ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
บทที่****260: ทัณฑ์เมฆาอีกครั้ง
เมื่อขึ้นมาสู่เกาะ ซ่งจงยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับจ้องมองที่ทันฑ์เมฆาอย่างหดหู่ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตนเอง “อีกครั้งแล้วสินะทันฑ์เมฆาธาตุทั้งห้า ทำไมชีวิตข้าต้องมาพบกับจุดจบแบบนี้?”
ในขณะที่ซ่งจงกำลังบ่นถึงความโชคร้ายของตัวเอง ทัณฑ์เมฆานั้นดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว ทันใดนั้นสายฟ้าทั้งห้าสีพุ่งออกมาจากวังวนตรงกลางพายุหมุนราวกับพรจากสวรรค์ หลังจากนั้นได้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น บนเกาะร้างปรากฏลูกไฟห้าสีพุ่งขึ้นมาอย่างสวยงาม ก้อนเมฆที่อยู่ด้านบนของเกาะปกคลุมทุกอย่างโดยสมบูรณ์
สำหรับซ่งจงเขารู้สึกราวกับว่าถูกภูเขาลูกใหญ่ไหลลงมาทับ แม้แต่ลายเส้นสายธารโลหิตยังถูกขยี้อย่างรวดเร็วโดยไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายของเขาสั่นไหวในขณะที่รับลูกบอลสายฟ้าทั้งห้าโดยตรง ลมปราณของเขาปั่นป่วนอย่างรุนแรงอยู่ภายใน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกว่าการตายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวเท่า
ในเวลานั้นความทรงจำภายในใจของซ่งจงได้ผุดขึ้นมา เขาในอดีตเดินเคียงข้างกับครอบครัว บิดาของเขาสง่างาม มารดาของเขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก ในเวลานั้นเขาไม่ต้องกังวลอะไรและได้รับอิสระอย่างมากที่จะมีความสุข อย่างไรก็ตามไม่ว่าทั้งหมดจะพยายามอย่างหนักมากเพียงใด ทั้งหมดได้กระจายหายไปเหมือนหมอกและปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง!
แม้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เขาค้นพบว่านางคือใครอย่างรวดเร็ว ฮัวเฉียนหวู่! ผู้บงการที่แท้จริง นางเป็นคนอยู่เบื้องหลังคนที่ลอบสังหารครอบครัวของเขา! นางร่วมมือกับตาเฒ่าเฟิงจากสำนักพันปีศาจ ทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นในภาพความทรงจำของซ่งจง พวกมันส่งเสียงหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง!
ศัตรูที่เขามองเห็นนั้น เป็นเหล่าคนที่เขาไม่อาจอยู่ร่วมโลกด้วยได้ ซ่งจงรู้สึกว่าเขากำลังเสพติดการแก้แค้น ทันใดนั้นสายฟ้าทั้งห้าที่ผ่าลงมาราวกับถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งความแค้นที่สุมเต็มอก
“อ๊า!” ซ่งจงปล่อยเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายที่ใกล้จะตายพร้อมตะโกนว่า “สวรรค์บัดซบ เจ้าไม่สามารถหยุดข้าได้! ข้าต้องการที่จะพบกับมัน นังเพศยาฮัวเฉียนหวู่ แค้นนี้ข้าจะต้องชำระให้ได้!”
“โฮ่ะๆๆ!” นั่นคือคำตอบเดียวที่ซ่งจงได้รับจากทัณฑ์เมฆา เกิดเสียงดังกึกก้องของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ พวกมันรวมตัวกันเป็นเกลียวอีกครั้งพร้อมกับฟาดลงมาจากฟากฟ้าราวกับดาวตก ทุกครั้งที่มันลงมาสู่พื้นดิน จะเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เพียงแค่การระเบิดไม่กี่ครั้ง เกาะแห่งนี้แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
อย่างไรก็ตาม จิตชั่วร้ายของซ่งจงนั้นได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว ท่าทีของเขาในตอนนี้ไม่สนใจทัณฑ์เมฆาโดยสมบูร์ณ เขายืนขึ้นพร้อมกับสาปแช่งไม่หยุดปาก “เข้ามา! โจมตีข้าได้เลย! ซ่งจงผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น! คนอย่างข้าไม่มีวันถูกทุบตีหรือถูกทำลายได้ เจ้าไม่สามารถสังหารข้าได้!!”
