ภาคที่ 4 บทที่ 173 สมบัติทั้งหก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 173 สมบัติทั้งหก

ซูเฉินกับพวกออกจากวังมาโดยเร็ว และตรงเข้าป่าใกล้เคียงทันที จนกระทั่งวังลับสายตาไปจึงถอนหายใจโล่งอกออกมา

เฮ่อซื่อทรุดตัวลงกับพื้น “ข้าตกใจเกือบตาย ซูเฉิน พวกเราตกลงกันดีกว่าว่าครั้งหน้าอย่าให้เยี่ยเม่ยเข้าภารกิจแทรกซึมอีก ดีไหม ? นางไม่เหมาะกับงานประเภทนี้”

ซูเฉินนึกถึงเรื่องก่อนหน้าแล้วพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ไม่เหมาะ”

เยี่ยเม่ยมุ่ยปาก “ขอโทษนะ พอดีว่าตื่นเต้นไปหน่อย”

ฉือหมิงเฟิงปาดเหงื่อบนหน้าผาก “หน่อยหรือ ? ตลอดเวลาเลยต่างหาก !”

ซูเฉินหัวเราะ “ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ไร้เรื่องราว ต่อไปก็ระวังให้มากขึ้นแล้วกัน”

ซึ่งไม่ใช่ให้เยี่ยเม่ยคอยระวัง แต่เป็นเขาที่ระวังไม่ให้เยี่ยเม่ยต้องทำภารกิจเช่นนี้อีกต่างหาก

ความตื่นเต้นของฉือหมิงเฟิงยังไม่คลาย ยังว่าต่อเสียงขุ่น “วันนี้ท่านใจกว้างไม่น้อยเลยนะ ?”

ซูเฉินกล่าว “ก็ได้ ข้าจะมอบของในห้องสมบัติใจสีเลือดสักสองสามชิ้นให้ท่าน เท่านี้พอหรือไม่ ?”

ฉือหมิงเฟิงเบิกตา “ท่านเสนอมาสิ อย่าโยนให้ข้า !”

ซูเฉินพยักหน้า “ทุกคนได้ของ 3 ชิ้นจากคลังนอก แต่ท่านได้ 6 ชิ้น ท่านว่าอย่างไร ?”

“ได้ !” ฉือหมิงเฟิงตบเข่าฉาด

ซูเฉินเป็นผู้วางแผนและดำเนินการทั้งหมด คนอื่นแค่ตามมาด้วยเท่านั้น ดังนั้นฉือหมิงเฟิงได้ของเพิ่มย่อมยินดีเป็นหนักหนาอยู่แล้ว

“เช่นนั้นลงมือเมื่อไหร่ ?” เฮ่อซื่อถามเสียงตื่นเต้น

“ตอนนี้”

ซูเฉินวางแผนมารัดกุม พอออกจากวังมาก็ดำเนินการทันที

เขาหยิบแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกจากเสื้อ

แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดนี้คือค่ายกลเชิงพื้นที่ ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายคนได้ในระยะทางสั้น ๆ แต่ผู้ใช้จะต้องตั้งจุดเคลื่อนย้ายเสียก่อน ซูเฉินเตรียมวิชาและของมามากมายตอนแทรกซึมเข้าแดนคนเถื่อน หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าสิ่งนี้นั่นเอง

หากแต่ปราสาทแห่งนี้รัดกุมนัก มีค่ายกลปิดบังพื้นที่ภายในเอาไว้ หากคิดจะเข้าไปในสถายที่เช่นนั้นด้วยแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดน้อย ๆ แผ่นหนึ่งนั้นน่าขันยิ่ง

ปกติแล้วนี่คงเป็นไปไม่ได้

แต่มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ต่อเมื่อซูเฉินไม่ได้วางขนนกแยกนภาไว้ในห้องเก็บสมบัติเท่านั้น

