บทที่ 112 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 112 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (4)

             เช้าวันต่อมา ลั่วจื่อหานมาส่งอี้เป่ยซีที่จิ่นหยวน

            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานดึงกระเป๋าของเธอ ไม่ยอมปล่อยมือ

            อี้เป่ยซีหันกลับไป ยิ้มผ่อนคลาย “ไม่เป็นไรน่า นายกำลังกังวลเรื่องอะไร?”

            จู่ๆ เขายื่นมือดึงเธอเข้ามากอด ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กอดไว้อยู่แบบนี้ ราวกับว่าหากปล่อยมือแล้วก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก

            “ฉันก็แค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปตายสักหน่อย นายจะตื่นเต้นไปทำไม” อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเขา “ตอนนี้เพิ่งเห็นว่านายยังมีด้านเด็กน้อยแบบนี้เหมือนกัน”

            “ใช่ งั้นเธอจะปลอบฉันยังไง”

            “หา?” เธออดขำไม่ไหว “นายเป็นแบบนี้ฉันปลอบไม่ไหวหรอกนะ”

            ได้ยินแล้วลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือ แสดงอาการประมาณว่าถ้าเธอปลอบไม่ดีฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไปไหน อี้เป่ยซีเขย่งปลายเท้า จูบริมฝีปากเขาเบาๆ

            “แบบนี้ได้ไหม? สบายใจขึ้นบ้างหรือเปล่า?”

            ลั่วจื่อหานดึงสติกลับมาจากความงุนงง ส่ายหน้า ทำเป็นแสดงสีหน้าไม่พอใจมาก

            “เอาล่ะ” อี้เป่ยซีลากกระเป๋าเดินทางที่อยู่ด้านข้าง “งั้นฉันกลับก่อนนะ”

            “เป่ยซี”

            “หืม” เขาโน้มตัวประกบริมฝีปากของเธอ ค่อยๆ ยื่นปลายลิ้นออกมา มุมปากของอี้เป่ยซียกยิ้ม จูบตอบด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย ราวกับว่าระบบการยับยั้งชั่งใจของลั่วจื่อหานขัดข้อง คว้าศีรษะของเธอและดื่มด่ำกับของเหลวในปากของเธอ จนกระทั่งทั้งสองคนหายใจติดขัด เขาจึงผ่อนคลายด้วยความไม่เต็มใจนัก และกัดริมฝีปากที่บวมแดงแผ่วเบา

            “นายเป็นหมาหรือไง?” ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

            เขาโน้มตัว “เธอจะกัดกลับก็ได้นะ”

            “ไม่ ไม่ต้องล่ะ ลาก่อน” ลากกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ ลั่วจื่อหานตอบกลับว่าลาก่อนอย่างมีความสุข รอจนกระทั่งเธอมาถึงหน้าประตูจึงขับรถจากไป

            อี้เป่ยซีควานหาในกระเป๋าตัวเอง ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าคราวก่อนทิ้งกุญแจไว้ที่บ้าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องกดกริ่งเหมือนเป็นคนนอก

            มือกดกริ่งสีขาว มองดูประตูที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ รู้สึกห่างเหินและไม่คุ้นเคย ‘เป็นเพราะว่าไม่ค่อยกลับบ้านงั้นเหรอ แต่ว่าก็แค่ไม่กี่เดือนเองนะ’

            “ใครคะ มาแต่เช้าเลย” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ความรู้สึกเหินห่างหายไปจากร่าง อี้เป่ยซีอ้าแขนกอดร่างนั้นไว้แน่น

            “อือ คุณแม่อี้หนูคิดถึงแม่จังเลย”

            เธอตบๆ ไหล่ของอี้เป่ยซีเชิงตำหนิ “คิดถึงแม่ก็ไม่รู้จักโทรมาหาแม่บ่อยๆ ถ้าพี่เธอไม่บอกแม่ก็ไม่รู้ เธออยู่ที่นี่…”

            “หนูอยู่ที่นี่สบายดีค่ะ ใช่ว่าแม่ไม่รู้จักพี่ชาย เรื่องเล็กๆ เขาก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ คุณแม่อี้ ให้หนูเข้าบ้านก่อนเถอะ” อี้เป่ยซีลากกระเป๋า รู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแต่ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป

            เธอกำกระเป๋าตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน

            “ไม่กลับบ้านแค่ไม่กี่วัน ลืมแล้วเหรอว่าห้องของตัวเองอยู่ที่ไหน?” คุณแม่อี้ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากของเธอ “วางไว้ก่อน เดี๋ยวจะให้เป่ยเฉินมายกขึ้นไปให้เธอ”

            “พี่อยู่บ้านเหรอคะ” ได้ยินคำพูดของอี้เป่ยซี เธอรู้สึกทะแม่งๆ แต่เมื่อคิดดูอีกแล้วก็ไม่ได้ถามอะไร เป็นการแสดงความสนิทสนมของคนในครอบครัวตามปกติ เธอน่าจะคิดมากไป คุณแม่อี้มองดวงตาที่สดใสของ

อี้เป่ยซี ยังคงมีลักษณะที่ไร้เดียงสาอ่อนต่อโลกเหมือนเมื่อก่อน พยักหน้าอย่างวางใจ

            ‘เธอน่าจะคิดมากไป พวกเขาสองคนน่าจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง’

            “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้พี่ชายเธออยู่กับพวกเราเหรอ?”

