดเรื่อง?” พูดจบก็หันไปมองจงหย่งโหว 

 

 

           จงหย่งโหวมองฉินเจิง พบว่าเขากำลังมองเซี่ยฟางหวาด้วยความร้อนใจก็ยกมือปราม “เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน รอหมอมาถึงก่อน ตรวจดูว่าหวาเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่” 

 

 

           ชุยอวิ่นพยักหน้ารับ 

 

 

           ไม่นานก็มีหมอท่านหนึ่งหิ้วกระเป๋ายารีบเดินเข้ามา 

 

 

           ป้าฝูรีบออกไปรับแล้วเชิญเขาเข้ามาข้างใน 

 

 

           หมอท่านนั้นอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เมื่อเข้ามาแล้วก็คำนับต่อจงหย่งโหว ชุยอวิ่น และฉินเจิง 

 

 

           “ไม่ต้องมากพิธี รีบไปดูหวาเอ๋อร์เถอะ นางหมดสติไปเพราะเหตุใด” จงหย่งโหวยกมือปัด 

 

 

           หมอท่านนั้นรีบเดินมาที่หน้าเตียง 

 

 

           ฉินเจิงนั่งนิ่งอยู่ที่หัวเตียง ตวัดตามองหมอท่านนั้นแวบหนึ่งแล้วปล่อยมือนาง “ตรวจให้ละเอียดหน่อย” 

 

 

           หมอท่านนั้นพยักหน้า ก่อนยื่นมือไปตรวจชีพจรให้เซี่ยฟางหวา 

 

 

           ทุกคนในห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วเวลาหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา กระทั่งเข็มหล่นพื้นยังได้ยินเสียง 

 

 

           หมอท่านนั้นตรวจชีพจรพักหนึ่งก็สลับไปตรวจอีกข้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เวลานั้นทุกคนต่างใจไม่ดี 

 

 

           ฉินเจิงมีสีหน้านิ่งขรึมพลางเม้มปาก 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่งหมอท่านนั้นก็ถอนมือออก ประสานมือคำนับกล่าวกับฉินเจิง “ข้าน้อยตรวจชีพจรให้พระชายาน้อยพบว่า สภาพร่างกายอ่อนแอคล้ายไม่เหลือพลัง เป็นกังวลและใช้สมองมากเกินไป ความว้าวุ่นโจมตีช่องท้อง ร่างกายในตอนนี้…ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก” 

 

 

           ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป ยื่นมือกดไหล่เขาทันที “เจ้าพูดให้ละเอียดกว่านี้หน่อย” 

 

 

           “ข้าน้อยไม่เชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ จากชีพจรพบว่า ช่วงนี้พระชายาน้อยเป็นกังวลมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อหัวใจ ตอนนี้ที่หมดสติลงฉับพลันก็เพราะถูกบางสิ่งกระทบจิตใจ…” หมอท่านนั้นรีบกล่าวต่อ  

 

 

           “เจ้าจะบอกว่านางได้รับแรงกระตุ้นฉับพลันรึ” ฉินเจิงรีบถาม 

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ก็ได้” หมอท่านนั้นพยักหน้า 

 

 

           “เหลวไหล” ฉินเจิงผลักเขาด้วยความรุนแรง  

 

 

           หมอท่านนั้นทนรับแรงของฉินเจิงไม่ได้ กระเด็นออกไปหลายจั้งจนล้มลงบนพื้น รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยตรวจชีพจรดู ผลตรวจชีพจรบอกเช่นนี้” 

 

 

           “ก่อนหน้านี้นางยังดีอยู่เลย ระหว่างกลับมาก็หลับตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูเมืองถึงตื่นขึ้นมา ข้ากอดนางเอาไว้ตลอดเวลา นางจะถูกแรงกระตุ้นโจมตีได้อย่างไร จะถูกแรงกระตุ้นใดได้” ฉินเจิงเดือดดาล  

 

 

           หมอท่านนั้นได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก 

 

 

           “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าหวาเอ๋อร์ยังดีอยู่ตลอดทาง แต่จู่ๆ ก็หมดสติไป” ชุยอวิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล  

