บทที่ 174 ลืมความภักดีเพื่อผลประโยชน์
ใจสีเลือดไม่ใช่จักรพรรดิอสูรกายที่เชี่ยวเรื่องค่ายกล แท้จริงแล้วทั้งเผ่าสัตว์อสูรก็ไม่เก่ง ด้วยมันเป็นอสูร แต่แม้อสูรกายจะมีสติปัญญา แต่ความสร้างสรรค์ก็ด้อยกว่ามนุษย์มาก และด้อยกว่าเผ่าอัจฉริยะอื่น ๆ มาก
และค่ายกลก็เป็นเครื่องแสดงออกถึงความสร้างสรรค์นั้น
จึงเป็นเหตุที่แม้จะมีค่ายกลอยู่ใต้สมบัติ แต่กระทั่งซูเฉินที่ไม่เก่งเรื่องค่ายกลก็ยังสามารถแก้มันได้ง่าย ๆ
หลังจากเอาสมบัติจากคลังด้านในไปง่าย ๆ แล้ว ซูเฉินก็เดินออกมาที่คลังนอก
ทุกคนยังหยิบสมบัติกันท่าทางตื่นเต้น
แม้สมบัติในห้องชั้นนอกจะไม่ค่อยล้ำค่า แต่ก็มีมากกว่า ผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับราชันอสูรกาย 7 ชิ้น ทั้งยังอยู่ในสภาพบริสุทธิ์
“ดวงใจฝนเลือด ฟันปีศาจพองขน เสื้อคุกทะเลลึก หมอกปล้นชิง…… สวรรค์ ของดี ๆ ทั้งนั้น ! ข้าจะเป็นบ้า !” แม้ซูเฉินจะเตือนเรื่องเสียงดังหลายครั้ง แต่เฮ่อซื่อก็ยังตะโกนออกมาด้วยระงับความตื่นเต้นไม่ได้
ผู้คนหลายหมื่นเต็มใจต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิ่งของเพียงชิ้นเดียวในนี้ แต่เฮ่อซื่อกลับร่ายชื่อมันออกมาราวกับผลไม้ในตลาดสด ประสบการณ์เช่นนี้มันช่างมหัศจรรย์เสียจนอธิบายไม่ถูก แม้จะไม่ใช่ของเขา เขาก็ยังตื่นเต้นดีใจมากอยู่ดี
ซูเฉินเริ่มแก้ค่ายกลที่เหลือในห้องนอก จากนั้นก็เก็บเอาสมบัติทั้งหมดไป
สมบัติในห้องชั้นนอกที่มีค่ายกลเองก็เป็นของชั้นยอด
จิตวิญญาณแห่งการสู้ ฝันร้ายผวาลึก หญ้าหอมพลอยม่วง กระดูกฝันร้าย และอื่น ๆ ซูเฉินเก็บทั้งหมดลงถุง
ทั้งห้องถูกกวาดเรียบในไม่นาน ซูเฉินเก็บกระดูกป่นปีศาจใจสลายถุงสุดท้ายพลางว่า “เอาล่ะ ส่งของที่เจอมา พวกเจ้าเลือกได้สาม ส่วนเหล่าฉือได้หก”
แต่กลับไม่ได้ยินเสียงที่คาดไว้
ซูเฉินอึ้งไป หันไปแล้วก็เห็นเฮ่อซื่อจ้องเขาเขม็ง
“อะไรกัน ?” ซูเฉินถาม
เฮ่อซื่อกลืนน้ำลาย “ซูเฉิน ท่านก็ได้ไปมากแล้ว สมบัติล้ำค่าชั้นในเป็นของท่านทั้งหมด พวกเราได้แต่ด้านนอก…… มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ ?”
ซูเฉินหรี่ตาลง “หมายความว่า……”
เฮ่อซื่อยกแหวนพลังในมือขึ้น “ทำไมไม่เหลือของชั้นนอกไว้ให้คนที่เก็บได้เล่า ? ตุ๊กตากระดาษขาวเป็นลูกน้องท่าน ส่วนของเขาก็เป็นของท่านไป ที่เหลือก็แบ่งกัน ท่านคิดเห็นอย่างไร ?”
