ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

••••••••••••••••••••

**บทที่****259:**ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน

ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่หลายร้อยลี้ มีเพียงสามคนที่อยู่ตรงนี้ มันทำสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกที่กว้างเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นซ่งจงจึงตัดสินใจให้มันไม่เสียเปล่า

เมื่อซูหยู่และซูหยุนได้ยินแผนการของซ่งจง ทั้งสองเสนอความคิดให้กับเขาว่าให้จัดสรรพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ในการวางค่ายกลขนาดใหญ่ ถ้าหากซ่งจงได้พบกับคนที่สามารถเอาชนะเขาได้ในอนาคต เขาสามารถใช้ตรงนี้เพื่อจัดการกับศัตรูได้

ซ่งจงรู้สึกตื่นเต้นกับแผนนี้อย่างมากพร้อมตอบรับทันที เขาขอให้ทั้งคู่ทำมันโดยเร็วที่สุดโดยให้หญิงงามทั้งเก้าช่วยเหลือ หลังจากทำงานหนักไม่กี่ปีถัดมาในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็สามารถสร้างค่ายกลเขาวงกตแห่งธาตุทั้งห้า

ธงของค่ายกลขนาดใหญ่นั้นถูกสร้างโดยหญิงงามทั้งเก้า ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับจินตันและวัสดุมากมายที่ยอดเยี่ยมภายในมิติลึกลับ ค่ายกลนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ วัสดุถูกใช้ไปจำนวนมากและพลังของพวกนางก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามความพยายามเหล่านี้ย่อมมีรางวัล พลังของค่ายกลเหล่านี้นั้นมีพลังรัศมีกว้างไกลกว่าห้าร้อยลี้ ถ้าหากตาเฒ่าเฟิงเข้ามาโดยไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาปีศาจเข้าสู่ร่างกาย เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน! ต่อจากนี้ไปซ่งจงจะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง

อย่างไรก็ตาม ไม่ง่ายเลยที่จะใช้งานมัน ถ้าหากเขายอมให้ใครสักคนเข้ามา แต่ค่ายกลไม่สามารถจับไว้ได้ ฐานลับของซ่งจงจะถูกทำลายลงอย่างแน่นอนและเขาไม่ต้องการเช่นนั้น

ในกรณีเช่นนี้ซ่งจงที่ใช้มิติลึกลับในการฝึกฝนและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเองมาตั้งแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ในตอนนี้เขาคือผู้ฝึกตนระดับกลางอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เขายังมีภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เรือมังกรทองคำและระฆังทองแดงอยู่ในครอบครอง เขาสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้แม้ว่าจะอยู่ในระดับจินตันขั้นต้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่ซ่งจงจะมีความสุข เขายังมีความท้าทายอื่นที่ต้องการจะผ่านพ้นไปให้ได้นั่นก็คือทัณฑ์เมฆา! หลังจากที่เขาเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ เขาได้รับการทดสอบไปแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อทัณฑ์เมฆาปรากฏขึ้น แน่นอนว่าในอนาคตมันจะกลับมาอีกครั้ง ถ้าหากเข้าสู่ระดับหยวนหยินต้องพบเจอกับสายฟ้า เขาจะต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้อีกครั้ง ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างมาก ซ่งจงกล่าวอำลากับหญิงสาวทั้งสองและออกจากมิติลึกลับ ในขณะที่เขาออกมาด้านนอก เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ทัณฑ์เมฆากำลังคืบคลานเข้ามา ความรู้สึกนี้เขาจดจำได้ดีเมื่อครั้งล่าสุดที่ได้พบกับมัน

ช่วงเวลาที่เขารู้สึกไม่ดี เขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถหลบหนีจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้เลย อย่างไรก็ตามซ่งจงนั้นวางระฆังทองแดงไว้ด้านนอกอย่างรอบคอบ เขาคิดจะใช้สมบัตินี้เพื่อป้องกันตนเองจากทัณฑ์เมฆา สถานการณ์ตอนนี้หลีกเลี่ยงการเรียกสมบัติออกมาใช้ไม่ได้เมื่อทัณฑ์เมฆาได้ปรากฏขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ซ่งจงกำลังคิดว่าจะใช้ระฆังทองแดงเพื่อปกป้องตนเองจากภัยพิบัติ สิ่งที่เขาไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ระฆังทองแดงไม่รอให้ซ่งจงออกคำสั่งใดพร้อมกับสลายตนเองกลายเป็นแสงสีทองและหายไปทันที เขาใช้จิตวิญญาณสัมผัสมันทันทีและพบว่ามันกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม ในตอนนี้ซ่งจงเข้าสู่ความวิตกกังวลอย่างสมบูรณ์ เขาลองใช้ทุกวิธีเพื่อเรียกมันออกมาอีกครั้งแต่ทุกอย่างไร้ประโยชน์ มิติลึกลับเพิกเฉยต่อคำสั่งของเขาโดยสมบูรณ์!