ขนนกแยกนภาเป็นสิ่งของเกี่ยวพันกับพลังงานสูญที่มหัศจรรย์นักที่สามารถนำทางและให้ทางวิชาเคลื่อนย้ายได้ กระทั่งจักรพรรดิอสูรกายใจสีเลือดยังให้ค่ามันสูงส่ง ยิ่งชี้ให้เห็นว่ามันทรงพลังเพียงไหน เมื่อมีขนนกอยู่ภายในปราสาทเช่นนั้น จะข้ามผ่านเขตจำกัดภายในย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

ที่น่าเกลียดคือ ซูเฉินวางตำแหน่งเอาไว้ต่อหน้าตัวนิ่มชราแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

ที่ซูเฉินกล้าทำเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตุ๊กตากระดาษขาวให้ข้อมูลเขามามาก ไม่เช่นนั้นก็คงคิดหาทางได้ไม่เร็วเช่นนี้แน่

แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเปิดทำงาน เกิดแสงสีขาวสว่างออกมา ก่อนที่หลุมดำขนาดเล็กจะค่อย ๆ ปรากฏ สามารถเห็นภาพภายในคลังสมบัติจากอีกด้านได้เลย

“ไปกัน !” ซูเฉินเดินนำเข้าไป

เงินแสงไหลที่ปกคลุมขนนกแยกนภาไว้หายไปสิ้น และตัวขนนกก็กำลังปล่อยพลังงานสูญออกมา พลังงานสูญนี้เชื่อมกับหลุมดำกลางอากาศ ทำให้ซูเฉินปรากฏขึ้นเหนือขนนกแยกนภาได้

ซูเฉินก้าวย่างบนอากาศเบา ๆ ก่อนจะลงพื้นอย่างสวยงาม

ฉือหมิงเฟิง เฮ่อซื่อ และคนอื่น ๆ ก็ตามมาช้า ๆ

“เฮ้ย ! ที่นี่มัน……” เยี่ยเม่ยพูดยังไม่ทันจบ ซูเฉินก็รีบปิดปากนางไว้แล้วกระซิบ “อย่าเสียงดังนักสิ ! ห้องสมบัตินี่มีเจ้าอสูรกายเฝ้าอยู่ ถึงข้าจะตั้งค่ายกลแยกพื้นที่เอาไว้ แต่ถ้าส่งเสียงดังมากก็ยังรู้อยู่ดี อีกทั้งอย่าไปหยิบอะไรซี้ซั้วเล่า ให้เก็บไปตามที่ข้าบอก”

เยี่ยเม่ยกระพริบตาโตอย่างวิตกกังวลและพยักหน้า

ซูเฉินจึงเก็บมือกลับมา นางสงบลงแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปยังมุมหนึ่ง แตะมันสองสามครั้ง กำแพงพลันเปิดออกมา

ห้องสมบัติของใจสีเลือดมีทั้งของป้องกันและกับดักมากมาย แต่ซูเฉินเข้ามาจากภายใน ของป้องกันทั้งหลายจึงไร้ผล

สมบัติในห้องชั้นนอกไม่ล่ำค่าเท่าห้องชั้นใน แต่ก็มีสมบัติอยู่มากกว่า

ซูเฉินจับแหวนพลังตน เมื่อดูแล้วว่าไม่ผิดปกติ เขาก็ส่งริ้วแสงสองสามเส้นไปยังสมบัติในห้อง “ของพวกนี้มีข้อจำกัด อย่าเพิ่งไปแตะต้องมัน มาเอาของพวกนี้ก่อน เรามีเวลาน้อย เร่งมือด้วย”

การทำลายผนึกบนขนนกแยกนภาไม่ใช่ว่าไม่เสียอะไร เพราะพลังงานสูญภายในเองก็จะค่อย ๆ ถูกใช้ไป ตัวขนนกจะค่อย ๆ สลายพลังไปช้า ๆ

มีเวลาไม่มากแล้ว พวกเขาจึงไม่เสียเวลาคุย เริ่มชิงสมบัติในคลังลับของจักรพรรดิอสูรกายทันที

ซูเฉินหันเดินเข้าไปในห้องชั้นใน

เทียบกับห้องชั้นนอก ในนี้มีสมบัติน้อยกว่า นอกจากขนนกแยกนภาแล้วก็มีของอีก 6 ชิ้น ทว่าแต่ละชิ้นนั้นหายากเหลือคณา

ชิ้นแรกคือนาฬิกาทรายแก้วที่เปล่งประกายด้วยแสงดูล้ำลึก

นาฬิกาทรายนี้ไม่รู้ว่าสร้างจากอะไร เหมือนจะเป็นโลหะ แต่ไม่ใช่ทองแดง เงิน หรือทอง ดูเรียบง่ายปราศจากลวดลายใด แต่กลับมีกลิ่นอายไร้ขอบเขต

ทรายสีทองไหลอยู่ในนาฬิกาทรายนั้น แต่มันไหลย้อนจากด้านล่างขึ้นด้านบน ดูงดงามอย่างล้ำลึก

เม็ดทรายนั้นเหมือนกันกับที่ฉู่อิงหว่านใช้ที่เมืองแสงเหนือ

ดังนั้นมึนจึงถูกเรียกว่านาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา

เดิมทีนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาเป็นสมบัติสำคัญที่สุดของเผ่าคนเถื่อน ส่วนไปเอามาจากไหนไม่มีใครรู้ ราว 8,000 ปีก่อน เผ่าสัตว์อสูรแอบเข้าแดนคนเถื่อนมาชิงมันไป เหลือเม็ดทรายกาลเวลาไว้เล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นตอนที่กองทัพกำลังสวรรค์ติดอยู่ในแดนคนเถื่อน ชิงเอาทุกอย่างที่พบ ก็ดันบังเอิญได้เม็ดทรายกาลเวลามากำมือหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้ที่เมืองแสงเหนือมาก

นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาสร้างเม็ดทรายกาลเวลา หากมีมันแล้ว ก็จะมีเม็ดทรายกาลเวลาให้ใช้ไม่หมด แต่แน่นอนว่ามันผลิตได้จำกัด ทุกปีผลิตได้หยิบมือหนึ่งเท่านั้น แต่กระนั้นก็มากพอจะทำให้มันล้ำค่ามากได้แล้ว

ใจสีเลือดกัดฟันสู้เพื่อเอามันมา กระทั่งยอมฆ่าจักรพรรดิอสูรกายระดับเดียวกันเพื่อชิงมาทีเดียว

แต่ตอนนี้จะเป็นซูเฉินที่ชิงเอาผลประโยชน์สูงสุดไปเสียแล้ว

ชิ้นที่สองคือผลึกแก้วต้นกำเนิดของจักรพรรดิอสูรกาย แต่มันไม่ได้มาจากจักรพรรดิอสูรกายที่สู้กันเพื่อชิงเม็ดทรายกาลเวลา แต่เป็นจักรพรรดิอสูรกายอีกตัวที่มันสังหารได้ในเวลาใกล้เคียงกันมากกว่า ผลึกแก้วต้นกำเนิดไม่ได้หายากมากมาย แต่ผลึกแก้วต้นกำเนิดที่พลังงานภายในยังเก็บรักษาไว้ดีและไม่เสียหายนั้นหายากมาก

วิธีเดียวที่จะทำได้คือการฆ่าในกระบวนท่าเดียว

เพื่อสิ่งนี้ ใจสีเลือดสืบข้อมูลเป้าหมายนานเป็นสิบปี คอยหาโอกาสตลอด ทั้งยังสรรหาเครื่องมือต้นกำเนิดแบบใช้ครั้งเดียวและสมบัติอำพรางมาใช้ จากนั้นพรางตัว ซื้อลูกน้องอีกฝ่ายด้วยเงินมหาศาล และใช้เครื่องมือนั้นสังหารเป้าหมายในคราเดียว

หลังจากโจมตีครั้งนั้นแล้ว ใจสีเลือดก็ใช้เวลา 3 ปีเก็บตัวบ่มเพาะพลัง

เห็นได้ชัดว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้ผลึกแก้วต้นกำเนิดของจักรพรรดิอสูรกายที่ไร้ความเสียหายใดมา