ในตอนนี้ซ่งจงกลายเป็นก้อนหินที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ แม้ว่าจะเกิดพายุลมแรง ซ่งจงก็ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขายืนอย่างมั่นคงอยู่ท่ามกลางความรุนแรงนี้
แน่นอนว่าซ่งจงนั้นโกรธจัดลามไปถึงทัณฑ์เมฆาแล้ว พายุหมุนใจกลางทัณฑ์เมฆาเปิดกว้างออกถึงขั้นสุดท้าย พร้อมกับปลดปล่อยสายฟ้าออกมารุนแรงมากกว่าเดิม สายฟ้ามากมายถาโถมลงมานับไม่ถ้วน เหล่าเกาะร้างบริเวณข้างเคียงยังไม่ได้รับการยกเว้น พวกมันกลายเป็นฝุ่นผงทันที น้ำทะเลที่อยู่รอบๆสร้างคลื่นสูงราวสิบฟุตออกมาทันทีด้วยแรงปะทะที่เกิดขึ้น
แม้ว่าในตอนนี้ซ่งจงจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันอย่างมาก แต่เขาก็ยังดื้อดึงไม่ยอมล้มลง สุดท้ายแล้วสายฟ้าที่แข็งแกร่งต้องพ่ายแพ้ให้กับความมุ่งมั่นของเขาหรือว่านี่อาจจะเป็นสถานการณ์ที่ผิดแปลกเกินไปเพราะมันได้ใช้ความรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้นทดสอบ หลังจากภัยพิบัติได้เริ่มต้นขึ้นในตอนนี้ผ่านไปสี่ชั่วโมง ท้องฟ้าคลี่คลายกลับเป็นสดใสเช่นเดิม
ในตอนนี้เกาะที่มีรัศมีกว้างกว่าสิบลี้และสูงกว่าพันเมตรได้หายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงพื้นผิวเล็กๆเท่ากับเตียงๆหนึ่งและซ่งจงยืนอยู่บนพื้นผิวนั้น
สภาพของซ่งจงในตอนนี้ดูไม่เหมือนกับมนุษย์อีกต่อไป ร่างกายเขาเต็มไปด้วยฝุ่นควันและใบไม้แห้ง ถ้าหากไม่ได้มองอย่างถี่ถ้วนซ่งจงเป็นได้เพียงหินก้อนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่สติของเขาได้เลือนลางอย่างมาก ซ่งจงยังอยู่ในท่ายืนยืดอกอย่างมั่นคงเช่นเดิม
หลังจากทัณฑ์เมฆาได้หายไป เอ๋าเทียนรีบบินมาดูอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาไม่ได้สังเกตสิ่งต่างๆก็คงจะดีกว่านี้ แต่ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว เขาตกใจและพบว่าทั้งเกาะได้หายไป ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของซ่งจง เอ๋าเทียนหดหู่พร้อมกล่าวอย่างผิดหวัง “เป็นไปได้อย่างไรกันฝ่าบาทน้อยผู้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ จะตายตกไปในเหตุการณ์เช่นนี้งั้นหรือ? ข้าว่าไม่ถูกต้อง อีกทั้งเขายังมีสายเลือดแห่งจักรพรรดิซึ่งมีความบริสุทธิ์อย่างมาก ชีวิตของเขาไม่ควรจบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้!”
เมื่อความหวังเล็กๆได้ผุดขึ้นมา เอ๋าเทียนที่ดำดิ่งอยู่ใต้ทะเลใช้สัมผัสวิญญาณที่แข็งแกร่งของตนเองตรวจสอบทันที สุดท้ายแล้วเขาพบว่าซ่งจงนั้นหมดสติและจมอยู่ใต้ท้องทะเล
เมื่อเอ๋าเทียนมองเห็นซ่งจงที่ร่างกายไหม้เกรียม เขาพุ่งตัวออกจากกระดองของตนเองอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกเขาคิดว่าซ่งจงนั้นเป็นหายสาบสูญไปแล้ว แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เขาได้ค้นพบซ่งจงและพบว่าปราณจิตวิญญาณของซ่งจงที่โกลาหลกำลังปกป้องเขาไว้อยู่ใต้ก้นทะเล อีกทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ของทะเลกำลังฟื้นฟูเขาอย่างต่อเนื่อง
เอ๋าเทียนนั้นมีชีวิตมายาวนานหลายพันปี เขาไม่ใช่เต่าธรรมดาแต่เขานั้นสะสมประสบการณ์มากมายเอาไว้ ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวเขารู้ได้ทันทีว่าซ่งจงนั้นเข้าสู่สภาวะลึกลับแล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังจัดการกับพลังของสายฟ้าทั้งหมดอยู่ ดังนั้นการทิ้งเขาไว้คนเดียวน่าจะดีที่สุดในตอนนี้
เมื่อสรุปได้เช่นนี้ เอ๋าเทียนลงมือทันที เขาหยิบเครื่องรางออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับวางยันต์ไว้ในจุดต่างๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในรัศมีหนึ่งพันฟุต ซ่งจงถูกปกป้องโดยสมบูรณ์ แต่เอ๋าเทียนกลับรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ เขาหยิบสมบัติวิเศษออกมาเพื่อเพิ่มการป้องกันอีกหนึ่งชั้น หลังจากที่ทุกอย่างถูกวางไว้เรียบร้อย เอ๋าเทียนนั่งอยู่ด้านนอกทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้กับซ่งจงอีกด้วย
เอ๋าเทียนนั่งอยู่ตรงนี้เพื่อปกป้องซ่งจงมานานกว่าครึ่งเดือน ในวันนี้เอ๋าเทียนรู้สึกถึงพลังที่ประหลาด เขาหวาดกลัวจนต้องเปิดตาขึ้นมาเพื่อสังเกตการณ์ทันที
วินาทีต่อมาน้ำที่ห่อหุ้มซ่งจงไว้ได้ระเบิดออกและซ่งจงกระโดดขึ้นยืน ในเวลานั้นเขาเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนออกมา “อ๊า!!!!”