ซูเฉินไม่ตอบ เพียงหันมองฉือหมิงเฟิงกับเยี่ยเม่ย
ฉือหมิงเฟิงขมวดคิ้วเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนต้นคิด แต่คำของเฮ่อซื่อก็จูงใจได้มาก ในเมื่อเฮ่อซื่อใจกล้าลองขอ เขาก็ไม่คัดค้านอยากรอฟังคำตอบ
แต่เยี่ยเม่ยกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับผลึกแก้วใบเฟิงน้ำเงิน ยกปลายเล็บขึ้นกัด คิดว่าจะเอาสมบัติชิ้นไหนดีอีกสอง ไม่ได้ยินที่เฮ่อซื่อพูดด้วยซ้ำ
ซูเฉินเข้าใจ หัวเราะขึ้นพลางเอ่ย “หากปฏิเสธเล่า ? เจ้าจะว่าไง ?”
เฮ่อซื่อไม่ได้ตอบ แต่หันมองฉือหมิงเฟิง “เหล่าฉือ ข้าเชื่อว่าท่านคงสนับสนุนข้าใช่หรือไม่ ?”
ฉือหมิงเฟิงคิดเล็กน้อย “ซูเฉิน พยานรู้เห็นควรได้รับของส่วนหนึ่ง อย่างน้อยเราก็ช่วยในภารกิจครั้งนี้ ให้อีกสักหน่อยคงไม่มากไป แต่จะมากเท่าไหร่นั่นไว้คุยกัน”
ฉือหมิงเฟิงเจ้าเล่ห์ไม่น้อย ไม่ล่วงเกินซูเฉิน แต่ก็ไม่ขัดคำเฮ่อซื่อ
“เช่นนั้นก็ส่งของมาก่อน ค่อยคุยกันทีหลังได้” ซูเฉินยื่นมือออกมา
เฮ่อซื่อถอดแหวนพลังออกอีกครั้ง “ข้าว่าคุยให้จบเลยจะดีกว่า”
“หากข้ายืนยันให้ส่งของเลยเล่า ?” ซูเฉินถาม
เฮ่อซื่อหัวเราะ “ซูเฉิน ข้ารู้ว่าสู้ท่านไม่ไหว แต่หากเหล่าฉือไม่ได้ลงมือเอง ก็คงรับได้หลายกระบวนท่าอย่างไม่มีปัญหา และหากพูดเสียงดังในนี้ยังไม่ได้ จะให้ต่อสู้กันก็คง……”
ซูเฉินหรี่ตา “ได้ความกล้ามาจากเหตุนี้สินะ ? คิดว่าข้าไม่กล้าโจมตีเพราะกลัวเสียงดังออกไปข้างนอกจนคนเฝ้าประตูรู้งั้นหรือ ?”
“แล้วกล้าหรือไม่ ?” เฮ่อซื่อตอบกลับ
ซูเฉินไม่ตอบ แต่มองเฮ่อซื่อ
ผ่านไปหลายอึดใจ
ซูเฉินจึงเอ่ย “เมื่อตอนปราสาทไหลน่าตะวันตก พวกเจ้าแทรกซึมเข้าปราสาทไปก่อน และถูกซาเค่อจับได้ ตอนนั้นทุกคนยอมแพ้เรื่องเจ้าหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าไปช่วยชีวิตเจ้าไว้”
“ใช่แล้ว !” เฮ่อซื่อพยักหน้า “แต่ตอนกำลังสู้อยู่กับซาเค่อ ก็เป็นข้าทำให้มันบาดเจ็บ แล้วช่วยชีวิตท่านไว้ ข้าพูดผิดไปหรือไม่ ? เพราะงั้นเราไม่ติดค้างหนี้ชีวิตกันอีก”
ซูเฉินพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว คนอกตัญญูทั้งหลายย่อมหาเหตุผลมารองรับการกระทำตนเองทั้งสิ้น ข้าไม่แปลกใจหรอก”
เฮ่อซื่อสีหน้าบิดเบี้ยว “อกตัญญู ? แล้วที่ได้พลังจากสายเลือดมาจากเลือดของข้า จนได้วิชาแปลงกายของข้าไปเล่า ! เหตุใดจึงไม่เคยบอกว่าจะเอาความสามารถมาจากสายเลือดอสูรธารโลหิต ใช้กำลังเสริมความแกร่งตนเอง ทั้งยังมอบมันให้คนอื่น ! ข้าเห็นท่านเป็นสหาย ข้าจึงถ่อมาถึงที่นี่กับเยี่ยเม่ยและเหล่าฉือ มาทำการค้ากับท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ? ท่านใช้พวกเราเข้าวังจักรพรรดิอสูรกาย กวาดประโยชน์ทั้งหมดไป จากนั้นก็โยนของเหลือให้ราวกับเป็นขอทาน สหายเขาทำกันเช่นนี้หรือ ?”
ซูเฉินส่ายหน้าน้อย ๆ “ถ้าไม่อยากถกเถียงเรื่องนี้ ถึงข้าจะสามารถเถียงได้ว่า หากไม่มีข้าสายเลือดเจ้าก็ไร้ประโยชน์ ราคา ข้าวางแผนแทรกซึมเข้าวังจักรพรรดิอสูรกายมานานแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าทำเองก็ได้ แต่ข้าก็จะไม่เอามันมาพูดให้มากความ ตอนนี้ปมของปัญหาคือ เจ้าไม่คิดว่าข้าจะกล้าลงมือกับเจ้ากระมัง ?”
เป็นจังหวะนี้ที่เยี่ยเม่ยตัดสินใจในหัวเสร็จ เลือกสมบัติทั้ง 3 ได้ กำลังจะเอ่ยปากถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อเห็นซูเฉินเผชิญหน้าอยู่กับเฮ่อซื่อ แต่ฉือหมิงเฟิงกลับรีบดึงตัวนางไป
…ทำเพื่อป้องกันไม่ให้เยี่ยเม่ยพยายามหยุดสถานการณ์ ทั้งยังถือเป็นการจับนางเป็นตัวประกันเสีย
ในตอนนี้ ฉือหมิงเฟิงยังไม่อาจปักใจว่าจะอยู่ฝั่งใครดี
อารามนิรันดร์ก่อตั้งมานาน ไม่สนว่าใครดีชั่วอีกแล้ว มีแต่สร้างประโยชน์ได้หรือไม่
สำหรับฉือหมิงเฟิง ซูเฉินเป็นคนมีความสามารถที่น่าลงทุน ในมุมหนึ่งยังเป็นสหายที่เข้าคอกันดี แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคลังสมบัติของจักรพรรดิอสูรกาย ดังนั้นหากสถานการณ์เป็นใจ เขาก็ไม่ต่อต้านหากต้องสู้กัน
เหตุการณ์เช่นนี้หลายมุม หากเกิดกับคนอื่นได้ ก็ย่อมเกิดกับซูเฉินได้
แต่การหักหลังเช่นนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นคนคุมสถานการณ์
ฉือหมิงเฟิงรู้นิสัยซูเฉิน ดังนั้นจึงยังไม่ตั้งตนเป็นศัตรู
แม้ตัวเขาจะเป็นด่านสู่พิสดารก็ตามแต่
นอกจากซูเฉิน แค่ตุ๊กตากระดาษขาวนั่นก็รับมือยากแล้ว
ในเมื่อเฮ่อซื่อกล้าออกหน้า ก็ถือเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด เขาจำเป็นต้องรั้งตัวเยี่ยเม่ยไว้ให้ดีเท่านั้น
เช่นนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เขาก็ไม่เสียประโยชน์
ใช่แล้ว แผนของฉือหมิงเฟิงคือการยึดตัวเยี่ยเม่ยไว้ให้ดี แล้วรอดูสถานการณ์
ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ฉือหมิงเฟิงเพียงกำลังชั่งน้ำหนักสถานการณ์ รอดูว่าจะเป็นคนคุมฝ่ายไหนได้บ้าง
ฉือหมิงเฟิงย่อมพยายามหาผลประโยชน์จากการขัดคอกันของทั้งสองฝ่าย
เฮ่อซื่อยังตอบคำถาม “ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ ? ท่านบอกว่าที่นี่มีเจ้าอสูรกายเฝ้าอยู่ หากพวกนั้นรู้เราก็ตายกันหมด !”
