ตอนที่ 42 การปรากฏของป้ายคำสั่งจิตโลกา โดย Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อเข้าใจแล้วว่าพวกเขาอาศัยการกลายเป็นอากาศธาตุออกมา ก็ต้องคิดหาวิธีทำลาย” บรรพชนทิพย์ขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะ “ในตอนนั้นก็ร่ำลือกันว่าจักรพรรดิเก้าเมฆาก็มีวิธีทำลาย ถ้าหากข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับก็สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่การจะทำได้ใน ‘ป้อมปราการอากาศ’ ที่มีขนาดมโหฬารด้วยนั้นกลับไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าใดนัก”
ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศก็พยักหน้าเช่นกัน
ป้อมปราการอากาศกว้างใหญ่เกินไป ล้อมรอบเอาไว้ด้วยทางเดินโลกาพิศวง ด้านใน และด้านนอก ผนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์
กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้…จักรพรรดิเก้าเมฆาก็สามารถนำเคล็ดวิชาเหล่านี้ไปใช้ในค่ายกลได้ แต่น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว พวกบรรพชนทิพย์ก็ไม่มีทางห้าม ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ภายในพื้นที่ขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้
“ดูท่าทางก็คงได้แต่จัดการกับจุดอ่อนของแต่ละคนแล้ว” บรรพชนทิพย์พูด
“อืม ตอนนี้ตายไปแล้วคนหนึ่ง ก็เพราะความปรารถนาของจิตวิญญาณไม่เพียงพอ นี่คือจุดอ่อนของวิญญาณ” ราชันย์มีดพยักหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดว่า “ยามที่ข้าไต่สวนได้รู้มาว่าผู้ที่ตายไปนี้คือผู่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ชั้นที่แปดขั้นสุดยอดเท่านั้น สำหรับความปรารถนาของจิตวิญญาณ… เกรงว่าจะจัดอยู่ในระดับต่ำสุดในบรรดามารผลาญทำลายเกราะทองชั้นที่แปดขั้นสุดยอด” ความจริงเป็นเช่นนี้ แม่ทัพโม่กู่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็เป็นเพราะความชมชอบของ ‘เหล่าอ๋อง’ ความสำเร็จทางด้านความปรารถนาของจิตวิญญาณนั้นเมื่อเทียบกันแล้วก็ค่อนข้างอ่อนแออยู่บ้าง
“ส่วนอีกคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ไร้เงาก็เป็นระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดไปเรียบร้อยแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “อยากจะจัดการวิญญาณของเขาก็ยุ่งยากเสียแล้ว”
ต่อให้เป็นตนเองก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย
มารผลาญทำลายเกราะทองระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด…ผู้ที่สภาวะจิตใจอ่อนแอสักหน่อยนั้นตนก็สามารถจัดการได้ แต่ผู้ที่มีสภาวะจิตใจแข็งแกร่ง เกรงว่าภายใต้เขตลวงก็ยังสามารถครองสติเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด ดังเช่นคราวนี้ มารผลาญทำลายเกราะทองเขาเดี่ยวตนนั้นก็สามารถครองสติเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด เมื่อใดที่มารผลาญทำลายเกราะทองตนสุดท้ายที่มีพรสวรรค์ไร้เงาเผชิญกับเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถครองสติเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด ด้วยพรสวรรค์ของเขาก็สามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย
“สำหรับทางด้านวิญญาณ เจ้า ตงป๋อ ก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแล้ว” บรรพชนทิพย์ส่ายศีรษะ “ถึงแม้ว่าข้าจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรข้าก็มิได้เจาะลึกในด้านวิญญาณ”
ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศต่างก็เงียบงัน
ดูเหมือนว่า…
ในบรรดาเทพจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สำเร็จเคล็ดวิชาเทพจักรวาลที่จัดการวิญญาณได้โดยเฉพาะเลย
“ไม่มีเคล็ดวิชาทางตรง” บรรพชนทิพย์พูด “เช่นนั้นก็ได้แต่ใช้วิธีการที่โง่เง่าบางอย่างแล้ว บวกกับความยากของการผ่านทะลุการกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อใดที่ระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขาได้ ถึงเวลานั้นบรรพชนโลกาลงมือ ก็จะสามารถทำลายเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุของเขาได้แล้ว”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังก็เข้าใจอย่างรางๆ แล้ว บรรพชนทิพย์ต้องการสำแดงเคล็ดวิชาบางอย่างจึงจะสามารถทำลายได้ ส่วนบรรพชนโลกาสามารถทำได้ในทันที ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้ลงมือมากกว่า