 

 

           ฉินเจิงเม้มปากเงียบ 

 

 

           เซี่ยหลินซีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หมอท่านนี้มีวิชาแพทย์ดีมาก วันก่อนโหวเหยผู้เฒ่าตากลมหนาว เขาเขียนใบสั่งยาให้ หลังดื่มยาก็หายแล้ว” พูดจบก็มองไปยังหมอท่านนั้น “สิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ” 

 

 

           “ข้าน้อยย่อมพูดความจริง” หมอท่านนั้นมองฉินเจิง ก่อนมองไปยังเซี่ยฟางหวาที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าน้อยเป็นคนที่พระชายาน้อยส่งมาดูแลสุขภาพโหวเหยผู้เฒ่า มีหรือจะพูดโกหก พระชายาน้อยเป็นเจ้านายของข้า” 

 

 

           “เจ้าเป็นคนที่นางส่งมา?” ฉินเจิงชะงักแล้วขมวดคิ้วถาม 

 

 

           “ข้าน้อยรับคำสั่งจากคุณชายชิงเกอ มาจากหอเทียนจีเก๋อ” หมอท่านนั้นพยักหน้า บอกตามความจริง  

 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็เม้มปาก 

 

 

           “หลายวันก่อนมีคนจำนวนหนึ่งมาที่จวน บอกว่าเป็นคำสั่งของน้องฟางหวา” เซี่ยหลินซีกล่าวกับฉินเจิง “ทั้งหมดได้รับการจัดสรรหน้าที่แล้ว สองวันก่อนเกิดเรื่องกับนางที่อารามลี่อวิ๋น ในจวนวุ่นวายมาก โชคดีที่พวกเขาอยู่ด้วยจึงไม่เกิดปัญหาตามมา” 

 

 

           ฉินเจิงเงียบ 

 

 

           “เจ้าเจิง เจ้าเล่าให้พวกเราฟังสิว่าสองวันก่อนเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าบ้าง” จงหย่งโหวกระดกเครา 

 

 

           ฉินเจิงนั่งลงเชื่องช้า ก่อนเล่าเรื่องที่เซี่ยฟางหวาบอกกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าว่าเขาหาเซี่ยฟางหวาพบได้อย่างไร ทั้งเรื่องได้พบกับฉือเฟิ่งหนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นามระหว่างกลับเมืองเมื่อคืนก่อน รวมถึงแวะค้างแรมที่ครอบครัวในชนบท และเดินทางกลับเมืองในวันนี้ให้ฟังคร่าวๆ 

 

 

           “เจ้าบอกว่าแม้เขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ ทั้งออกจากเขาไร้นามแล้วด้วย” จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ 

 

 

           จงหย่งโหวมองไปยังชุยอวิ่น 

 

 

           “หลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษหนานฉินก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นและได้แก้ไขนโยบายบ้านเมืองทั้งหมดในราชวงศ์ก่อนมากมาย แต่สังเกตเห็นว่าขุนนางซึ่งมีฐานะเป็นสายลับเงาของจักรพรรดิกลับยังคงอยู่ และได้ก่อตั้งแหล่งบุกเบิกสายลับราชสำนักขึ้นโดยเฉพาะ สามร้อยปีมานี้ ระหว่างนั้นแม้เกิดความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นบ้าง แต่ก็ผ่านไปอย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน สายลับราชสำนักเป็นดาบแห่งอำนาจราชสำนักตลอดมา รับคำสั่งทำภารกิจ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ตอนนี้ดูท่าช่วงเวลานานอันยาวนานนี้สั่นคลอนแล้ว” ชุยอวิ่นก็มีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน  