ในตอนนี้ร่างกายของซ่งจงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพร้อมกับออร่าเปล่งประกายออกมา หลังจากที่ดูดซับพลังของทัณฑ์เมฆา จิตสังหารของเขาได้ถูกยกระดับขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในครั้งนี้ได้ แต่ในตอนนี้พลังของเขานั้นเข้าใกล้ระดับจินตันขั้นกลางแล้ว!
หลังจากระบายความรู้สึกภายในใจออกไป ซ่งจงหันหน้าไปหาเอ๋าเทียน “อาวุโสเอ๋า ข้าขอขอบคุณท่านยิ่งนักที่ช่วยคุ้มครองข้าในเวลาเช่นนี้!” เมื่อกล่าวจบ ซ่งจงคำนับให้เขาทันทีเพื่อแสดงความขอบคุณ
เอ๋าเทียนรีบปฏิเสธ “ข้าไม่กล้ารับคำขอบคุณนี้ ฝ่าบาทน้อยนี่เป็นสิ่งที่ทาสเช่นข้าควรกระทำ ข้าไม่สมควรได้รับคำขอบคุณ!”
“ฮ่าฮ่า จำเป็นต้องขอบคุณ!” ซ่งจงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวต่อ “อาวุโสเอ๋า มา มานี่เถิด ลองเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของเรากัน ข้าอยากรู้ว่าข้ากับเจ้าใครจะไปถึงวังวารีบริสุทธิ์ก่อนกัน!”
เมื่อเขากล่าวจบ เขาไม่รอให้เอ๋าเทียนตอบกลับ ซ่งจงกระโดดและเปิดการใช้งานสายเลือดเต่าดำของตนเองทันที เขาพุ่งไปที่วังวารีบริสุทธิ์ทันที ซึ่งความเร็วของเขานั้นราวกับสายฟ้าฟาด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาไม่อยากทำลายความอารมณ์ดีของซ่งจง เขาทำได้เพียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับเก็บสมบัติวิเศษที่มีและเริ่มไล่ตามทันที
ด้วยระยะทางเพียงสองพันลี้นั้นไม่อาจตัดสินสิ่งใดได้ ในเวลาเพียงครู่เดียว ซ่งจงกระโดดขึ้นจากน้ำและพุ่งเข้าสู่เกาะทันที
เอ๋าเทียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “ฝ่าบาทนั้นแข็งแกร่งมาก ชายชราผู้นี้ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ ฮ่าฮ่า!”
“เหอะ เจ้ายอมแพ้ข้าต่างหาก!” เมื่อได้ยินเอ๋าเทียนกล่าวเช่นนั้น ซ่งจงใบหน้าบิดเบี้ยว “แน่นอนว่าเจ้ารวดเร็วกว่าข้า เพียงแต่เจ้ายอมที่จะหลีกทางให้ข้าเท่านั้น อย่าบอกนะว่าข้างี่เง่าจนไม่สามารถแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้?”
“เรื่องนั้น…” เอ๋าเทียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาหมดคำพูดโดยสมบูรณ์ ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่เขายอมพ่ายแพ้ให้กับซ่งจง เขานั้นอยู่ในระดับหกขั้นสูงสุด ซึ่งแปลว่าเขาไม่อาจพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันธรรมดาและไม่ได้ใช้ดาบบินช่วยเหลือได้ ซึ่งนั่นคือสถานะของเขาในตอนนี้!