ซูเฉินถอนหายใจ “เข้าใจละ เจ้าคิดจะใช้แผนนี้กดดันข้า แล้วชิงเอาสมบัติในห้องไปสินะ เหล่าฉือเองก็ได้ประโยชน์ เขามีตัวเยี่ยเม่ยอยู่ ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าจะตามสังหารเขาทีหลัง อย่างไรก็ดี สมบัติทั้งหมดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะผลักดันให้ถึงด่านผลาญจิตวิญญาณได้ ถึงตอนนั้นก็คงออกจากอารามนิรันดร์ไม่เกรงกลัว แล้วยังจะต้องไว้หน้าข้าอีกหรือไร ? สหายหรือ ? มีสหายได้ประโยชน์อะไร ? กินได้หรือไม่ ? พูดถูกใช่หรือไม่ ? เจ้าคิดเช่นนั้นใช่ไหมเฮ่อซื่อ ?”
“ถ้าคิดเช่นนั้นแล้วทำไม ? ท่านไม่เคยถูกใครหักหลังมาก่อนหรือ ? คนมากมายเสียเพื่อนเพราะเรื่องผลประโยชน์ ตระกูลท่านก็เคยทอดทิ้งท่านเพราะตาบอดไม่ใช่หรือไง ? ถ้ากระทั่งคนในครอบครัวยังเห็นผลประโยชน์ข้นมากกว่าเลือดและความสัมพันธ์ แล้วท่านจะให้ความสำคัญกับมิตรภาพของเราเท่าไหร่กัน ? อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ขอมากมาย แค่อยากได้หนึ่งในสี่ ไม่ได้มากมายอะไรเลย !” เฮ่อซื่อกัดฟันพูด
ซูเฉินพยักหน้า “ก็พูดถูก มันไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็เพราะเจ้าไร้ตัวเลือก ที่นี่มีคนมาก จะเอาผลประโยชน์ไปคนเดียวคงไม่ได้ แต่หากหากเจ้ายอมแบ่งกับคนอื่น คนอื่นก็จะสนับสนุนเจ้า”
“ข้าไม่……” เยี่ยเม่ยอยากเอ่ยคำ แต่ฉือหมิงเฟิงจับไหล่นางไว้ ปล่อยพลังสายหนึ่งเล่นไปทั่วร่าง ฉุดเอาคำในคอกลับลงไป
ซูเฉินทำเป็นไม่ได้ยินอะไร “เจ้าใคร่ครวญมาดี แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายอย่าพลาดไปสองอย่าง”
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาร่ายข้อผิดพลาด แค่อยากให้ท่านถอยไป ให้ข้าจากไปพร้อมกับแหวนพลังวงนี้ !” เฮ่อซื่อเอ่ยเสียงไม่อดทนรอ เขาไม่คิดจะเล่นสนุกกับซูเฉิน
ทว่าซูเฉินก็ไม่คิดปล่อยไปโดยง่าย
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยู่ฝั่งคำข้าก่อนจะดีกว่า ด้วยเหตุที่ข้าไม่จำเป็นต้องตอบตกลงได้ แม้จะเอาเรื่องการป้องกันของจักรพรรดิอสูรกายมาข่มขู่ มันก็เพราะเจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าตัวนิ่มเฒ่านั่น ทว่าเจ้าคิดผิดแล้ว เพราะแผนเดิมของข้าคือการสร้างเหตุชุลมุนมาตั้งแต่แรก เขาจะได้รู้ตัว”
“ว่าอะไรนะ ?” เฮ่อซื่ออึ้งไป กระทั่งฉือหมิงเฟิงกับเยี่ยเม่ยก็ยืนชะงักค้าง
ให้ตัวนิ่มชรานั่นรู้เรื่องงั้นหรือ ? หลอกกันเล่นกระมัง ?