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้า “สมัยสายลับราชสำนักก่อตั้งขึ้น ได้สร้างเป็นภูเขาลับสามแห่งเพื่อเป็นแหล่งบุกเบิกสายลับ ประกอบด้วยเขาเทียนหลิ่ง เขาตี้เฟิง และเขาไร้นาม ทั้งสามแห่งควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ละแห่งต่างมีผู้บัญชาการ ทั้งสามแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อปกป้องเมืองหลวง แต่เนื่องจากเขาไร้นามมีการคัดเลือกสายลับอย่างโจ่งแจ้งมาโดยตลอด วิธีการนี้เป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้า และเขาไร้นามก็เป็นรังสายลับของฝ่าบาทที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน ส่วนภูเขาอีกสองแห่งนั้นถูกปิดไว้เป็นความลับ ห้ามโลกภายนอกรู้ ดังนั้นนอกจากลูกหลานราชวงศ์กับทายาทจากตระกูลใหญ่ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก สามร้อยปีมานี้ทุกคนรู้จักเพียงเขาไร้นาม แต่ไม่รู้จักภูเขาอีกสองลูกที่ว่า” 

 

 

           “ตอนนี้เขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว ในเมื่อสามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้น…” ชุยอวิ่นกลัดกลุ้ม  

 

 

           จงหย่งโหวหันไปมองฉินเจิง 

 

 

           ฉินเจิงก้มหน้ามองพื้นราวกับจมดิ่งสู่ห้วงความคิด คล้ายกำลังคิดบางอย่าง ไม่ได้ฟังทั้งสองคุยกันตั้งแต่แรก 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เวลานี้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็นำหมอหลวงสองคนจากสำนักหมอหลวงเข้ามาในห้องโถงหรงฝูด้วยความรีบร้อน  

 

 

           “เชิญเข้ามา” ฉินเจิงรีบเอ่ยขึ้น 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเลิกม่านให้ สองหมอหลวงเดินเข้ามาทั้งเหงื่อท่วมพลางหอบหายใจ จากนั้นก็คำนับจงหย่งโหว ชุยอวิ่น และฉินเจิง 

 

 

           จงหย่งโหวยกมือปัด 

 

 

           “ตรวจชีพจรให้ละเอียด บอกมาตามความจริง” ฉินเจิงมองทั้งสอง 

 

 

           “ขอรับ ท่านอ๋องน้อย” สองหมอหลวงไม่สนว่าจะได้พักหายใจหรือไม่ รีบก้าวขึ้นไปตรวจดูอาการให้เซี่ยฟางหวาทันที 

 

 

           หลังทั้งสองผลัดกันตรวจชีพจรแล้วก็มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อยมีร่างกายอ่อนแอคล้ายไม่เหลือพลัง เป็นกังวลมากเกินไป สภาพจิตใจได้รับความเสียหาย อาการไม่ค่อยดีนัก” 

 

 

           “ทำเช่นไรให้หายดี” ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น 

 

 

           “จำต้องบำรุงร่างกายระยะหนึ่ง ห้ามใช้สมองมากเกินไป” หมอหลวงอีกคนรีบตอบ 

 

 

           “เหตุใดนางถึงหมดสติ” ฉินเจิงถามอีก 

 

 

           “เราสองคนตรวจชีพจนให้พระชายาน้อย พบว่าสภาพชีพจรนางไม่มั่นคง คล้ายกับถูกแรงกระตุ้นต่อหัวใจ เมื่อสภาพจิตใจเกิดความหวาดกลัวทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่พอ ดังนั้นจึงหมดสติไป” หนึ่งในนั้นรีบเอ่ยตอบ  

 

 

           “วันนี้นางไม่ได้พบเจอเรื่องใดมา หลับตลอดทาง จะถูกแรงกระตุ้นได้อย่างไร” ฉินเจิงถาม 

 

 

           หมอหลวงสองท่านนั้นมองหน้ากันด้วยความสงสัย 

 

 

           “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เกิดอะไรขึ้น” ชุยอวิ่นถามฉินเจิง 

 

 

           ฉินเจิงไม่ได้ตอบ 

 

 

           ซื่อฮว่ามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วรีบเอ่ยขึ้น “ตลอดทางไม่เกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนูหลับตลอดทาง ส่วน…” นางหยุดชั่วครู่ ครุ่นคิดก่อนเดาว่า “ใช่เป็นเพราะคุณหนูพลัดตกจากหน้าผาจึงมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่” 

 

 