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อ “ข้ายังไต่สวนมาได้ด้วยว่าทางด้านฝูงมารผลาญทำลายมี ‘อ๋อง’ อยู่ทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน ความจริงแล้วในประวัติศาสตร์มีทั้งสิ้นสิบห้าคน ตายไปแล้วสี่คน ในบรรดาอ๋องสิบเอ็ดคนในตอนนี้
มีอยู่คนหนึ่งที่ชื่อว่าจักรพรรดิจวิน เป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด”
“สิบเอ็ดคนหรือ” บรรพชนทิพย์ ราชันย์มีด และบรรพชนห้วงอากาศต่างก็หน้าถอดสี
“ถึงกับซ่อนเร้นพละกำลังเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้” ราชันย์มีดถามต่อ “ตงป๋อ เจ้าได้ไต่สวนหรือไม่ว่าพวกเขามีรังระดับเกราะทองอยู่มากน้อยเพียงใด”
“ไต่สวนมาเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นความลับในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเช่นกัน พวกเขาเองก็มิได้รู้กระจ่างนัก แต่ก็คงจะมีอยู่ไม่มาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “คาดว่าคงไม่เกินสิบแห่งกระมัง”
……
สิ่งที่ได้รับมาในคราวนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ทางฝั่งผู้บำเพ็ญ ตรวจสอบพลังยุทธ์ของทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายออกมาอย่างแท้จริง! ถึงขนาดที่ล่วงรู้วิธีการทะลุผ่านป้อมปราการอากาศของพวกเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับกำจัดหนึ่งในสองคนของฝูงมารผลาญทำลายที่มีพรสวรรค์ไร้เงาได้
แต่อีกฝั่งหนึ่ง
ทางด้านฝูงมารผลาญทำลายกลับโมโหจนตัวสั่น
“แม่ทัพโม่กู่ถูกเผยตัวเสียแล้ว พวกเราเหลือผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น…แม่ทัพฝูเชียน!”
“คราวนี้ยิ่งมีมารผลาญทำลายเกราะทองถูกจับเป็น พวกเขาคือองครักษ์ของแม่ทัพโม่กู่ ทั้งยังล่วงรู้พรสวรรค์ของแม่ทัพโม่กู่ด้วย พรสวรรค์ไร้เงานี้จะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน”
“นับจากนี้เป็นต้นไป…”
“ย่อมไม่เกิดสงครามขึ้นง่ายๆ แน่”
“พวกเราต่างก็เคยไปที่โลกของผู้บำเพ็ญมาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็สงบใจคอยท่าอยู่ที่ทางเดินโลกาพิศวงกันก่อนเถิด รอให้ผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาคนที่สองถือกำเนิดขึ้นมาแล้วค่อยก่อให้เกิดสงครามขึ้นใหม่ พวกเราพ่ายแพ้มิได้อีกแล้วนะ”
“เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นแท้ๆ ทีเดียว”
“สมควรตาย”
“อดทนกันหน่อยเถิด ยิ่งระยะเวลายาวนาน ความได้เปรียบของพวกเราก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องทะลุผ่านไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว ก็สามารถฝ่าป้อมปราการอากาศไปซึ่งๆ หน้าได้แล้ว
“อืม ก็ได้แต่อดทนแล้วล่ะ”
ทางด้านฝูงมารผลาญทำลายกลับปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรพวกเขาก็เหลือผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น มิอาจพ่ายแพ้ได้อีกแล้ว
******
ณ วังทวีสูญ
ที่พำนักตำหนักโลกเทียมกินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ถึงอย่างไรนี่ก็คือหนึ่งในสิบสามตำหนักของวังทวีสูญ
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ” บรรพชนห้วงอากาศนั่งอยู่ที่นั่น มองดูเกราะเกล็ดสีทองอันละเอียดประณีตที่แขวนอยู่ห่างออกไปชุดนั้น บรรพชนห้วงอากาศมองอย่างตื่นตะลึงไร้ที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรเขาก็ไปถึงขั้นสุดยอดของห้วงอากาศแล้ว ดังนั้นจึงมีประสบการณ์กับความเร้นลับต่างๆ นานาของเกราะเกล็ดสีทองอันละเอียดประณีตนี้อย่างลึกล้ำที่สุด
บรรพชนทิพย์ยังส่งร่างแปรมา มองดูอย่างละเอียดอยู่ที่นั่น บางคราก็ขมวดคิ้ว บางคราก็ส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำลังจมดิ่งอยู่กับการสำรวจ
“การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดอย่างนั้นหรือ”
จอมกระบี่และบรรพชนเทียนอวี๋ก็มองดูชุดเกราะเกล็ดนั้นอยู่ข้างๆ เช่นกัน
กระทั่งท่านบรรพชนคีรีมารก็ยังส่งร่างแปรมานั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ดื่มสุราไปพลาง ชมดูไปพลาง เห็นได้ชัดว่าเทพจักรวาลจำนวนมากมายต่างก็ปรารถนาที่จะมีเคล็ดวิชา ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ กันเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีเคล็ดวิชานี้แล้ว บวกกับวิญญาณเทพจักรวาลของพวกเขา การโจมตีธรรมดาๆ ก็ไร้ผลกับพวกเขาอยู่แล้ว ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะสังหารพวกเขาก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
แต่การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นยิ่งนัก แม้กระทั่งกู่ฉีก็ยังมิอาจไปถึงระดับขั้นอันสมบูรณ์ได้เลย ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงแค่จักรพรรดิเก้าเมฆาและบรรพชนห้วงอากาศเพียงสองคนเท่านั้นที่เคยทำได้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศนั้นสูงส่งเป็นที่สุด
ทว่าชุดเกราะเกล็ดนี้…ดูเหมือนจะดัดแปลงให้ง่ายกว่ามาก ทำให้เหล่าเทพจักรวาลมองเห็นความหวังที่ตนจะศึกษาสำเร็จได้
“ยากเย็นเหลือเกิน ยากเย็นเหลือเกิน” ท่านบรรพชนคีรีมารมองแล้วก็ส่ายศีรษะพลางแหงนหน้าดื่มสุรา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสัมผัสประสบการณ์อย่างลึกซึ้งยิ่ง
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ท่องอากาศ ทั้งยังไปถึงระดับขั้นที่ห้าสิบ อีกทั้งยังมีศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆาอยู่กับตัว พูดถึงพื้นฐานทางด้านห้วงอากาศ ในที่นี้ก็มีเพียงบรรพชนห้วงอากาศเท่านั้นที่สูงส่งกว่าเขา ส่วนเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ…บอกว่าเป็นเทพจักรวาลก็จริง แต่ทางด้านห้วงอากาศนั้นก็ยังมิอาจเทียบกับเขาได้เลย
……
ร่างแปรเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจรอบหนึ่งแล้วก็กลับมายังห้องเงียบของตนก่อน
ปิดห้องเงียบลง
ด้วยเคล็ดวิชาของวังทวีสูญและเคล็ดวิชาเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสอดแนมทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องเงียบได้เลย
“ยังมิได้ตรวจดูรางวัลของการคว้าชัยในสงครามในคราวนี้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ฝูงมารผลาญทำลายทั้งหกในคราวนี้ตายไปสี่ตน ส่วนอีกสองก็ถูกผนึกวิญญาณคุมขังเอาไว้ภายในวังทวีสูญ ก็ย่อมต้องได้สมบัติล้ำค่ามาไว้ในมือ หลอมอย่างง่ายดาย เริ่มต้นถ่ายวัตถุภายในออกมา
พรึ่บ…
วัตถุจำนวนมากต่างก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่เป็นหนึ่งในประมุขตำหนัก ห้องเงียบแห่งนี้ก็เป็นบริเวณขนาดใหญ่มาก กินพื้นที่หลายลี้ สามารถใช้ในการศึกษาเจาะลึกเคล็ดวิชาได้
“สิ่งของของผู้บำเพ็ญเหล่านี้ คงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาได้มาหลังจากที่สังหารผู้บำเพ็ญกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแล้วก็เดือดดาลอยู่บ้าง เพียงไม่นานสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ก็ถูกนำออกมาจนสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับยังค้นพบชีวิตของผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ถูกคุมขังเอาไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์จำนวนหนึ่งอีกด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตัดสินใจแล้วว่ารอให้เวลาผ่านไปอีกสักหน่อยก็จะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้เป็นอิสระ
โครม… สิ่งของจำนวนมากเคลื่อนย้ายออกมาแล้วตกกระทบเข้าด้วยกัน ส่งเสียงดังโครมคราม แล้วก่อให้เกิดเป็นภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง
“หืม”
รอให้ค่อยๆ เงียบสงบลงอย่างช้าๆ สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับจับอยู่ตรงจุดหนึ่งบนภูเขาขนาดย่อมนี้ เห็นชัดๆ ว่าที่นั่นว่างเปล่า แต่ราวกับมีวัตถุโปร่งใสที่พยุงวัตถุชิ้นอื่นๆ เอาไว้ นอกจากนี้ด้วยการควบคุมอย่างสมบูรณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงต่อบริเวณโดยรอบ ก็ปรากฏเสียงกระทบอันกังวานขึ้นที่นี่
“โปร่งใส มิอาจมองเห็นได้หรือ แม้กระทั่งอาณาเขตของข้าก็ยังมิอาจรับรู้การมีอยู่ของมันได้เลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปอย่างประหลาดใจ วัตถุที่เดิมที่โปร่งใสมิอาจมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์กลับค่อยๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตามการเข้าไปใกล้ของเขา นี่คือป้ายสัญลักษณ์สีแดงเข้มอันหนึ่ง ด้านบนมีอักษรสัญลักษณ์อันลึกลับ เมื่อมองอักษรสัญลักษณ์อันลึกลับปราดหนึ่งก็สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ในทันที…
นั่นก็คือ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ หกพยางค์นี้!
ป้ายคำสั่งจิตโลกา ลึกลับหาใดเปรียบ มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากมันเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นและได้มันไปครอบครอง มิฉะนั้นต่อให้มันอยู่ตรงหน้าก็ยังมิอาจมองเห็นได้เลย
………………………………..