ชิ้นที่สามคือโทเทมวิญญาณสายฟ้า

โทเทมวิญญาณสายฟ้ามาจากเผ่าคนเถื่อนเช่นกัน ทุกเผ่าย่อมมีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่แตกต่าง มีเหตุการณ์บังเอิญเกิดขึ้นสองสามครั้งตลอดหลายหมื่นปีของประวัติศาสตร์เผ่าคนเถื่อน หนึ่งในนั้นคือเม็ดทรายกาลเวลา และอีกหนึ่งคือโทเทมทั้งเก้า โทเทมทั้งเก้าประกอบด้วยโทเทมลม ไฟ น้ำ ดิน แสง สายฟ้า ความมืด วิญญาณ และโทเทมชีวิต แต่ละโทเทมมีพลังโบราณน่าเกรงขาม

ระบบโทเทมของเผ่าคนเถื่อนนั้นพัฒนามาโดยมีต้นแบบจากโทเทมทั้งเก้านั่นเอง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เผ่าคนเถื่อนสู้กับเผ่าสัตว์อสูรไปเรื่อย ก็เสียมากกว่าได้ โทเทมทั้งเก้าคือหนึ่งในสิ่งที่เสียไป ดังนั้นจึงเหลือโทเทมเพียงสามในเผ่าเท่านั้น อีกหกกระจายไปทั่วแดน

โทเทมวิญญาณสายฟ้า ตัวแทนพลังสายฟ้าชิ้นนี้ ตกมาอยู่ในมือของใจสีเลือด

ในฐานะหัวหน้าเขตชายแดน ใจสีเลือดมีสมบัติเผ่าคนเถื่อนอยู่มาก งานอดิเรกอย่างหนึ่งของเขาคือการบุกชายแดน หากไม่ใช่เพราะเผ่าสัตว์อสูรเองก็มีช่วงสืบพันธุ์ ชายแดนก็คงไร้ความสงบตลอดเวลา หากเป็นขบวนสัตว์อสูรขนาดเล็กคงเกิดขึ้นทุกสามวัน ขบวนใหญ่คงเกิดทุดห้าวัน ใจสีเลือดก็ยังไม่คิดมากอะไร

ชิ้นที่สี่คือหญ้าต้นน้ำ

นี่อาจเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงชิ้นเดียวในหกสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่ใจสีเลือดถือครอง ที่มาจากแดนเผ่าสัตว์อสูรจริง ๆ

หญ้าต้นน้ำเติบโตบนเทือกเขาแยกนภาของเผ่าสัตว์อสูร

เทียบกับของชิ้นอื่น ๆ มันไม่มีประโยชน์ในการสู้เท่าไหร่ แต่ความล้ำค่าของมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด

นั่นเป็นเพราะการใช้งานหลักของมันคือการปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินใกล้เคียงนั่นเอง

หญ้าต้นน้ำเติบโตที่ต้นน้ำบนภูเขา

ดังนั้นหากปลูกหญ้าต้นน้ำไว้ที่ใด กระทั่งในพื้นที่แห้งแล้ง มันก็จะสร้างบ่อน้ำขึ้นมาภายในหนึ่งปี ทำให้พื้นที่ใกล้เคียงสมบูรณ์งดงามในสิบปี หากปลูกในที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้พลังต้นกำเนิดที่นั่นแกร่งขึ้น เป็นหญ้ามหัศจรรย์โดยแท้

หรือก็คือ สมบัติชิ้นนี้มีความสัมพันธ์กับพลังต้นกำเนิดสูงมาก แม้จะเทียบกับของในตำนานอย่างหยดน้ำเพียงหยดสร้างชีวิตอุดมสุขไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าอยู่ดี

หากแต่หญ้าต้นน้ำนี้ไม่อาจใช้ได้ตามใจชอบ บ่อยครั้งที่จำต้องเอามันไปไว้ในสถานที่ที่มีพลังต้นกำเนิดหนาแน่นเพื่อฟื้นพลัง ในตอนนี้ หญ้าถูกปลูกไว้บนดินไร้เขต หากหญ้าต้นน้ำเป็นสมบัติระดับจักรพรรดิ เช่นนั้นดินไร้เขตก็เป็นอย่างน้อยระดับราชัน เห็นได้ชัดว่าใจสีเลือดเห็นหญ้านี้สำคัญเพียงไหน