           “ตอนหานางพบ พวกเจ้าไม่ได้ตามหมอมารึ” ชุยอวิ่นมองฉินเจิงด้วยความไม่พอใจทันที 

 

 

           “คุณหนูดูปกติดี อีกอย่างตัวคุณหนูเองก็เป็นหมอ…” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา  

 

 

           ชุยอวิ่นแค่นหัวเราะ แล้วกล่าวกับฉินเจิง “เจ้าละเลยหวาเอ๋อร์เกินไปแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงเงียบ 

 

 

           ซื่อฮว่าก็รีบหยุดพูดเช่นกัน 

 

 

           “เด็กคนนี้คิดมากมาตั้งแต่เด็ก กังวลมากเกินเหตุมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ตอนเหยียนเฉินยังอยู่ที่จวนก็จับตามองนางบำรุงร่างกายตลอดเวลา เดิมข้าคิดว่าหายดีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยิ่งสาหัสขึ้น” จงหย่งโหวค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ตำหนิเจ้าเจิงไม่ได้ นางเป็นคนคิดมากเอง ไม่เชื่อฟัง วิ่งเต้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย เมื่อใจไม่สงบก็นำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก” 

 

 

           “จะฟื้นมาเมื่อไร” ชุยอวิ่นถามสองหมอหลวง 

 

 

           “ตอบมิได้ บางทีประเดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว บางทีอาจพรุ่งนี้หรือมะรืน…” ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเอ่ยตอบ  

 

 

           “ต้องดื่มยาหรือไม่” จงหย่งโหวถาม 

 

 

           “เรื่องนี้…” ทั้งสองลังเลเล็กน้อย “ร่างกายของพระชายาน้อยต่างจากคนทั่วไป ข้าสองคนไม่กล้าเขียนใบสั่งยาตามใจชอบ” 

 

 

           “ถ้าไม่ดื่มยาก็ฟื้นขึ้นมาได้ใช่หรือไม่” เซี่ยหลินซีมองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม 

 

 

           “ฟื้นได้ขอรับ พระชายาน้อยแค่ทนแรงกระตุ้นมิได้ชั่วเวลาหนึ่ง ทำให้หมดสติไป ที่สภาพร่างกายนางไม่ค่อยดีนัก กังวลมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใน เป็นเพราะความคิดที่สะสมมาเป็นเวลานาน สิ่งนี้จำต้องค่อยๆ บำรุงรักษา เดิมทีพระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม สมัยหมอหลวงซุนมีชีวิตอยู่มักเอ่ยชมไม่ขาดปาก พวกข้าย่อมไม่กล้าให้พระชายาน้อยดื่มยาสุ่มสี่สุ่มห้า ทางที่ดีรอให้พระชายาน้อยดีขึ้นแล้วเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองดื่มดีกว่า” ทั้งสองพยักหน้า  

 

 

           “เจ้าเจิง เจ้าคิดว่าอย่างไร” จงหย่งโหวหันมามองฉินเจิง  

 

 

           “รอนางฟื้นขึ้นมาเถอะ” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           จงหย่งโหวผงกศีรษะ ก่อนสื่อให้เซี่ยหลินซีไปส่งหมอหลวงทั้งสองออกจากจวน 

 

 

           เซี่ยหลินซีนำทางหมอหลวงสองท่านออกจากห้องโถงหรงฝูไปยังนอกจวน 

 

 

           “เจ้ามีวิธีทำให้นางฟื้นขึ้นมาไวๆ หรือไม่” ฉินเจิงหันกลับมากล่าวกับหมอคนเดิม  

 

 

           หมอท่านนั้นส่ายหน้า คล้ายกับไม่พอใจอย่างยิ่งที่ฉินเจิงไม่เชื่อในวิชาแพทย์ของตน ส่ายศีรษะตอบด้วยใบหน้านิ่ง “ตอนเจ้านายกลับมานั้นมีสภาพร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่อาการป่วยของนางในตอนนี้ล้วนเกิดขึ้นหลังกลับถึงเมืองหลวงแล้ว” 

 

 

