ภาคที่ 5 ตอนที่ 17 ข้ามีเพียงตาให้เจ้าเท่านั้น (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 17 ข้ามีเพียงตาให้เจ้าเท่านั้น (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

          เราไม่ได้มีเจตนาร้าย?

          แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ แก่นของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักรเก้าแคว้นคือสันติสุขและความก้าวหน้า ดังนั้นพวกที่ตะโกนออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเรามาเพื่อทำลายและพิชิตเหล่าคนเถื่อนจึงมีน้อยลงทุกที และรูปแบบในการปรากฏตัวของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นทุกวัน

          แม้จะเห็นชัดๆ ว่ากองทัพเหยียบย่ำฝ่ายตรงข้ามให้จมลงใต้รองเท้าบู้ต และทำให้คนบริสุทธิ์มากมายต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่แม่ทัพที่ถือธงก็ยังยกแขนข้างที่เปื้อนเลือดขึ้นสูงและตะโกนออกมาว่า “เรานำประชาธิปไตยและเสรีภาพมาให้ทุกคน!”

          ถูกต้องแล้ว มือซ้ายคือประชาธิปไตย ขณะที่มือขวาคือเสรีภาพ และมือทั้งสองข้างนั้นก็จะหักกล้ามเนื้อและซี่โครงของทุกคนเสีย!

          ดังนั้นพอเขาได้ยินชายผิวสีน้ำผึ้งกล่าวว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย หวังลู่จึงทำได้เพียงยิ้ม

          “มีเพียงคนตายเท่านั้นที่ไม่มีเจตนาร้าย ทำไมเจ้าไม่ยกกระบี่ขึ้นมาปาดคอตัวเองเล่า ถึงตอนนั้นข้าจะเชื่อเจ้า”

ผู้บำเพ็ญเซียนผิวสีน้ำผึ้งไม่ใส่ใจถ้อยคำล้อเลียนนั้น เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เลือนไปจากใบหน้า “ข้าชื่ออาเซี่ย ข้างๆ ข้าคือเด็กสาวหูแมวชื่อว่าหลิงเยียน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงเคยพบกันก่อนหน้านี้แล้ว”

          อาเซี่ยกล่าวจากนั้นก็คลายรอยยิ้มลงและมีท่าทีที่จริงจังขึ้น ทว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับยากที่จะอ่านออก

          “เมื่อสัปดาห์ก่อน เราได้รับมอบหมายงานจากผู้อาวุโสสูงสุดของสาขาเขาอวิ๋นไท่ให้มาจัดการปัญหาของพวกเจ้าสามคน”

          หวังลู่ถาม “และเจ้าก็มาโดยไม่มีเจตนาร้าย?”

อาเซี่ยกล่าวตอบ “ถูกต้อง เพราะข้ารู้สึกว่าหลายอย่างตกลงได้ด้วยสันติวิธี”

          “ตกลงได้ด้วยสันติวิธี?”

“ใช่แล้ว ตัวอย่างเช่น ข้ามาที่นี่ในนามของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สาขาเขาอวิ๋นไท่เพื่อขอร้องให้พวกเจ้าทั้งสามวางข้อบาดหมางลงและเปลี่ยนความเป็นปรปักษ์ให้เป็นมิตรภาพ”

          เมื่อได้ยินคำนี้ หวังลู่ก็พยักหน้าไม่หยุด “อืม เมื่อไม่สามารถข่มขืนได้ ก็เปลี่ยนเป็นล่อลวงแทน ที่เจ้าคำนวณมาก็เข้าใจได้”

          อาเซี่ยยิ้มออกมาอีกครั้ง “ถูกต้อง ข้าคำนวณมาอย่างดี หากข้ายืนกรานที่จะแลกคมกระบี่กับพวกเจ้าสามคน ก็ไม่รู้ว่าปัญหามันจะขยายใหญ่ไปถึงไหน ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถพาไปมาได้ตามใจปรารถนาทั้งที่อยู่ในค่ายกลที่ไม่อาจหลบหนีได้ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ กับศัตรูเช่นนั้น ข้าอาจเอาชนะและขับไล่พวกเขาไปได้ แต่หากจะแก้ปัญหาชนิดถอนรากถอนโคน บางทีแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของเราก็ไม่อาจทำได้ นี่ยังไม่รวมถึงว่าเรามีงานสำคัญที่ต้องการกำลังคนและทรัพยากรรออยู่ หากเราต้องแบ่งกำลังคนมาจัดการกับพวกเจ้าทั้งสาม ข้าก็เกรงว่าจะทำงานไม่สำเร็จทั้งสองอย่าง ดังนั้นจะยุ่งยากไปทำไม”

          เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวชีก็นิ่งไปจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เหมือนคนอื่น ดูแตกต่างจากพวกสัตว์กระหายเลือดเหล่านั้นมาก”

          อาเซี่ยหงายมือขึ้นมาตรงหน้าอก “บอกตามตรงว่าตบะขั้นของข้านั้นตื้นเขิน สติปัญญาก็ทื่อ ในชีวิตนี้ข้าไม่หวังว่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้แล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าย่อมแตกต่างจากคนอื่น ทว่าอาจเพราะเหตุนี้ที่บางปัญหาซึ่งคนอื่นแก้ไม่ได้ข้ากลับแก้ได้ ตามความเห็นของข้า ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้เกลียดชังลงลึก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่มันรุนแรง”

          เสี่ยวชีทวนคำ “ไม่ได้เกลียดชังลงลึก?”

          อาเซี่ยกล่าว “จำเป็นหรือที่จะต้องเจ็บแค้นเพราะสุนัขเพียงไม่กี่พันตัว เป็นเพราะผู้อาวุโสที่ดูแลเรื่องนี้ที่มีฉุนเฉียวมากเกินไป หากเจ้ายอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ เราจะมาขอโทษอย่างจริงใจในเรื่องที่ทำหยาบคายลงไป”

พูดจบเขาก็หันมาหาหวังลู่ “เช่นกัน ข้าเองก็ต้องการขอโทษเจ้าเรื่องที่อาวุโสฉือโฮ่วทำเรื่องหยาบคายลงไป”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “หากคำขอโทษมีประโยชน์จริง เหตุใดผู้คนถึงยังต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองให้คนตายอยู่อีกเล่า”

          อาเซี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้องที่สุด คำพูดก็แค่ลมปาก ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้เจ้าเชื่อใจและเป็นการแสดงความจริงใจของเรา…งั้นดูนี่”

          พูดจบ อาเซี่ยก็หยิบบางอย่างที่ห้อยต่องแต่งออกจากชุดตัวหลวมของเขา เมื่อได้เห็นสิ่งนั้น หวังลู่ก็อึ้งไป มันคือแขนข้างหนึ่ง! แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและกระดูกขรุขระ เขาจำมันได้อย่างแม่นยำ มันคือแขนขวาของฉือโฮ่ว!

          “เขาคือผู้อาวุโสของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แต่เพราะหละหลวมในกฎระเบียบ ศิษย์สองคนภายใต้การดูแลของเขาจึงสมคบคิดกันที่จะขโมยสัตว์ภูตจากเจ้า จากนั้นเขาก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ทั้งยังพยายามใช้กำลังฉกฉวยสัตว์ภูตนั่นไปจากเจ้าด้วยตัวเอง… หากว่ากันตามกฎของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แล้ว เราต้องลงโทษเขาอย่างเข้มงวด ตอนนี้ข้าเอาแขนข้างหนึ่งของเขามาเป็นเครื่องหมายของการขออภัย เจ้าจะยอมรับคำขอโทษนี้ไหม”

          ไม่ต้องพูดถึงแขนนี่ แค่สถานะของเขาในฐานะปรมาจารย์ตบะขั้นสร้างแกนเพียงอย่างเดียว การที่เขายอมก้มหัวและพูดคำสอพลอเช่นนี้กับหวังลู่ก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว แม้ดวงตาคู่แปลกของอาเซี่ยจะอ่านได้ยากยิ่ง แต่ท่าทีของเขาก็ไม่ด่างพร้อยแม้แต่น้อย

          หวังลู่หัวเราะเบาๆ “เจ้านี่รู้จักใช้ประโยชน์จากขยะไร้ค่าจริงๆ”

