หลังจากนั้นสักครู่ ฮอนก็ยิ้มแย้มออกมาพร้อมกับกอดนางไว้แน่นและกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนกับที่รยูฮาทำก่อนหน้านี้ เคี้ยวตัวน่ารักนี้ลงไปเลยดีไหม 

 

 

“ทำไมหรือเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“ก็ชอบมากอย่างไรเล่า” 

 

 

“ทำอย่างกับไม่เคยอย่างนั้นแหละ” 

 

 

เสียงหัวเราะสดใสระเบิดออกมาอีกครั้ง ฮอนคิดว่าเสียงนั้นไพเราะยิ่งกว่าการบรรเลงดนตรีใดๆ พลางถูใบหน้ากับเส้นผมสวย และจู่ๆ เขาก็นึกถึงโคมไฟที่เคยแขวนตอนออกไปที่ตลาดเมื่ออดีตขึ้นมา 

 

 

“โคมไฟอันนั้น เจ้าอธิษฐานว่าอะไรหรือ” 

 

 

“ตรัสถึงโคมไฟอะไรหรือเพคะ” 

 

 

หางตาของรยูฮาที่จงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกำลังยิ้มอยู่ ฮอนเกลี่ยแก้มนั้นด้วยปลายนิ้วพลางยิ้มตาม 

 

 

“ข้าอธิษฐานให้เจ้ายิ้มอยู่ข้างๆ ข้าแบบนี้ไปตลอดชีวิต” 

 

 

“เหมือนหม่อมฉันเลย” 

 

 

“จริงหรือ เจ้าเองก็อธิษฐานให้ข้ายิ้มอยู่ข้างๆ เจ้าอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ไม่มีทางเพคะ” 

 

 

จุ๊บๆ รยูฮาคว้าใบหน้าฮอนมาระดมจูบและลุกขึ้นจากเตียง เพราะจวนจะถึงเวลาที่สำรับของว่างจะถูกยกเข้ามาถวายแล้ว จึงต้องสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแม้จะยังไม่เห็นเหล่านางในก็ตาม 

 

 

“แล้วอธิษฐานว่าอย่างไรล่ะ” 

 

 

“ก็ขอเหมือนกับที่ฝ่าบาททรงอธิษฐานไงเพคะ” 

 

 

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่ใช่นี่” 

 

 

รยูฮาหันกลับไปด้านหลังและจัดเสื้อคลุมมังกรทองที่ตนเองเป็นคนทำให้ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อย นางจัดทรงผมของฮอนที่ปล่อยร่างกายไปตามมือของนาง และใช้มือรีดรอยยับต่างๆ หลังจากนั้นจึงนั่งลงตรงหน้ากคันฉ่องส่องหน้าพลางพึมพำออกมาเบาๆ 

 

 

“ข้าขอให้ข้าได้ยิ้มอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปต่างหากล่ะเพคะ” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“เข้ามาสิเพคะฝ่าบาท ทำไมพระมเหสีไม่เสด็จมาด้วยกันล่ะ” 

 

 

“กระหม่อมไม่ได้พานางมาเพื่อที่จะใช้เวลากับเสด็จย่าได้อย่างเต็มที่ไงพ่ะย่ะค่ะ ทรงไม่ชอบหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ริมฝีปากบางของหญิงชราวาดเส้นโค้งงดงามจากการหยอกล้อของฮอน  

 

 

“ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใดอยู่ใช่หรือไม่เพคะ” 

 

 

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ย่าคนนี้เป็นคนเลี้ยงดูและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับฝ่าบาทนะเพคะ” 

 

 

ฮอนเก็บรอยยิ้มขี้เล่นไป ภาพของเขาซึ่งเปลี่ยนจากหลานชายคนสุดท้ายไปเป็นพระราชาวัยหนุ่มทำให้นึกถึงบุตรชายในสมัยที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานขึ้นมา พระองค์จึงต้องกลืนความโศกเศร้าที่พลุ่งพล่านขึ้นมาลงไปอีกครั้ง 

 

 

