บทที่ 113 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 113 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (5)
อี้เป่ยซีอาศัยช่วงที่อี้เป่ยเฉินกำลังอึ้งลุกขึ้นนั่ง สงบลมหายใจของตัวเอง ก้าวเท้ายาวๆ ไปห้องน้ำ ปิดประตูอย่างแรง จากนั้นเสียงน้ำซู่ก็ดังขึ้น
อี้เป่ยเฉินมองดูอ้อมแขนที่ว่างเปล่า รู้สึกทรมานเหมือนมีบางอย่างสูบออกไปจนแห้งเหือด บางจุดในร่างกายก็รู้สึกเจ็บจางๆ เขาพยุงตัวลุกขึ้น มองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ค่อยๆ ค่อยๆ เดินออกไป
“เอ๊ะ ทำไมเป่ยซีไม่ลงมาด้วยล่ะ?” คุณแม่อี้มองไปด้านหลังอี้เป่ยเฉิน เอ่ยถาม
“อาบน้ำ” ตอบสั้นๆ ราวกับกลัวดอกพิกุลทองจะร่วง นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้ชีวิตชีวา ยกแก้วน้ำขึ้น
“นั่นมันของเมื่อวาน”
เขาดื่มไปอึกหนึ่ง น้ำเสียงเมินเฉย “ไม่เป็นไร”
“เฮ้อ ลูก…”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ของเขาด้วยอารมณ์ที่ชัดเจน “เดี๋ยวฉินรั่วเข่อจะกลับมา”
“เขา” คุณแม่อี้วางกระแทกอาหารเช้าลงบนโต๊ะ “ลูกยังสร้างความวุ่นวายไม่พอเหรอ?”
“ผมมีวิธีของผม แม่ไม่ต้องยุ่ง”
เธอดึงแก้วในมือของอี้เป่ยเฉินออกมา แทนที่ด้วยชาร้อนแก้วหนึ่ง “ลูกเป็นลูกของแม่ เป่ยซีก็เป็นลูกสาวที่แม่อุปการะมาหลายปี พวกลูกเป็นยังไงแม่จะไม่รู้เหรอ เป่ยเฉิน ถ้าลูกอยากจะอยู่กับเป่ยซี…”
“ผมไปจัดการงานที่บริษัทก่อน แม่กับเสี่ยวซีกินก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะมารับออกไปข้างนอก”
“ลูกนี่นะ” คุณแม่อี้ส่ายหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “ไปเถอะๆ”
ผ่านไปสักพัก อี้เป่ยซีจึงลงมาจากชั้นบนด้วยความอืดอาด มองรอบทิศ เมื่อเห็นว่าไร้เงาของอี้เป่ยเฉิน ก็รู้สึกโล่งอกโดยไม่รู้ตัว บิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลายเดินไปหาคุณแม่อี้ กอดเธอจากด้านหลัง
“ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือคุณแม่นานแล้ว”
คุณแม่อี้ตบหลังมือเธอเบาๆ “งั้นเธอต้องกินเยอะๆ ช่วงนี้เห็นเธอผอมลงมาก กอดแล้วเจอแต่กระดูก”
“คุณแม่รังเกียจหนูแต่เช้าเลยเหรอ น่าเสียใจจังเลย” เธอปล่อยมือ สูดจมูกฟึดฟัด “ทำไมหนูถึงน่าสงสารแบบนี้นะ”
“เอาล่ะๆ เอาใหญ่แต่เช้า กินข้าวก่อนเถอะ กินแล้วค่อยกวน”
กินข้าวก่อนเถอะ อี้เป่ยซีคิดถึงท่าทางของลั่วจื่อหานขึ้นมาทันใด หมอนั่นชวนให้เธอกินข้าวทุกครั้ง ‘เอาล่ะกินข้าวๆ’ อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะจึงนึกขึ้นมาได้ “เอ่อ คุณแม่อี้ พี่ล่ะคะ?”