ซ่งจงรู้สึกท้อแท้อย่างมาก เขาต้องการที่จะเข้ามิติลึกลับเพื่อไปจัดการกับระฆังทองแดง แต่ในตอนนี้มิติลึกลับไม่ยอมให้เขากลับเข้าไปอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็สูญเปล่า ในตอนนี้ซ่งจงผู้น่าสงสารได้ถูกทอดทิ้งอีกครั้งหนึ่ง เขาจะต้องเผชิญกับความโหดร้ายนี้ด้วยร่างกายของตนเองเท่านั้น ครั้งสุดท้ายที่เขาพบเจอมันเป็นระดับต่ำที่สุด แต่ในตอนนี้มันต้องเป็นระดับของผู้ฝึกตนระดับจินตัน ซึ่งรุนแรงกว่าเดิมสิบเท่า เพียงแค่คิดถึงความรุนแรงของมันที่จะระเบิดทุกสิ่งในรัศมีหนึ่งพันฟุตให้เป็นเถ้าถ่านเขาก็แทบจะยืนไม่ไหว

ในตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดได้ดำเนินการไปแล้ว ซ่งจงรู้สึกทุกข์ใจยิ่ง เขาปล่อยเสียงหัวเราะอย่างขื่นขมออกมาพร้อมเดินไปอย่างไร้หนทาง แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหันหลังกลับได้ เอ๋าเทียนเดินออกมาอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่อึดใจ เขายืนอยู่ตรงหน้าของซ่งจง ในขณะที่เขาดูชรามากแต่ความไวของเขาไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย การปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้ซ่งจงตกใจอย่างมาก

เมื่อเอ๋าเทียนปรากฏตัวต่อหน้าซ่งจง เขามองซ่งจงเพียงครั้งเดียวก็รับรู้ได้ว่าซ่งจงประสบความสำเร็จแล้ว เขาอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาท ท่านเข้าสู่ขั้นที่ห้าแล้ว!”

“อย่าเพิ่งเร่งรีบที่จะแสดงความยินดีกับข้า!” ซ่งจงตอบกลับอย่างขื่นขม “บางทีนี่อาจเป็นเวลาตายของข้า!”

“ว่าอะไรกัน?” เมื่อเอ๋าเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจและถามอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรกับฝ่าบาทงั้นหรือ? ทำไมท่านจึงกล่าวเช่นนั้น?”

“เฮ้อ มันยากที่จะอธิบาย!” ซ่งจงกล่าวพร้อมกับรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกล่าวว่า “ให้ข้ากล่าวตามตรง เหตุผลที่ข้าสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่ข้าใช้ฝึกฝน! ในเวลานี้ข้าไม่เคยคิดว่าผลกระทบของมันจะมากมายเช่นนี้ ถ้าหากข้ารู้…”

ในขณะที่เขากล่าวออกมา เขาหยุดทันที แม้ว่าเขาจะรู้ว่าปฐมกาลแห่งความโกลาหลนั้นเป็นต้นเหตุให้เรียกทัณฑ์เมฆาออกมาแต่เขาก็ยังอยากที่จะฝึกฝนมันอยู่ดี ในเวลานี้เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกอะไรได้อีกแล้ว

เอ๋าเทียนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเดินตามซ่งจงออกมาพร้อมกล่าวอย่างเป็นห่วง “ฝ่าบาท ผลกระทบของมันคืออะไรงั้นหรือ? ทำไมท่านจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะฝึกฝนมันได้?”

“ไม่ฝึกฝนมัน?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาเบา “ข้าคงทนไม่ไหว เจ้าลองมองขึ้นไปบนฟ้าสิ!”

ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงและเอ๋าเทียนอยู่ด้านนอก หลังจากได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้น เอ๋าเทียนมองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเห็นกลุ่มเมฆสีดำและลมที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นมีสายฟ้าออกมาจากเมฆเป็นระยะ เมื่อเห็นเช่นนั้น เขากล่าวอย่างตกใจ “นี่เรื่องอะไร? ทำไมท้องฟ้าจึงเปลี่ยนไป? มันสดใสอยู่ไม่ใช่หรือในตอนแรก? อย่างไรก็ตามนี่คงเป็นเพราะสภาพอากาศในทะเลตะวันออกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างขื่นขม “เจ้าจะบอกว่าไม่เคยเห็นเมฆเหล่านี้งั้นหรือ? หรือเจ้าจะบอกว่านี่คือเมฆฝน?”