เอ๋าเทียนนั้นไม่รู้จะกล่าวอะไร เขาควรจะยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งกว่าซ่งจงและยอมพ่ายแพ้โดยตั้งใจ แต่นี่ไม่ใช่วิถีของทาสรับใช้ที่ควรกระทำ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากเขาไม่ยอมรับและปล่อยผ่านไป นั่นเท่ากับว่าเขากล่าวหาว่าซ่งจงนั้นโง่เขลา ในตอนนี้เอ๋าเทียนอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง
ซ่งจงนั้นไม่ต้องการสร้างความลำบากให้กับเอ๋าเทียน ซึ่งในตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าเอ๋าเทียนกำลังลำบากใจอย่างมาก เขาทำได้เพียงหัวเราะและกล่าวว่า “เอาล่ะอาวุโสเอ๋า ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นได้โปรดอย่าจริงจังเลย!”
เมื่อเห็นว่าซ่งจงไม่ได้ใส่ใจอะไร เอ๋าเทียนแอบถอนหายใจยาว เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณฝ่าบาทน้อยมากที่ไม่ติดใจเอาเรื่องข้า!”
“ไม่เป็นไร!” ในตอนนี้เขาเดินมาถึงสถานที่ที่เป็นอุปกรณ์วิเศษต่างๆที่พัง ซึ่งมันมีมากมายเท่ากับภูเขาสูง ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวทั้งหมดเข้าไปอยู่ในมิติลึกลับของซ่งจงทันที ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เอ๋าเทียนเก็บสะสมมานานหลายปี จากนั้นเขาสะบัดมืออีกครั้งเพื่อนำหินจิตวิญญาณออกมาแทนที่ภูเขาลูกเมื่อกี้อย่างใจกว้าง
“อาวุโสเอ๋า ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ หลังจากที่ข้าเก็บตัวอยู่เนิ่นนานในตอนนี้ข้ารู้สึกว่าสนิมเริ่มเกาะกินร่างกายแล้ว ข้าตั้งใจว่าจะออกไปท่องเที่ยวสักพัก การดูแลวังวารีนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้า สำหรับหินจิตวิญญาณเล็กน้อยพวกนี้จัดการมันเช่นเดิม ข้าขอรบกวนเจ้าด้วย!” ซ่งจงกล่าวพร้อมคำนับให้กับเอ๋าเทียน
เอ๋าเทียนรีบคำนับคืนอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทน้อยสุภาพเกินไปแล้ว ทั้งหมดนี้อยู่ในความดูแลของข้า แต่ทว่าท่านจะออกไปเที่ยวนานแค่ไหนงั้นหรือ? เพราะข้านั้นต้องเตรียมการบางอย่างด้วย!”
“ข้าคิดว่าสองถึงสามปี!” ซ่งจงตอบกลับแบบส่งๆ “ข้าจะพยายามกลับมาก่อนที่หินจิตวิญญาณจะหมด!”
เพียงไม่กี่ปีนั้นสำหรับมนุษย์อาจจะเนิ่นนาน แต่สำหรับอสูรกายที่มีอายุขัยยาวนานถือได้ว่าไม่มีอะไรเลย ราวกับว่าซ่งจงได้ออกไปเล่นเพียงสองสามเดือนเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เอ๋าเทียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขายิ้มและตอบกลับ “ยอดเยี่ยม ได้โปรดรักษาตนด้วยฝ่าบาทน้อย ชายชราผู้นี้จะดูแลวังวารีบริสุทธิ์อย่างเต็มที่!”
“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ ข้าก็วางใจ! ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!” ทันทีที่กล่าวจบ ซ่งจงกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว เขาตีลังกาก่อนที่จะม้วนลงทะเล เขาแอบหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีออกมาเพื่อช่วยเหลือเรื่องความเร็ว ในเวลาสั้นๆเขาสามารถทำความเร็วได้ห้าถึงหกพันหน่วย ไม่นานซ่งจงได้หายไปจากสายตาเอ๋าเทียนโดยสมบูรณ์
เมื่อเห็นเช่นนั้น เอ๋าเทียนขยี้ตาอย่างช่วยไม่ได้ “แปลกมาก ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเยอะมากเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ดูเหมือนว่าเขาจะมีสมบัติวิเศษแต่เหตุใดเขาจึงไม่ใช้มันตั้งแต่เริ่มต้น? แปลก มันแปลกเกินไป!” แม้ว่าเอ๋าเทียนจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักพร้อมกับเดินเข้าไปในวังวารีบริสุทธิ์และเริ่มเข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง