ตอนที่ 1091 ความรักที่สิ้นหวัง

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1091 ความรักที่สิ้นหวัง โดย Ink Stone_Fantasy

ภายในเต็นท์ ฌอนมองชายที่ถูกมัดอยู่บนเก้าอี้อย่างละเอียด ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้หลบสายตาหรือว่าตะโกนโวยวายแต่อย่างใด เขาเองก็มองดูฌอนด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนกัน

ความเงียบแบบนี้ไม่เหมือนกับสีหน้าของคนที่กำลังจะขายความลับเลย ตอนที่ยังอยู่ที่เมืองหลวงเก่า ฌอนเคยเห็นคนที่มาขายหรือหักหลังเพื่อนจำนวนมาก ถึงแม้การหักหลังกันของศัตรูจะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่ท่าทีน่าเกลียดที่เกิดจากความละโมบ การใส่ร้ายและความหิวกระหายในอำนาจนั้นกลับทำให้เขารู้สึกรังเกียจ

นี่ทำให้ภายในใจหัวหน้าองครักษ์เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อย

หลังจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ชื่ออะไร?”

“โจ” ชายคนนั้นตอบ “เจ้าคือผู้บังคับบัญชาของที่นี่หรือเปล่า? ‘ที่นี่’ ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงเจ้าเมืองของเมืองเมเปิลซองหรือที่ไหน หากแต่หมายถึงผู้รับผิดชอบกองทัพของเกรย์คาสเซิล”

“นั่นมันสำคัญด้วยเหรอ?”

“ถ้าไม่ใช่ ข้าก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะว่า…พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์”

น่าสนใจดีนี่

ฌอนค่อยๆ โน้มตัวลง “ข้าคือหัวหน้าองครักษ์ของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นหัวหน้าทีมสำรวจของเกรย์คาสเซิลด้วย เจ้าเรียกข้าว่าฌอนก็ได้ ในเมื่อเจ้าได้เจอคนที่เจ้าอยากเจอแล้ว อย่างนั้นก็พูดเรื่องเบาะแสของสมบัติได้แล้วใช่ไหม?”

“ถ้าพวกท่านดั้นด้นมาถึงภูเขาเคจเมาเธ่นเพื่อวิหารต้องสาปแล้วล่ะก็ อย่างนั้นสิ่งที่พวกท่านตามหาจะต้องเป็นลูกบาศก์เวทมนตร์แห่งการบูชายัญแน่นอน” โจพูดออกมาตรงๆ “และเจ้าสิ่งนี้ ตอนนี้ก็อยู่ในมือของโรแลนโซ่ เอิร์ลของเกาะอาชดยุค!”

ฌอนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องเงื่อนไขก่อน จากนั้นก็ค่อยให้เบาะแสออกมาส่วนหนึ่งแบบอ้อมค้อม ส่วนเรื่องว่าจริงหรือไม่จริงก็ยังต้องไปเสียเวลานั่งตรวจสอบอีก  แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับพูดออกมาตรงๆ จนหมด  “เจ้าเคยเห็น…ของสิ่งนั้นเหรอ?”

“ไม่เคย แต่สำหรับศาสนจักรแล้ว นั่นไม่ใช่ความลับอะไร” โจเล่าเรื่องที่ศาสนจักรบุกไปปล้นอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทออกมาแบบคร่าวๆ “ตอนนั้นเพื่อจะแสดงความดีความชอบของตัวเอง โรแลนโซ่ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ได้โอ้อวดเรื่องสมบัติที่ว่านี้ในรายงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาสนจักรจำนวนไม่น้อยต่างรู้เรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้รับความสนใจอะไรจากเมืองเฮอร์มีส”

“อย่างนี้นี่เอง ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีมานี้สมบัติตกไปอยู่ในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท จากนั้นศาสนจักรก็บังเอิญมาเจอมันเข้า นี่ถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือทีเดียว” ฌอนลูบคางตัวเอง “แต่ว่าทำไมเจ้าถึงมาบอกข้าล่ะ? ถ้าเอาข้อมูลนี้ไปขายให้กับเจ้าเมืองคนอื่นๆ เจ้าน่าจะได้ประโยชน์มากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”

โจสูดหายใจ “นายท่าน ท่านเคยได้ยินเรื่อง…กองทัพอาญาสิทธิ์ไหม?”

“แน่นอน กองทัพลับที่ศานจักรภาคภูมิใจ” ฌอนทำสีหน้าเหมือนล้อเลียน “แต่เสียดายที่กองทัพเหล่านั้นถูกกองทัพที่หนึ่งของฝ่าบาทโรแลนด์บดขยี้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ไปแล้ว”

“อย่างนั้นก็ดี” แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำสีหน้าเจ็บแค้นออกมา “ข้าจะไม่ได้ต้องพูดอ้อมค้อมให้มาก ในมือโรแลนโซ่ตอนนี้มีกองทัพอาญาสิทธิ์อยู่ นอกจากราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเกาะอาชดยุค”

“โอ้?” ฌอนเลิกคิ้วขึ้นมา “ข้านึกว่าสัตว์ป่าในร่างคนพวกนี้จะตายไปในดงกระสุนที่สันเขาโคลด์วินด์หมดแล้วนะเนี่ย เขายังมีทหารอาญาสิทธิ์อยู่เท่าไร?”

“สิบ…ไม่สิ ประมาณห้าคน” โจลังเลเล็กน้อย “ยังไงซะก็เหลืออยู่ไม่เยอะ”

“ถ้าอยากจะโจมตีปราสาท แค่ห้าคนก็ถือว่าน่ากลัวอย่างมากแล้ว” ฌอนยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “อย่างนั้นเจ้าอยากจะได้อะไรจากข้า? พูดอีกอย่างก็คือข้อมูลอันนี้มีค่าเท่าไร?”

“ไม่ ข้าแค่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป” โจพูดเสียงเบาๆ “ศาสนจักรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเกรย์คาสเซิลอีกต่อไปแล้ว แต่พวกสาวกที่หนีตายมาพวกนั้นยังไม่ยอมเลิกรา โรแลนโซ่ก็กำลังคิดที่จะเล่นงานพวกท่านอยู่ คนของเขาน่าจะเข้ามาในเมืองธอร์นเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่อยากซวยไปกับพวกเขาด้วย ถ้า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าข้อมูลนี้สามารถใช้ได้ ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลน่าจะเว้นโทษให้ข้าได้ใช่ไหม?”

ทำแบบนี้เพื่อจะมีชีวิตรอดต่อไปจริงๆ งั้นเหรอ?

ฌอนวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะพร้อมกับใช้มือเท้าค้างเอาไว้ นี่คือท่าทางที่ฝ่าบาทโรแลนด์มักจะทำเป็นประจำเวลาสอบถามปัญหา ถึงแม้เขาจะไม่มีความสามารถเหมือนอย่างไนติงเกล แต่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์มาแยกแยะว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง

อย่างน้อยเขาก็มองไม่เห็นความคิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนตัวชายที่ชื่อโจคนนี้เลย โดยเฉพาะในตอนที่มองตากันก่อนหน้านี้ ในดวงตาของเขาคู่นั้นเหมือนจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่มาแล้ว

บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความตั้งใจแน่วแน่ของเขามันได้สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านทางสายตา

“แค่นี้เหรอ?”

“ชะ…ใช่”

“เช่นนั้นข้าจะให้คนพาเจ้าไปยังเมือเนเวอร์วินเทอร์”

“เอ๋?” โจรู้สึกแปลกๆ “ทำไมถึงต้องไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ด้วย?”

ฌอนลุกขึ้นยืน “ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะอภัยโทษให้เจ้า แล้วก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจสาวกที่กลับตัวได้ด้วย ดังนั้นการส่งเจ้าไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องกังวล ความเมตตาและความยุติธรรมของฝ่าบาทนั้นเป็นที่รู้ดีกันไปทั่วทั้งเกรย์คาสเซิล สโมสรแม่มดเองก็มีวิธีที่จะยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เจ้าให้มา ถ้าเจ้าไม่ได้พูดโกหก อย่างนั้นเจ้าก็จะได้รับการตัดสินที่เป็นธรรม การได้รับเว้นโทษนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น ถ้าเจ้าโชคดี เผลอๆ เจ้าอาจจะได้รางวัลด้วย

“นะ นายท่าน…แล้วสมบัตินั่น…” โจอยากจะลุกขึ้นมา แต่เชือกที่มัดอยู่บนตัวเขาทำให้เขาไม่อาจขยับตัวได้

“ถ้ามันอยู่ในมือเอิร์ลโรแลนโซ่จริงๆ อย่างนั้นช้าเร็วมันก็ต้องเป็นของฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้นสมบัตินั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าด้วยไม่ใช่เหรอ?” ฌอนผายมือ “ไม่มีอะไรต้องกังวล ถึงแม้ระยะทางจากนี่ไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะค่อนข้างไกล แถมก่อนหน้าที่ข้อมูลจะได้รับการยืนยันเจ้าจะต้องถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องได้รับการชดเชยอย่างแน่นอน เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลว่าศาสนจักรจะมาทำอะไรเจ้าอีก” เขามองไปทางทหาร “เอาตัวเขาไป”

“ไม่ นายท่าน เดี๋ยวก่อน…” โจสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ความสุขุมอย่างในตอนแรกพลันถูกทำลายลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความลนลานและความสิ้นหวัง เขาพยายามฝืนยันตัวขึ้นมา ก่อนจะล้มคว่ำลงไปกับพื้น “ขอร้องท่านล่ะ อย่าส่งข้าไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์เลย!”