“กระหม่อมตั้งใจจะคืนตำแหน่งให้เสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ แต่การคัดค้านของเหล่าเสนาบดีรุนแรงเป็นอย่างมาก จึงทำให้สำเร็จลุล่วงได้ยากพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ทรงตั้งใจจะมาขอยืมพลังจากย่าคนนี้อย่างนั้นใช่หรือไม่เพคะ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานทายาทก็จะลืมตาดูโลกแล้ว เราควรจะสะสางเรื่องนี้เสียก่อนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมเองก็ไม่อยากทำให้เสด็จย่าทรงเป็นห่วงแต่ว่า…” 

 

 

“ฝ่าบาททำได้ดีแล้วเพคะ” 

 

 

เสียงอันอ่อนโยนขัดคำพูดของฮอนซึ่งกำลังจะแสดงความขอโทษ 

 

 

“ย่าว่าจะเรียกตัวเหล่าเสนาบดีให้เข้ามาก่อนตั้งนานแล้ว แต่เพราะว่าฝ่าบาททรงไม่ได้ทูลบอกจึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้” 

 

 

ในวันที่มีการยึดราชบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เข้ามาขวางข้างหน้าฮอนพร้อมกับบอกว่าจะไม่มอบตรากษัตริย์ให้หากทำร้ายหลานของข้า แต่ถึงกระนั้นฮอนก็ยังเอายาพิษให้ชานและเขาก็เสียชีวิตไป เมื่อทำเช่นนั้นแล้วจะยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลืออีกได้อย่างไร 

 

 

“ทรงไม่เกลียดชังกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

พระองค์ยื่นมือซึ่งเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นราวกับเปลือกไม้ไปหาฮอน พอได้ลองจับมือนั้นเบาๆ ฮอนจึงสัมผัสได้ถึงความแก่ชราของเสด็จย่าอย่างชัดเจน 

 

 

“โอรสของหม่อมฉันทรงขึ้นครองราชย์เมื่ออายุได้สิบสามปี หม่อมฉันเข้าใจดีว่าฝ่าบาทต้องทำเช่นนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าหัวใจของฝ่าบาทเองก็แหลกสลายเฉกเช่นเดียวกับหัวใจของย่าคนนี้” 

 

 

“กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า” 

 

 

มืออันอบอุ่นของพระองค์ลูบหลังมือของฮอนราวกับเข้าใจทุกอย่าง 

 

 

“ในสมัยยังเด็กองค์ชายทั้งสองมักจะจับมือกันมาที่วังจางชุน และย่าคนนี้ก็มักจะให้ทั้งคู่นั่งบนตักพร้อมกับเล่านิทานให้ฟังเสมอ พอเข้าฤดูหนาวก็ปิ้งเกาลัดในเตาไฟด้วยกัน และพอเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็ไปเด็ดลูกพลับที่สวน ส่วนในฤดูร้อนแผ่นน้ำแข็งของวังจางชุนก็จะละลายเป็นที่แรกด้วย ดังนั้นองค์ชายทั้งสองจึงชอบมาขอน้ำหวานทุกวี่ทุกวัน” 

 

 

วันในแต่ละวันที่คล้ายกับภาพวาดก่อนที่พระสนมยอนจะสิ้นพระชนม์ เมื่อความทรงจำผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขามักจะขอให้มันหายไปอีกครั้งแต่ตอนนี้กลับต่างออกไป เขารู้สึกดีใจที่ยังสามารถขุดความทรงจำเหล่านั้นขึ้นมาได้ราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดไปเมื่อวาน 

 

 

“พวกเราสองคนตั้งใจจะทำช่อดอกไม้เพื่อถวายให้เสด็จย่า จึงทำให้สวนดอกไม้ที่เสด็จแม่ทรงหวนแหนพังหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ทรงไม่ทราบใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ทำไมจะไม่รู้เล่า หม่อมฉันรู้ตั้งแต่ตอนที่องค์ชายทั้งสองคนตัวเปื้อนเลอะเทอะพร้อมกับหอบดอกไม้มาให้แล้ว ดอกไม้นั้นคือดอกไม้ที่พระสนมยอนปลูกขึ้นมาจากเมล็ดที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ด้วยความทุ่มเทยิ่งกว่าใคร แต่ดอกไม้ถูกเด็ดออกมาแล้วจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากต้องปลอบใจหลานชายคนสุดท้องที่ร้องไห้งอแงน่ะสิ” 

 

 

