ตอนที่ 246-1 ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ตอนที่ฉินมู่หรานเพิ่งจะถูกพาไปถึงศาลต้าหลี่ก็กำเริบเสิบสาน เชิดหน้าเอ็ดตะโร “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าพ่อข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้ากับลูกชายพี่สาวข้าเป็นใคร ข้าว่าพวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่ากล้าจับข้า จ้าวผดุงธรรมเล่า เรียกใต้เท้าจ้าวของพวกเจ้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้”

 

 

พัศดีที่คุมห้องขังโมโหแล้ว เด็กโง่คนนี้เข้ามาในคุกศาลต้าหลี่แล้วยังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ อย่างไรเสียใต้เท้าจ้าวก็เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักที่ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งด้วยตัวพระองค์เอง เป็นคนที่เด็กไร้ยศเช่นเขาสามารถเรียกตามอำเภอใจได้หรือ

 

 

“ตัวเจ้าเองยังไม่รู้เลยว่าพ่อเจ้าพี่สาวเจ้าลูกชายพี่สาวเจ้าเป็นใคร ข้าไหนเลยจะรู้” พัศดีกลอกตา ราวกับมองคนโง่ “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร เข้ามาในคุกศาลต้าหลี่แล้วก็มีเพียงฐานะเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนักโทษ เข้าไปเถอะ อยู่นิ่งๆ เสีย” เขาไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคุณชายตระกูลใด มาถึงอาณาเขตของเขาก็ต้องทำตามกฎของเขา

 

 

พัศดีผลักฉินมู่หรานเข้าไปในห้องขัง ลงกลอนประตูห้องขังเสียงดังครืนๆ

 

 

ฉินมู่หรานถูกผลักจนเซ หันหลังกลับโผเข้ามาที่ประตูห้องขังตะโกนเสียงดัง “เปิดประตู เปิดประตู ปล่อยข้าออกไป ทหาร เรียกคนมาเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าออกไป”

 

 

ไม่ว่าเขาจะโก่งคอตะเบ็งเสียงเพียงใดก็ไม่มีใครสนใจ ฉินมู่หรานจึงร้อนรน มองห้องขังที่สกปรกแห่งนี้เบื้องลึกในใจเขาก็เกิดความหวาดกลัว ความหวาดกลัวชนิดนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

 

 

กว่าคนที่ท่านเสนาบดีฉินบิดาเขาจัดเตรียมจะมาเปลี่ยนห้องขังให้เขา ร่างทั้งร่างเขาก็ผิดปกติเล็กน้อย กอดเข่าหดตัวสั่นระริกอยู่ที่มุมกำแพง

 

 

ท่านเสนาบดีฉินที่ได้ข่าวก็ตบโต๊ะ ในดวงตาที่หลุบลงมีความอาฆาตแวบผ่าน

 

 

เพราะการฟ้องร้องคดีครั้งนี้ สาส์นที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจท่านเสนาบดีฉินในราชสำนักจึงกองราวกับผืนหิมะ โทษก็คือสอนบุตรไม่เข้มงวดปล่อยให้บุตรกระทำชั่ว แม้แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนยังตกใจ ยังตั้งใจเรียกท่านเสนาบดีฉินไปไต่ถาม

 

 

ท่านเสนาบดีฉินคุกเข่ารับโทษ “บุตร…บุตรชายคนเล็กผู้นั้นของกระหม่อมถูกสตรีในบ้านตามใจจนเสียคน กระหม่อมละอายใจนัก! แต่แม้บุตรชายกระหม่อมจะไม่ร่ำเรียนไร้ความสามารถเล็กน้อย เรื่องผิดกฎหมายกลับไม่กล้าทำ”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็เป็นพ่อคน ย่อมเข้าใจสิ่งที่เสนาบดีฉินพูด เขานึกถึงฉินมู่หย่วนบุตรคนโตของเสนาบดีฉินอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็มีความรู้โดดเด่นแล้ว ยังมีซูเฟยในวังที่หลายปีมานี้ก็เชื่อถือได้อย่างถึงที่สุด ทั่วทั้งเมืองหลวงตระกูลใดบ้างที่ไม่มีบุตรไม่เอาอ่าว สีหน้าของเขาจึงดีขึ้นเล็กน้อย ซ้ำยังปลอบขวัญเสนาบดีฉิน “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล จ้าวเฉิงซวี่ศาลต้าหลี่เป็นผู้มีความสามารถ จักต้องสืบหาความจริงคืนความยุติธรรมให้คุณชายได้โดยเร็ว”