ในน้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าสร้อยอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ราวกับว่าการแสดงออกก่อนหน้านี้ของเขาล้วนแต่เป็นการเสแสร้ง อารมณ์สิ้นหวังเช่นนี้ทำให้ฌอนต้องหยุดฝีเท้าลง….เห็นๆ อยู่ว่าไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย แต่ตอนนี้กลับทำสีหน้าเช่นนี้ออกมา นี่ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ

“ทำไม?” เขาหมุนตัวกลับมา “หรือจะบอกว่าสิ่งที่เจ้าต้องการมันไม่ใช่แค่นี้?”

“ขอท่านได้โปรด…ช่วยฟาร์รีน่าด้วย ได้โปรดเถอะนายท่าน!” โจกัดเศษดินที่อยู่บนพื้นพร้อมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “ไม่มีเวลาเหลือแล้ว นาง…นางไม่มีเวลาเหลือแล้ว…”

สุดท้ายชายคนนั้นก็ร่ำไห้ออกมา

นี่น่าจะเป็นความจริงแล้วล่ะมั้ง…ฌอนครุ่นคิด

เขาเดินเข้าไปหาโจที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่น ก่อนจะตบไหล่เขา “ฟาร์รีน่าคือใคร แล้วทำไมถึงไม่มีเวลา…ข้าว่าตอนนี้พวกเราคงจะคุยกันดีๆ ได้แล้วล่ะนะ”

….

กระทั่งอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์และเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมา ฌอนถึงได้เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จุดเริ่มต้นทุกอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับความรัก

อีกฝ่ายต่างหากที่เป็นสาวกของศาสนจักรที่หนีตายออกมา ส่วนอดีตมุขนายกก็กลายเป็นศัตรูของพวกเขา ในตอนที่หมดหนทอง การที่โจตัดสินใจมาหากองทัพที่หนึ่งของเกรย์คาสเซิลซึ่งเป็นอดีตศัตรูคู่อาฆาตของศาสนจักรจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกเขานั้นเกลียดคนทรยศมากกว่าศัตรู ขณะเดียวกันเขาเองก็รู้ถึงเหตุผลที่ภายในใจของอีกฝ่ายมีความมุ่งมั่นโดยไม่หวั่นแม้กระทั่งความตาย เพราะโจไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะสามารถปิดบังกองทัพที่หนึ่งไปได้ตลอด บางทีในสายตาของเขาอาจจะมองว่าการที่ตัวเองกับฟาร์รีนาถูกส่งขึ้นไปบนแท่นประหาร ยังไงก็ดีกว่าถูกทรมานโดยฝีมือโรแลนโซ่

ถ้าค่อยๆ ปล่อยให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่แน่หลังจากนี้อีกสองสามเดือนมันอาจจะได้ผลอย่างที่ต้องการก็ได้ แต่ด้วยเวลาที่คับขันทำให้เขาเลือกที่จะเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง ถึงแม้โรแลนโซ่จะไม่มีทางทรมานฟาร์รีน่าให้ถึงตาย เพื่อที่เขาจะได้รีดข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จากเธอ แต่ด้วยความอดทนและความสามารถในการฟื้นฟูของร่างกายมนุษย์ที่มีขีดจำกัด ถ้าจะรออีกครึ่งปีแล้วค่อยให้เกรย์คาสเซิลเคลื่อนไหว เกรงว่าถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงจะสายไปเสียแล้ว

เดิมทีความขัดแย้งภายในศาสนจักรนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฌอน แต่เมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยว ข้อมูลที่ว่านี้ก็มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที

หลังจากนี้ขอเพียงหาตัวสายสืบที่โรแลนโซ่ส่งมาให้เจอ ทุกอย่างก็จะได้รับการยืนยัน

“ข้าเข้าใจแล้ว เอาไว้จับคนพวกนั้นมาได้ ข้าจะรีบรายงานฝ่าบาททันที” ฌอนค่อยๆ พูด “ใช้นกส่งจดหมาย”

……………………………………………………………………..