วันนั้นคือวันที่ถูกเสด็จแม่ซึ่งมักจะรักและเอ็นดูเขาอยู่เสมอตีก้นเป็นครั้งแรก หยดน้ำตาที่ผสานด้วยรอยยิ้มคลอบนดวงตาของฮอนซึ่งกำลังนึกย้อนถึงวันนั้น ก่อนจะร่วงลงมา ชานตายแล้ว ความจริงนั้นทิ่มแทงใจของเขาอย่างรุนแรง เมื่ออยู่ตรงหน้าเสด็จย่าผู้ซึ่งเขาสามารถแบ่งปันความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายด้วยได้ 

 

 

“ชานน่ะ คือดอกไม้ดอกนั้น ดอกไม้ที่ถูกหักไปแล้วจะทำอย่างไรได้อีก พอเห็นหลานคนเล็กร้องไห้แบบนี้ สงสัยจะต้องทำให้สบายใจขึ้นหน่อยแล้วสินะ” 

 

 

มืออันอ่อนโยนตบหลังของฮอนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะและซ่อนใบหน้าเอาไว้เบาๆ หลานคนเล็กที่ตัวเล็กน่ารักในตอนนั้นเผลอแป๊บเดียวก็มีแผ่นหลังที่กว้างถึงขนาดนี้แล้ว มือของเสด็จย่าตบแผ่นหลังเขาเบาๆ เป็นเวลายาวนาน แต่พระราชาที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพระองค์ก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ดี เหมือนกับตอนที่มาหาเสด็จย่าพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก ทั้งที่ร้องไห้หลังจากถูกเสด็จแม่ตีก้นมาก็ตาม 

 

 

“หม่อมฉันจะแจ้งพวกเสนาบดีให้มาที่วังจางชุนทันทีที่พวกเขาเข้าวังมา ยามใดที่ฝ่าบาทรู้สึกว่ามีอำนาจไม่เพียงพอ เสด็จมาหาย่าคนนี้ได้เสมอ แม้หม่อมฉันจะเป็นเพียงหญิงชราหลังบ้าน แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง” 

 

 

เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะสามารถทำได้เท่าที่ต้องการ แต่พระองค์จะไม่แทรกแซงเรื่องกิจการบ้านเมืองโดยไม่จำเป็น การที่ผู้อาวุโสเรียกตัวเหล่าเสนาบดีตั้งแต่เช้าตรู่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น เหล่าเสนาบดีซึ่งมีท่านมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าต่างก็ค่อยๆ ทยอยมารวมตัวกันที่วังจางชุน 

 

 

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระพันปี” 

 

 

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระพันปี!” 

 

 

ความสง่างามซึ่งแตกต่างกับความสง่างามของฮอนซึ่งยังอ่อนเยาว์ปกคลุมไปทั่วร่างที่เล็กและชรา ก่อนจะทอดสายตามองเหล่าเสนาบดี หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าทุกคนที่มีอำนาจในการเสนอมารวมตัวกันครบแล้ว พระพันปีจึงเคาะโต๊ะสองทีเพื่อจัดการความวุ่นวายให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา 

 

 

“ขอบใจทุกท่านมากที่มารวมตัวกันเช่นนี้ ข้ารู้เป็นอย่างดีว่าพวกท่านยุ่ง เพราะฉะนั้นข้าจะไม่พูดอะไรยืดยาว” 

 

 

สายตาของพระพันปีพุ่งตรงไปยังท่านมหาเสนาบดีซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าพระองค์พอดีก่อนจะลดสายตาลง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ก้าวออกมาและคงจะทำเช่นนั้นต่อไป ช่างเป็นคนที่หนักแน่นทีเดียว 

 

 

“ข้าจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชายผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว” 

 

 

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระพันปี! 

 

 

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ” 

 

 

“แม้จะเป็นสายเลือดของราชวงศ์ แต่เขาเป็นผู้วางแผนก่อกบฎนะพ่ะย่ะค่ะ เราจะสามารถฝังคนแบบนั้นไว้ที่สุสานของราชวงศ์ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“…สุสานของราชวงศ์รึ” 

 

 

พระพันปีจิ๊ปากเบาๆ ราวกับไม่พอใจ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคืนตำแหน่งให้แก่คนตาย แต่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายหลุมศพ ให้ไว้ที่นั่นอย่างเดิม”  

 

 

“พระพันปี!” 

 

 

“บังอาจขึ้นเสียงกับข้าได้อย่างไร!”