            “จะเป็นไปได้ยังไง คุณแม่อี้กลับมาแล้ว พี่จะต้องทิ้งธุระทั้งหมดเพื่อมาอยู่กับแม่แน่ๆ แค่คิดไม่ถึงว่าสายป่านนี้แล้วพี่ยังไม่ตื่นอีก”

            คุณแม่อี้เผยรอยยิ้มโอบอ้อม “แม่ให้เขาจัดห้องให้เธอแล้ว เป็นการลงโทษ”

            “อ่อ” อี้เป่ยซีหัวเราะ รู้สึกซีดขาวหมดแรง จากนั้นอี้เป่ยเฉินค่อยๆ ลงมาจากชั้นบน เดินมาหาเธอหิ้วกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน ไม่พูดไม่จา

            “เด็กคนนี้นี่ ทำไมไม่พูดอะไรสักคำ”

            อี้เป่ยซีเม้มปาก “ไม่รู้สิคะ ถูกคุณแม่อี้ทำโทษเป็นใครก็อารมณ์เสียทั้งนั้น งั้นหนูขึ้นไปดูหน่อยนะ?”

            เธอพึงพอใจกับความเป็นห่วงของอี้เป่ยซีมาก พยักหน้า ตบๆ หลังมือของเธอ “อืม ไปเถอะ”

            อี้เป่ยซีจงใจเดินเข้าห้องของตัวเองช้าๆ การตกแต่งยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอากาศยังคงมีกลิ่นเทียนหอมสดชื่น ม่านหน้าต่างสีอ่อนยังคงพริ้วไหวเบาๆ เธอมองดูอี้เป่ยเฉินที่จัดกระเป๋าของเธออย่างตั้งใจ พูดอะไรไม่ออก

            “คิดจะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเลยหรือไง?”

            “เปล่า เดี๋ยวก็ลงไปกินข้าวแล้ว”

            “ถ้าแม่ไม่กลับมา เธอกะว่าจะไม่กลับบ้านอีกแล้วใช่ไหม”

            อี้เป่ยซีเดินไปข้างหน้า “จะเป็นไปได้ยังไง พี่ชายกับแม่ของฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่กลับบ้านได้ยังไงล่ะ” เธอมองดูเสื้อผ้าในมือของอี้เป่ยเฉิน “ฉันทำเองเถอะ”

            อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร หลีกทางมองเธอเก็บข้าวของ “เธอกับลั่วจื่อหานไปถึงขั้นไหนแล้ว?”

            “ถึงขั้นไหนอะไร พวกเราเป็นแค่เพื่อน”

            “เพื่อนที่นอนเตียงเดียวกันงั้นเหรอ”

            เธอหยุดชะงัก “พี่ ฉันไม่อยากทะเลาะอะไรกับพี่ ฉันบอกไปแล้ว ว่าฉันสิบแปดแล้ว ฉันจัดการเรื่องของตัวเองได้ พี่ไม่ต้องห่วงฉันตลอดเวลาหรอก”

            “งั้นเหรอ ถ้าฉันไม่ห่วงเธอ ก็ขึ้นเตียงกับลั่วจื่อหานไปนานแล้วใช่ไหม”

            “พี่ พี่พูดเหลวไหลอะไร” อี้เป่ยซีปิดกระเป๋าเดินทางอย่างแรง “พวกเราไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น ลั่วจื่อหานไม่ได้เป็นแบบที่พี่คิด เขาเป็นคนดีจริงๆ”

            “พวกเธอมีอะไรกันแล้ว?”

            อี้เป่ยซีระงับความต้องการที่จะระเบิดออกมา ยัดเสื้อผ้าเข้าตู้เสื้อผ้าอย่างแรง “ฉันกับลั่วจื่อหานไม่เหมือนพี่กับฉินรั่วเข่อ”

            “อ๋อ เธอหึงเหรอ?”

            เธอหัวเราะ “พี่คะ วันนี้วันหยุดควรจะพาคุณแม่อี้ออกไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ?” เธอหันหลัง “อารมณ์จะได้ดีขึ้น”

            อี้เป่ยเฉินก็หัวเราะและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยกคางเธอขึ้นบังคับให้มองหน้าตัวเอง กัดริมฝีปากของเธออย่างแรง คว้ามือของเธอที่ดิ้นรนสุดชีวิต กลับหลังหันกดเธอลงบนเตียง

            “อือ พี่เป่ย…ปล่อย…” มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือที่เรียวบางของเธอล็อคไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างยื่นเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ มือที่หยาบกระด้างลูบคลำอยู่บนผิวที่ละเอียดอ่อน อี้เป่ยซีตัวสั่น ร่างที่หนักอึ้งของเขาทับอยู่บนตัว ไม่มีช่องว่างให้ขัดขืน

            เธอหยุดดิ้นรน หลับตา น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด อี้เป่ยเฉินจึงค่อยๆ ปล่อยเธอ กอดเธอแน่นในอ้อมแขน “เสี่ยวซี พี่…”

            “พี่ ทำไมพวกเราถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไม”

            อี้เป่ยเฉินเช็ดน้ำตาของอี้เป่ยซีอย่างตื่นตระหนก “เสี่ยวซี พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะ”

        เธอหัวเราะอย่างเยือกเย็นจนชวนให้ใจสลาย “พวกเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง พี่ พวกเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”

————