           ถ้อยคำนี้แฝงความหมายว่าเป็นเพราะฉินเจิง ย้ำเตือนให้ทุกคนนึกถึงธนูสามดอกนั้น 

 

 

           “เจ้ากล้าเขียนใบสั่งยาให้นางหรือไม่” ฉินเจิงมองเขา หาได้โกรธเคืองแต่กล่าวต่อ  

 

 

           หมอท่านนั้นเดิมทียังอยากกล่าววาจาไม่ไว้หน้าต่ออีกหน่อย ทว่าคำนึงถึงสภาพร่างกายของเซี่ยฟางหวาจึงพยักหน้าตอบ “ก่อนคุณชายเหยียนเฉินเดินทางได้เรียกข้าไปพบครั้งหนึ่ง กับอาการป่วยของเจ้านายนั้นข้ารู้มาบ้าง แม้ตอนนี้ร่างกายของเจ้านายน่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง” 

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าก็เขียนใบสั่งยาให้นาง” ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           หมอท่านนั้นผงกศีรษะ 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบเดินมาที่โต๊ะเพื่อกางกระดาษและฝนน้ำหมึกให้เขา 

 

 

           หมอท่านนั้นเขียนใบสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองรับมาแล้วถือออกไป เขาหันกลับมามองเซี่ยฟางหวาที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “แต่น่าแปลกใจนัก” 

 

 

           “แปลกอันใด” ชุยอวิ่นถาม 

 

 

           “เจ้านายหมดสติลงฉับพลัน ถูกแรงกระตุ้นโจมตี แต่ไม่คล้ายกับเป็นเพราะพลัดตกหน้าผา ถึงอย่างไรเรื่องตกหน้าผาก็เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน ไม่สอดคล้องกับการที่นางหมดสติวันนี้” หมอท่านนั้นตอบ 

 

 

           “หากตกใจเล่า” ฉินเจิงถาม “เมื่อคืนนางได้รับความตกใจไม่น้อย” 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยหมายถึงเรื่องปรมาจารย์เขาไร้นามมาขัดขวางหรือ” หมอท่านนั้นถาม 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           หมอท่านนั้นครุ่นคิด “ก็เป็นไปได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เรื่องของสภาพจิตใจเติมมากเกินก็ล้น เหมือนกับการรินน้ำใส่แก้ว หากรินน้ำมากเกินไปก็จะล้นออกมา วันนี้พระชายาน้อยรับไม่ไหว ดังนั้นต่อไปท่านอ๋องน้อยต้องระวังมากเป็นพิเศษ อย่าให้นางคิดมากจนเป็นกังวล หากร่างกาย จิตใจ ม้ามและไตทำงานหนัก สะสมนานไปกว่านี้จะยิ่งแย่” 

 

 

           “ข้ารู้แล้ว” ฉินเจิงยกมือไล่ 

 

 

           หมอท่านนั้นกลับออกไป 

 

 

           “หวาเอ๋อร์ดื้อรั้น เป็นเพราะข้าแก่และไร้ประโยชน์ นางออกเรือนแล้วแท้ๆ กลับยังต้องกังวลกับเรื่องในจวนแห่งนี้” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมายาวเหยียด  

 

 

           “ไม่รู้ว่าตอนนี้หานเอ๋อร์ไปถึงที่ใดแล้ว หลายวันก่อนฝนตกหนักติดต่อกันคงกระทบกับการเดินทาง หลายวันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะส่งข่าวกลับมา” ชุยอวิ่นก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน ก่อนเอ่ยขึ้น  

 

 

           “เขาเตรียมการพร้อม น่าจะไม่มีปัญหา” จงหย่งโหวส่ายหน้า “เหลือแต่เจ้าอวิ๋นหลานที่ยังน่าเป็นห่วง” 

 

 

           เขาเพิ่งพูดจบ เซี่ยฟางหวาซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ส่งเสียงเพ้อขึ้น “พี่อวิ๋นหลาน…” 

 

 

           ฉินเจิงหันไปมองนางทันที 

 

 

           นางพร่ำเรียกอีกสองครั้ง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลซึมออกมาทางหางตา เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้าในพริบตา