“เขาไปที่บริษัทแล้ว จะให้แม่บอกให้เขากลับมาตอนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง พี่เขางานยุ่ง อย่ากวนเขาเลย”
คุณแม่อี้ยกถ้วยซุปให้อี้เป่ยซี “แม่นึกว่าตอนนี้พวกเธอตัวติดกันซะอีก เมื่อก่อนเธอตามหลังพี่เป่ยเฉินตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ใช่แล้วๆ ตอนนี้ก็ยังตามหลังพี่เขา ทำยังไงก็ตามไม่ทัน ทรมานมากเลยนะคะ”
“พอได้แล้ว กินเถอะ”
อี้เป่ยซีชิมกับข้าวไปคำหนึ่ง คิ้วขมวดกันเล็กน้อย แล้วก็กินเงียบๆ
เมื่อก่อนคิดมาตลอดว่ากับข้าวที่คุณแม่อี้ทำคือกับข้าวที่อร่อยที่สุดในโลกใบนี้ ทุกครั้งที่มาก็คิดถึงรสชาติในอดีตอยู่เสมอ จนเมื่อได้กินจริงๆ แล้ว จึงพบว่าเหมือนจะต่างจากรสเลิศที่ตัวเองจินตนาการไว้มาก หากเทียบกับอาหารที่ลั่วจื่อหานทำแล้วก็ต่างกันมากเช่นกัน
ทำไมถึงคิดถึงลั่วจื่อหานอยู่เสมอ เธอกัดเนื้อคำหนึ่งอย่างแรง ‘ตอนนี้เขากินข้าวเช้าแล้วยัง? หรือว่าไม่ทันได้กินก็ไปที่บริษัทแล้ว?’
‘อัยยา จู่ๆ คิดถึงลั่วจื่อหานแบบนี้ไม่วางใจเลยจริงๆ ทั้งที่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว’
ทันใดนั้นก็อยากกินฝีมือของลั่วจื่อหาน อยากเจอเขาจังเลย
ความรู้สึกแบบนี้ช่างน่าผิดหวังจัง
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
เธอส่ายหน้า พูดจาตะกุกตะกัก “กำลังคิดว่าทำไมคุณแม่อี้ทำกับข้าวอร่อยจังเลย ทำไมหนูถึงทำไม่เป็นสักที”
“ถ้าอยากหัดคราวนี้แม่จะสอนเธอ”
ภาพที่ลั่วจื่อหานจับมือเธอทำกับข้าวในตอนนั้นผุดขึ้นมาในสมองของอี้เป่ยซีฉับพลัน หน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ‘หัดทำกับข้าวให้ลั่วจื่อหานกินงั้นเหรอ? เขาจะต้องไม่ชอบแน่ๆ เลย’
‘เชอะ มีแต่ลั่วจื่อหานหรืออย่างไรกัน เธอจะทำให้ฉู่ซ่ง หลานฉือเซวียน หรือเซี่ยเช่อกินก็ได้นี่นา แต่ว่านะ พวกเขาก็ทำกับข้าวเป็นทั้งนั้น ทำไมเธอถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้’
“เฮ้อ หนูไม่มียีนส์ทำกับข้าวหรอก”
“งั้นก็ดี ให้เป่ยเฉินทำให้เธอกินสิ”
มือของอี้เป่ยซีหยุดชะงัก จู่ๆ ก็หมดความอยากอาหาร หัวเราะเจื่อนๆ กินไปอีกไม่กี่คำ วางตะเกียบลง “เอาล่ะ หนูอิ่มแล้ว”
“กินน้อยจังเลย?”
“เยอะแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้คิดถึงแต่เรื่องสอบ ไม่ค่อยหิว ที่หนูกินตอนนี้ถือว่าเยอะที่สุดในช่วงนี้แล้ว”
คุณแม่อี้เก็บโต๊ะ “เรียนหนักมากเลยเหรอ?”
“ทั่วๆ ไปค่ะ หนูรู้สึกว่าเทอมนี้ก็ไม่เลวเท่าไร” เธอแสดงอาการโอ้อวด เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามเป่ยเฉินได้ ถึงเขาจะยุ่งก็มีเวลาติวให้เธอ”
เธอรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่เขา…เอ่อ หนูเรียนเองได้ มีเพื่อนคอยช่วยหนู”
“เป่ยซีเอ๊ย” เธอหยุดชะงัก “เธอสนิทกับลั่วจื่อหานมากเหรอ?”
