ภาคที่ 4 บทที่ 172 เรียกหาภัย (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 172 เรียกหาภัย (2)

ซูเฉินเข้าวังจักรพรรดิอสูรกาย ตามตัวนิ่มเฒ่าไปเรื่อย ๆ หลังจากเดินตามทางคดเคี้ยวมาแล้ว ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงใหญ่

หน้าห้องมีแรดยักษ์นอนอยู่เป็น มันกำลังหลับลึก เป็นระดับเจ้าอสูรกายทั้งสิ้น

ตัวนิ่มเฒ่าคำนับให้พวกแรด “ผู้บัญชาการเกราะขอเข้าไปด้านใน”

แรดลืมตาตื่นแล้วเหลือบมองตัวนิ่มเฒ่า “อ้อ เป็นผู้บัญชาการเฒ่านี่เอง ! ต้องการอะไรงั้นหรือ ?”

“ฝ่าบาทส่งสมบัติมากมายมาจากแนวหน้า” ผู้บัญชาการเฒ่าตอบ

“อ้อ ได้ งั้นก็เข้าไปเถอะ !” พูดจบมันก็หลบทางให้

ประตูลั่นเอี๊ยดเปิดออก เผยให้เห็นโถงทางเดินยาวสีดำ

“ตามข้ามา ห้ามก้าวผิดเป็นอันขาด” ผู้บัญชาการเฒ่าเอ่ยกับซูเฉิน

“ขอรับ”

ผู้บัญชาการเฒ่าเดินนำเข้าไป

ซูเฉินตามเขาไว้อย่างระมัดระวัง แอบจดจำการเคลื่อนไหวเอาไว้ ไม่นานก็ออกมาเจอห้องเก็บของลับที่มีแต่สมบัติพิสดารถูกเก็บไว้ด้านใน

ตัวนิ่มเฒ่าหัวเราะ “โถงทางยาวแห่งนี้มีถึงสิบแปดค่ายกล อันตรายยิ่งนัก หากก้าวผิดสักก้าวข้ายังช่วยเจ้าไม่ไหว เป็นวิธีปกป้องห้องสมบัติน่ะ แต่พอผ่านมาได้ก็ปลอดภัยแล้ว”

ซูเฉินก่นด่าตาแก่อยู่ในใจที่ช่างเจ้าเล่ห์นัก

โถงทางเดินเต็มไปด้วยอันตรายซุ่มซ่อน แต่ยามเฝ้าที่แท้จริงของห้องสมบัติคือใบหน้าขนาดใหญ่ในศาลาต้อนรับต่างหาก และหากคิดว่าห้องสมบัติมีการป้องกันเพียงสองอย่างก็ผิดมหันต์ จริง ๆ แล้วก่อนจะเข้าศาลาต้อนรับมา ก็มีสถานที่ถึงสองแห่งที่เต็มไปด้วยค่ายกลจำกัดขอบเขตแล้ว กระทั่งเขตในห้องสมบัติยังไม่ปลอดภัยทั้งหมดด้วยซ้ำ อย่างน้อยซูเฉินก็สัมผัสได้ว่ายังมีค่ายกลจำกัดขอบเขตซ่อนอยู่ภายใต้สมบัติทั้งหลาย

ค่ายกลจำกัดขอบเขตไม่ได้ถูกใส่ไว้ในสมบัติทุกชิ้น บ้างมีบ้างไม่มี กฎการวางค่ายกลไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์หรือเป็นเหตุเป็นผลด้วยซ้ำ

กระนั้นก็ยังมีมากกว่านั้น

ซูเฉินจึงเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการ ฝ่าบาทแจ้งว่าขนของราชันอีกาเป็นสมบัติล้ำค่ามาก จำต้องเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยสูงสุด”

“อ้อ” ตัวนิ่มเฒ่าครุ่นคิดพลางเอ่ย “เจ้าหันไป”

ซูเฉินทำตาม ตัวนิ่มเฒ่าเดินไปที่มุมหนึ่ง เกิดเสียง ‘เคร้ง’ ขึ้นแล้ว กำแพงก็เปิดออก เผยให้เห็นห้องสมบัติเล็กอีกห้องอยู่ด้านข้าง

ตัวนิ่มเฒ่าจึงเอ่ย “วางไว้ตรงนี้ก็ได้”

“ขอรับ” ซูเฉินเดินเข้าไปท่าทางนบน้อมแล้ววางขนนกแยกนภาลง

วางแล้วก็ยังไม่จากไป แต่เริ่มร่ายคาถาแทน ทำให้เงินแสงไหลเริ่มเรืองและจางแสงลง

ตัวนิ่มเฒ่าถามเสียงประหลาดใจ “เจ้าทำอะไรน่ะ ?”