แน่นอนว่าดินไร้เขตไม่นับเป็นหนึ่งในหกสมบัติของห้องชั้นใน มันเหมือนกับเงินแสงไหลที่ขนนกแยกนภาจุ่มอยู่ เป็นแค่ตัวกลางเก็บรักษาของเท่านั้น

ชื้นที่ห้าคือรูปปั้นห่านขาวโก่งคอร้องขึ้นฟ้า แต่มันไม่ได้ถูกแกะสลักขึ้น แต่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แท้จริงแล้วห่านป่าขาวตัวนี้เป็นสิ่งชีวิตประหลาดนัก ทุกปีจะตื่นขึ้นคราหนึ่ง หากตอนนั้นอยู่ในน้ำ มันก็จะดูดน้ำจนหมดแล้วแหงนหน้าร้องเพลงขึ้นฟ้า ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความพิศวง ใครที่ได้ยินจะเข้าถึงเรื่องน่าเหลือเชื่อ

หรือก็คือ ได้ยินแล้วช่วยเพิ่มพื้นฐานพลัง นิสัยใจคอ กำลัง มุมมอง และพลังจิตได้นั่นเอง ผลได้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนฟัง

สุดท้ายรูปปั้นหินนี้จึงได้ชื่อว่าศิลาดนตรีแห่งสัจธรรม

ศิลาดนตรีแห่งสัจธรรมเป็นรากฐานของความสำเร็จทั้งหลายของใจสีเลือด เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันขึ้นเป็นจักรพรรดิอสูรกายได้

ตอนที่ใจสีเลือดทะลวงขึ้นเป็นจักรพรรดิอสูรกาย มันใช้ศิลาดนตรีหลายครั้งเกินไป ดังนั้นผลที่ออกมาจึงได้น้อย กระนั้นมันก็ไม่ยอมแลกกับสมบัติอื่น เก็บเอาไว้ที่นี่เป็นที่ระลึกแทน

ของชิ้นสุดท้ายคือขวดผลึกแก้วใสขวดหนึ่ง

เมื่อมองผ่านผิวแก้วของขวด เหมือนจะมีเลือดบรรจุอยู่

เลือดเทพอสูร !

จักรพรรดิอสูรกายอยู่ขั้นสูงสุดของอสูรกาย แต่นั่นก็ยังไม่นับว่าเป็นที่สุดในสายตาพวกมันเอง

ไม่ว่าจะยืนอยู่สูงเพียงไหน แหงนหน้าขึ้นไป เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ

เช่นนี้แล้ว หากอยากก้าวต่อไป ก็ต้องเฝ้ามองและสังเกตผู้ที่อยู่เหนือกว่า แกร่งกว่าตนเอง

ดังนั้นใจสีเลือดจึงพยายามอย่างหนักให้ได้เลือดเทพอสูรขวดหนึ่งมาครอง

เพื่อสิ่งนี้ เกิดการสังหารหมู่ขึ้น 128 ครั้ง วางแผน 31 ครา เสียชีวิตไปนับล้าน ทั้งฝั่งเขาและฝั่งศัตรู !

อาจกล่าวได้ว่าสมบัติทั้งหลายเหล้านี้ทำให้ใจสีเลือดเสียเลือดและเนื้อและพลังสมองไปมากกว่าจะได้มา เพราะมันไม่ใช่เพียงของคนธรรมดา แต่เป็นหลักฐานของความกล้าหาญและความสำเร็จของใจสีเลือด ให้ภาพอำนาจหาใครเทียม

และตอนนี้พวกมันตกเป็นของซูเฉิน กระทั่งดินไร้เขตก็ด้วย ซูเฉินไม่คิดจะเหลือเศษเหล็กบนพื้นไว้ด้วยซ้ำ !!