อี้เป่ยซีชักขาของตัวเองกลับมา พูดจาติดขัดเล็กน้อย “หนู เขา เป็นแค่ เพื่อน พี่ เขาทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่”
“ไม่เป็นไร เป่ยซีตอนนี้เธอสิบแปดแล้ว จะคบหากับใครก็เป็นอิสระของเธอ บางทีเป่ยเฉินก็ระแวงไปหน่อย แต่ว่าเป่ยซี เธอรู้ภูมิหลังของลั่วจื่อหานดีแล้วเหรอ เขา…”
“หนูไม่ได้เป็นเพื่อนกับภูมิหลังของเขา” อี้เป่ยซีพึมพำ เห็นปฏิกิริยาของคุณแม่อี้ก็รู้ว่าเธอได้ยินแล้ว อีกทั้งยังเป็นคำตอบที่ทำให้เธอไม่พอใจมาก ยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “เอ่อ หนูเข้าใจที่คุณแม่อี้พูดแล้ว จะทำตามที่สอนค่ะ”
“พูดจาเก่งนะ”
“ทำก็เก่งด้วยค่ะ หนูยังช่วยคุณแม่อี้เก็บของได้ด้วยนะ” พูดพลางช่วยเธอเก็บถ้วยตะเกียบไปไว้ในห้องครัวและช่วยล้าง จากนั้นก็อยู่พูดคุยที่ชั้นล่างครู่หนึ่ง จู่ๆ คุณแม่อี้บอกว่าจะออกไปเดินเล่น อี้เป่ยซีครุ่นคิด พยักหน้าและขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เลือกเสื้อและกางเกงที่ใส่สบาย หยุดอยู่หน้าประตูสักพัก แล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ
“ฮัลโหล ว่าไง?” น้ำเสียงอ่อนโยน
“ปะ เปล่า”
“ไม่มีอะไรทำไมพูดตะกุกตะกักล่ะ” ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานอยู่ที่ไหน เงียบสงบมาก ‘น่าจะอยู่ที่ออฟฟิศของตัวเองล่ะมั้ง ยังไม่รู้เลยว่าออฟฟิศของเขาเป็นอย่างไร? เหมือนกับของพี่ชายหรือเปล่า?’
“ออฟฟิศนายเป็นยังไงเหรอ” หลุดประโยคนี้ออกมาโดยไม่รู้ อี้เป่ยซีอดไม่ไหวกัดลิ้นของตัวเอง ‘แค่คิดก็พอแล้ว จะถามทำไมกัน’
ทางนั้นก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนถามคำถามนี้ หลังจากผ่านไปหลายวินาทีจึงหัวเราะ “อือ เธอจะมาเยี่ยมก็ได้นะ”
“เปล่า ฉันเปล่า เมื่อสายมันซ้อนกัน”
“อ๋อ สายซ้อน มีอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรก็โทรหานายไม่ได้เหรอ” อี้เป่ยซีมุ่ยปาก นั่งลงบนเตียง
“เปล่า ก็แค่ ช่างเถอะ เป่ยซี เธอจะโทรหาฉันเมื่อไรก็ได้ ฉันดีใจมาก”
เธอยิ้มกว้าง “ไม่รบกวนนายเหรอ?”
“ไม่รบกวน”
อี้เป่ยซีจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยากถามอะไร “แล้ว เมื่อเช้านาย กินข้าวแล้วยัง?”
“เพิ่งคิดจะถามเรื่องข้าวเช้าฉันป่านนี้เหรอ?”
“ใช่สิ ถ้านายยังไม่กิน ไม่มีอะไรไม่มีอะไรที่อยากกิน ฉันจะ…”
“ส่งข้าวมาให้ฉัน?”
“ฝันไปเถอะ ฉันจะช่วยนายสั่งข้าวจากข้างนอก”
————