แม้จะเป็นเจ้าอสูรกาย แต่ก็ได้รับการเลื่อนขั้นจากจักรพรรดิอสูรกาย รับใช้ฝ่าบาทมาทั้งชีวิต ดังนั้นจึงไม่ใช่พวกเขลา แต่ขาดประสบการณ์จากโลกภายนอก ประสบการณ์ในชีวิตมีแต่จัดการเรื่องภายในและรับมือกับสถานการณ์ทั้งหลายเท่านั้น หากเป็นวิชาพลังสูญนั้นนับว่าเป็นมือใหม่โดยแท้

ซูเฉินตอบตามตรง “เงินแสงไหลมีความสามารถผนึกพลังสูญ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อแนวหน้ามาก ฝ่าบาทอยากให้ข้านำที่เหลือบกลับไป”

“แล้วขนนกแยกนภาล่ะ ?” ผู้บัญชาการเฒ่าถาม

“ข้าจะทิ้งมันไว้ให้มากพอจะคลุมขนนกมิด หากระหว่างนี้ท่านไม่แตะต้องมันก็คงไม่เป็นไร ฝ่าบาทกลับมาแล้วจะจัดการมันเอง” ซูเฉินตอบ

“เป็นเช่นนี้เอง” ผู้บัญชาการเฒ่ารับรู้และไม่ถามอีก

ซูเฉินยังพูดคุยต่อแล้วเก็บเงินแสงไหลส่วนมากเอาไว้ เหลือเพียงส่วนน้อยที่ปิดบังขนนกไว้อยู่ ซูเฉินลงอักขระเพิ่มความมั่นคงอีกหน่อย จากนั้นถอนใจโล่งอก “เสร็จแล้ว”

ลงมือสำเร็จแล้ว ซูเฉินก็ออกจากห้องเก็บของมาพร้อมผู้บัญชาการเฒ่าอย่างเรียบร้อย ไม่ทำพลาดสักจุด

ตอนกำลังจะออกมานั่นเอง ผู้บัญชาการเฒ่าก็เอ่ยขึ้น “เลี่ยเหยี่ยน เจ้าเดินทางมาไกล ทั้งยังมีหน้าที่คุ้มกันสมบัติ งานหนักเจ้าย่อมเห็นผล ไม่รั้งอยู่ที่นี่สักหลายวันก่อนจากไปเล่า ?”

ซูเฉินตอบหน้านิ่ง “ฝ่าบาทยังรอให้ข้าเอาเงินแสงไหลกลับไปอยู่ ข้าไม่กล้ารั้งรอ”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ฝืนเจ้า”

ซูเฉินบอกลาตัวนิ่มเฒ่า แล้วกลับไปหาฉือหมิงเฟิงและพวก ที่ตอนนี้กำลังเดินไปสวนดอกไม้ด้านหลังพลางคุยกับอสูรกายตัวอื่น ๆ ไปด้วย

เยี่ยเม่ยกำลังเล่าเรื่อง ค่อย ๆ เอ่ยคำขึ้นว่า “ก่อนเขาจะรู้ตัว ข้าก็ใช้ดาบเงินตวัดออกไป สังหารทหารเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นตายคาที่……”

อสูรกายตัวเล็กตัวหนึ่งเอ่ยเสียงฉงนขึ้น “ไม่ใช่ว่าหงหูขึ้นชื่อเรื่องวิชาลวงเสน่ห์และคุมจิตผู้อื่นหรอกหรือ ? แล้วทำไมถึงใช้ดาบเงินสังหารเล่า ? แล้วดาบเงินมันคืออะไร ? ไม่ใช่ว่าหงหูใช้กรงเล็บจิ้งจอกเลือดหรือ ?”

“เอ่อ…” เยี่ยเม่ยพูดไม่ออก หันไปทางฉือหมิงเฟิง

ฉือหมิงเฟิงรีบเอ่ย “ถึงหงหูจอรอบรู้วิชาลวงเสน่ห์ แต่ก็ใช้ได้ในการรบมีระบบ ไม่ใช่ในตอนที่มีดดาบตวัดไปทั่วเช่นนั้น ไม่มีจังหวะให้ลวงจิตใครได้ เพราะหากจะลวงจิตใครสักคน ศัตรูคนอื่นก็จะเข้ามาโจมตีเจ้า ดังนั้นหงหูจึงต้องต่อสู้ระยะประชิดเช่นกัน ส่วนดาบเงิน…… เป็นดาบสั้นของเผ่าคนเถื่อนน่ะ”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” ทุกคนพลันเข้าใจ

“ใช่ เป็นเช่นนั้นล่ะ” เยี่ยเม่ยปรบมือพลางกล่าว “พอข้าฟันทหารเผ่าคนเถื่อนตายแล้ว ทหารเผ่าคนเถื่อนอีกสามก็รุดหน้ามาพร้อมกัน แต่หงหูเป็นใครกันล่ะ ? ข้าจึงใช้ดาบจันทรามายาขอบฟ้าเพียงดาบเดียวสังหารสิ้น !!”