          วันนั้น เขา หลิวหลีและฉวนโจ่วฮวาร่วมมือกันขับไล่ฉือโฮ่ว สังหารสัตว์ภูตสองตัวและทำลายอาวุธวิเศษของอีกฝ่าย ทำให้ฉือโฮ่วสูญเสียความแข็งแกร่งดั้งเดิมไปถึงหกส่วน แม้ตบะของเขาจะยังอยู่ในขั้นสร้างแกน แต่จากมาตรฐานการวัดระดับของหวังลู่แล้ว ตอนนี้พลังของฉือโฮ่วตกลงไปอยู่ที่ตบะขั้นสร้างแกน -n ซึ่งเป็นระดับที่ไม่อาจหยั่งได้ เมื่อต้องสูญเสียหนักขนาดนั้น และด้วยสติปัญญารวมถึงนิสัยของฉือโฮ่ว การจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมนั้นพูดง่ายกว่าทำ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง

          แล้วแขนของขยะไร้ประโยชน์เช่นนี้ จะมีค่าอะไรกันเล่า

          และหวังลู่ก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดโดยไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจสักนิด ทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกตบหน้าไม่มีผิด

          ทว่าอาเซี่ยยังคงไม่มีท่าทีโกรธเคือง เขาพยักหน้า “ก็จริงที่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวอาจยังพิสูจน์ความจริงใจของเราไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…หลิงเยียนมานี่”

          หญิงสาวหูแมวในเสื้อคลุมที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มเดินตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็ดึงหมวกคลุมลง

          นางยังเป็นสาวน้อยใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญคนเดิม เพียงแค่เมื่อเทียบกับเมื่อเจ็ดวันก่อน สีผิวของนางในตอนนี้กลับซีดเผือดและดูไร้จิตวิญญาณ หนำซ้ำนางยังใส่ที่ปิดตาซึ่งปกปิดดวงตาขวาเอาไว้ด้วย

          จากนั้นเด็กสาวก็ยื่นแขนขวาออกมา ในมือของนางมีหินตาแมวส่องประกายวิบวับอยู่

          “เจ้า!?”

          เสี่ยวชีตกใจอย่างหนักทั้งยังค่อนข้างขุ่นเคือง หวังลู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางเบิกตากว้างเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเลยสักนิด

          อาเซี่ยที่ยังคงยิ้มอยู่กล่าวขึ้น “มีวัตถุวิเศษชั้นสูงเป็นสิ่งชดเชยเช่นนี้ หวังว่าจะพิสูจน์ความจริงใจของเราได้”

          หวังลู่นิ่งเงียบ เสี่ยวชีนิ่งเงียบ หลิวหลีมองไปที่เด็กสาวและหินตาแมวในมืออย่างไม่เชื่อสายตา นางอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร

          ในเรื่องนี้นั้น แม้แต่คนที่จิตใจหยาบกระด้างและเอาแต่ใจตัวเองก็คงไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้

          หากแขนขวาของฉือโฮ่วได้มาจากขยะไร้ประโยชน์ หินตาแมวนี่ก็คือวัตถุวิเศษล้ำค่าที่ได้มาจากเลือดเนื้อของปรมาจารย์ตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย

          หนำซ้ำด้วยวิธีลับในการเอาลูกตาออกมาและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอัญมณี ดวงตาขวาของนางจึงไม่อาจฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ นอกจากนางจะบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ที่นางจะมีโอกาสเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อีกครั้ง ทว่าจากขั้นสร้างแกนช่วงปลายสู่ขั้นกำเนิดใหม่ไม่ได้มีประตูทางเข้าให้ก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ อีกอย่างเป็นเพราะหลิงเยียนเป็นสัตว์ภูตแต่กำเนิด ความยากลำบากในการบรรลุสู่อีกขั้นของนางนั้นหนักหนากว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นมนุษย์หลายเท่านัก และตอนนี้เมื่อร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป ความยากลำบากของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จนถึงจุดที่ว่านางอาจไม่สามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้อีกแล้วด้วยซ้ำ

          การสูญเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นสำนักระดับสูงก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเพิกเฉยได้ ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่เพียงมีน้อย แต่แต่ละคนก็มีคุณค่าในตัวเอง การทำให้หนึ่งในนั้นต้องเสียโฉมเช่นนี้ มันช่าง…