เมื่อเอ๋าเทียนได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้นไปพร้อมกับขมวดคิ้ว “หลังจากที่ฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น ข้าก็คิดอยู่ว่ามันแปลก บางทีเมฆนั้นอาจจะไม่มีอะไร แต่ดูคล้ายกับว่ามันจะมารวมกันอยู่ตรงกลางและมีคลื่นพายุอยู่ด้านใน นอกจากนี้มันดูคล้ายจะถล่มลงมาบนหัวของพวกเรา!”

“ไม่ใช่หัวของเจ้า แต่เป็นหัวของข้าเอง!” ซ่งจงกล่าวอย่างขื่นขม “มันคือทัณฑ์เมฆา วังวนที่เจ้าเห็นคือภัยพิบัติที่ข้าต้องประสบ!”

“ท่านว่าอะไร?” เมื่อเอ๋าเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที “เป็นไปได้อย่างไร? ท่านเพิ่งขั้นที่ห้าเท่านั้น! ทัณฑ์เมฆาไม่ได้ออกมาเมื่อถึงขั้นที่เจ็ดงั้นหรือ?”

“ขั้นที่ห้า?” ซ่งจงที่ได้ยินเช่นนั้น รู้สึกหดหู่ทันที “ข้าจะบอกความจริงให้ ข้านั้นพบกับมันมาแล้วเมื่อครั้งที่ข้าเข้าสู่ขั้นที่สี่ มันทุบตีข้าจนไฟไหม้ทั่วไปทั้งร่างกาย!”

“ทัณฑ์เมฆาตั้งแต่ขั้นที่สี่?” เอ๋าเทียนอุทานออกมา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เคล็ดวิชาที่ท่านฝึกฝนย่อมต้องประหลาดอย่างมาก มันจะต้องเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ซึ่งเป็นที่ดึงดูดของทัณฑ์เมฆา อย่างไรก็ตามท่านได้ผ่านพ้นมันมาได้ในขั้นที่สี่ สวรรค์ ท่านแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน? อีกทั้งยังต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ในขณะอยู่ขั้นที่สี่ ปัญหาเหล่านี้ดูไม่มีภัยกับท่านเลย!”

“แน่นอนว่าเคล็ดวิชาของข้านั้นเป็นหนึ่งในเหตุผล ดังนั้นแม้ว่าข้าจะถูกฟ้าผ่า ข้าก็ไม่อาจล้มเลิกที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้!” ซ่งจงส่ายหัวพร้อมกล่าวต่อ “เอาล่ะ มีเกาะที่อยู่ใกล้เคียงบ้างหรือไม่? ข้าไม่อยากพบเจอกับภัยพิบัติที่นี่ ข้าไม่ต้องการที่จะทำลายวังวารีบริสุทธิ์นี้!”

“ตามทิศทางนั้นไปพันลี้จะพบเกาะที่ไม่มีใครอยู่ เหมาะที่จะได้เผชิญหน้ากับภัยพิบัติ” เอ๋าเทียนชี้ออกไปพร้อมกล่าวและทำความเคารพซ่งจง “ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะผ่านพ้นมันไปได้!”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น! ถ้าหากข้าไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมา วังวารีบริสุทธิ์นี้เป็นของเจ้า นอกจากนั้นข้าฝากขอโทษไปถึงจักรพรรดินีด้วย!” เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาไม่รอให้เอ๋าเทียนตอบอะไรพร้อมกับบินออกไปทันที เมื่อเห็นซ่งจงออกไป ดวงตาของเอ๋าเทียนปรากฏความซับซ้อนออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะลูบหนวดของตนเองพร้อมกับพึมพำ “ดูเหมือนว่าเวลาของข้าจะมาถึงแล้ว! เด็กคนนี้นั้นพบเจอกับภัยพิบัติตั้งแต่อยู่ขั้นที่สี่ แน่นอนว่าในอนาคตเขาจะประสบความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัด ถ้าหากเขารอดชีวิตกลับมา ข้าจะอุทิศชีวิตที่เหลือให้กับเขาอย่างแน่นอน!”

เพราะดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้านั้นอยู่ในมิติลึกลับ ซ่งจงทำได้แค่บินไปเองเท่านั้น อย่างไรก็ตามความเร็วของเขาก็ไม่ได้ช้ามากนัก แต่เขาไม่อาจทำใจได้ จึงได้แต่ดำดิ่งลงในมหาสมุทรเพื่อไปทางใต้น้ำแทน เขาใช้ประโยชน์จากสายเลือดของเต่าดำและคาถาวารี ภายในเวลาสั้น ๆ เขาจึงถึงเกาะเป้าหมายอย่างรวดเร็ว