“ดาบจันทรามายาขอบฟ้า ? วิชาดาบอะไรกัน ?”

“เหมือนวิชาดาบพวกมนุษย์นะ”

“ทำไมหงหูรู้จักวิชาดาบพวกมนุษย์กัน ?”

พวกอสูรกายถกเถียงกันอีกครั้งหนึ่ง

“เรื่องนี้……” เยี่ยเม่ยหันมองฉือหมิงเฟิงด้วยสายตาอับจนหนทางอีกครา

ฉือหมิงเฟิงถอนใจ “เจ้าก็รู้ว่าจิ้งจอกเชี่ยวชาญวิชาลวงเสน่ห์ วิชาลวงเสน่ห์นี้ใช้ได้กับเผ่าคนเถื่อน และใช้กับมนุษย์ได้เช่นกัน ใช้ทำเป็นทาส หรือจะใช้เรียนรู้ก็ได้ หงหูฉลาดไม่เบา มีครั้งหนึ่งที่ลวงมนุษย์สำเร็จและเรียนรู้วิชาทั้งหลายมาจากมนุษย์นั่นได้อย่างไรเล่า”

“อ้อ อย่างนี้เอง” พวกมันทั้งหลายพยักหน้าอีก

เยี่ยเม่ยเล่าต่อ “เราก็สังหารฝ่าเข้าไป ข้าสังหารพวกมันส่วนมากอย่างกล้าหาญ พวกเราจึงถูกฝ่าบาทส่งตัวมาพร้อมกับซูเฉินเพื่อทำภารกิจไงล่ะ”

“ซูเฉินนี่ใคร ?” อสูรกายตัวหนึ่งถามขึ้น

“อ๊ะ !” เยี่ยเม่ยชะงัก “ข้าบอกว่าซูเฉินหรือ ?”

อสูรกายทั้งหมดพยักหน้า

“หูฝาดกระมัง ?”

อสูรกายทั้งหมดส่ายหน้า

เยี่ยเม่ยหันไปมองฉือหมิงเฟิงอีก

ฉือหมิงเฟิงถอนหายใจ “ไม่ใช่ซูเฉิน เป็นชูเฉิงต่างหาก พอมาถึงแดนคนเถื่อนถึงได้รู้ว่าชื่อชูเฉิงหมายถึง ‘พ่ายแพ้’ แต่มีหรือเผ่าสัตว์อสูรจะพ่ายแพ้ได้ ? ดังนั้นชูเฉิงจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเลี่ยเหยี่ยน หมายความว่าเขาตามล่าพวกเหยื่อจนฝันร้ายอย่างไรเล่า พวกเราเป็นสหายเก่าเลี่ยเหยี่ยนจึงเรียกเขาด้วยชื่อเก่าน่ะ”

เยี่ยเม่ยถอนใจโล่งอก “ใช่ ๆ ข้าหมายความเช่นนั้น แล้วเหล่าฉื……”

“แค่ก ๆ!” ฉือหมิงเฟิงกระแอมเสียงดัง

เยี่ยเม่ยรีบว่าต่อ “จริง ๆ แล้วคือ…… ที่อยากพูดคือเช่นนั้น เอาเป็นว่าเจ้าช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังก่อนที”

ฉือหมิงเฟิงจ้องนาง ทำหน้าอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา แม่นาง หยุดพูดก่อนได้หรือไม่ ?

เคราะห์ดีที่จังหวะนั้นซูเฉินก็เดินกลับมา “ดูพวกเจ้าเข้ากันได้ดีเลยนี่”

ฉือหมิงเฟิงเห็นซูเฉินมาก็ยินดีนัก รีบเข้าไปหา “ดีนักที่ท่านกลับมาแล้ว”

“อะไร นางก่อเรื่องอีกแล้วหรือ ?” ซูเฉินถาม

ฉือหมิงเฟิงอยากหลั่งน้ำตา “บอกให้นางหุบปากที ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่เลย”

ยังไม่ทันขาดคำ เยี่ยเม่ยก็ตะโกนเรียกมาจากไกล ๆ “ซูเฉิน กลับมาแล้วหรือ ?”

ซูเฉิน ?

ซูเฉินรู้สึกวูบไปเล็กน้อย

“ชูเฉิงต่างหาก ! เจ้าช่วยออกเสียงให้มันถูกหน่อยได้ไหม !?” ฉือหมิงเฟิงตะโกนตอบเสียงขุ่น “อีกอย่างชูเฉิงก็ได้เปลี่ยนนามเป็นเลี่ยเหยี่ยนแล้ว อย่างใช้ชื่อที่แปลว่า ‘พ่ายแพ้’ อีกต่อไปเลย !”

จากนั้นก็เหลือบมองซูเฉิน “ท่านเข้าใจหรือยัง ?”

ซูเฉินมองตอบฉือหมิงเฟิงด้วยความตกตะลึง ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ “ท่านนี่ยอดคนจริง !”