“ข้าพูดจริง” ซูเฉินพยักหน้า “เจ้าลืมเหตุผลที่ข้ามาที่ชายแดนแล้วงั้นหรือ ?”
“ไม่ใช่มาเพื่อเก็บทรัพยากรหรือ ?” เฮ่อซื่อถามด้วยความฉงน
ซูเฉินเผยสายตาแสดงความสมเพช “เก็บทรัพยากรเป็นแค่ผลพลอยได้ การขยายขบวนสัตว์อสูรต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริง !”
ฉือหมิงเฟิงเปลี่ยนสีหน้าในพลันเมื่อได้ยิน
เขารู้ทันทีว่าซูเฉินไม่ได้พูดเล่น
ทำไมซูเฉินถึงต้องเข้ามาในเขตแดนเผ่าสัตว์อสูรด้วยเล่า ? แท้จริงแล้วเขาได้บอกฉือหมิงเฟิงกับเฮ่อซื่อมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่มีใครคิดเป็นสำคัญ
ทว่าซูเฉินนั้นกระจ่างแจ้งกับการกระทำตนเองยิ่งนัก
นับตั้งแต่ต้น จุดมุ่งหมายของเขาคือการทำให้ขบวนสัตว์อสูรยิ่งรุนแรงขึ้นอีก
แล้วจะลงมือทำอย่างไร ?
ก็ด้วยการท้าทายทำให้พวกมันโกรธไม่หยุดอย่างไรเล่า
ขโมยทรัพยากรไปก็แค่ทำให้เกิดผลสุดท้ายนั่นเท่านั้น นับตั้งแต่ต้น อีกฝ่ายไม่เคยคิดจะชิงทรัพยากรเป็นเหตุผลสำคัญ ของที่ได้มาเป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก
การชิงของในวังจักรพรรดิอสูรกายก็เพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกัน เป็นหนึ่งในแผนการของซูเฉิน
หากใจสีเลือดที่ตอนนี้กำลังล้ำหน้าเข้าไปในเขตแดนคนเถื่อนรู้ว่ารังตนและสมบัติทั้งหลายที่ใช้เวลานานหลายร้อยปีกว่าจะได้มาถูกชิงไป จะคิดเห็นอย่างไรเล่า ? อีกฝ่ายจะโกรธเกรี้ยวถึงเพียงไหน ?
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าขบวนสัตว์อสูรย่อมทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะต้องระบายหรือคอยฟื้นฟูความเสียหายทีหลังก็ตาม แต่ใจสีเลือดไม่มีทางปล่อยให้ขบวนสัตว์อสูรจบลงง่าย ๆ แน่หากรู้เรื่องเข้า
เช่นนี้ แรงกดดันที่เผาคนเถื่อนได้รับก็จะทวีคูณ แรงกดดันที่มีต่อกองทัพก็จะลดลง
หากต้องการทำเช่นนั้น ซูเฉินจะปล้นชิงของในนี้อย่างเงียบเชียบไม่ได้ ตัวนิ่มชราจะไม่เข้ามาในคลังสมบัติหากไร้เหตุผล ว่ากันตามทฤษฎี หากไม่ได้มีสมบัติเข้ามาเพิ่ม ก็คงใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะรู้ว่าของถูกขโมยไป
ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินต้องการ
ดังนั้นเขาย่อมต้องวางแผนสร้างเรื่องโกลาหลขึ้นเป็นแน่
เฮ่อซื่อใช้เรื่องนี้มาขู่เขานับว่ารนหาที่ตายโดยแท้ !
“จุดที่เจ้าภาพเป็นจุดที่สอง…… จริง ๆ แล้วด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ แค่กระบวนท่าหนึ่งจากข้าคงรับไม่ได้ด้วยซ้ำ” ซูเฉินพูดยังไม่ทันจบ จู่ ๆ ก็…
ฟ้าว !
หยิบดาบขึ้นมา !!!