 

 

จ้าวเฉิงซวี่ในตอนนี้กำลังร้อนอกร้อนใจอยู่ ผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ไม่เพียงแต่ฉินมู่หรานเปลี่ยนปากคำ ไม่ยอมรับเรื่องที่ตนฉุดแม่นางตระกูลจางเข้าจวนก่อนหน้านี้ แม้แต่เด็กรับใช้ที่ชื่อเอ้อร์หนิวจื่อผู้นั้นยังแก้ปากคำ บอกว่าสิ่งที่สารภาพไปก่อนหน้านี้ถูกโบยให้สารภาพ คุณชายของเขาไม่เคยฉุดแม่นางตระกูลจางอะไรอย่างสิ้นเชิง

 

 

นี่ทำให้จ้างเฉิงซวี่โมโหแทบแย่แล้ว คุกศาลต้าหลี่ป้องกันอย่างเข้มงวด อยู่ในสายตาเขาแล้วยังสามารถส่งข่าวได้ เห็นได้ว่าเขาผู้เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ล้มเหลวมากเพียงใด

 

 

ฉินมู่หรานผู้นั้นมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง ร้องตะโกนให้เขาปล่อยตัว “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าแม่นางตระกูลจางอะไรนั่น ข้าไม่รู้จักมาก่อนเลย ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ยังไม่รีบปล่อยข้ากลับจวนอีก! สถานที่ผุพังอะไร ข้าไม่อยากอยู่แม้แต่เสี้ยวยามเดียว”

 

 

เด็กที่ยังไม่โตคนหนึ่งกล้าเอ็ดตะโรใส่ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเช่นเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจ้าวเฉิงซวี่รู้สึกอย่างไร เขาโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พาเข้าไป”

 

 

ปล่อยคนหรือ กว่าจะจับเขาเข้ามาได้ จะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด “สืบ สืบเบาะแสให้ข้าต่อ” จ้าวเฉิงซวี่กล่าวด้วยความเคียดแค้น ห่านป่ายังทิ้งเสียง เขาไม่เชื่อว่าเขาจะหาพยานอื่นไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยสวมชุดเข้ารูปตีคนอยู่ในสนามฝึกยุทธ์ อ้อ ยังมีอีกสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างมากเรียกว่าการประลอง เสิ่นเวยบอกแล้วว่า ไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว ดูสิว่าพวกเขาตั้งใจฝึกซ้อมหรือไม่

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยพูดประโยคนี้หน้าไม่แดงใจไม่เต้น แต่มั่นอกมั่นใจ อันที่จริงนางก็แค่หาข้ออ้างตีคนก็เท่านั้นเอง ปีกแต่ละคนยังไม่แข็งความคิดก็ใหญ่เพียงนี้แล้ว ยังกล้าวิ่งหนีจากซีเจียงมาถึงเมืองหลวง แม้เสิ่นเวยจะดีใจต่อการมาถึงของพวกเขาอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาขาดการฝึกซ้อม เด็กแสบเหล่านี้ต้องจัดการให้ดีสักหน่อย ต้องให้พวกเขารู้ว่าแผ่นฟ้าสูงแผ่นดินหนาเพียงใด

 

 

มิเช่นนั้นแต่ละคนต่างก็คิดว่าสวรรค์เป็นลูกคนโตตนเป็นลูกคนรอง ปล่อยออกไปแล้วจะไม่สร้างหายนะให้นางหรือ ต้องรู้ว่าที่นี่คือเมืองหลวง ป้ายประตูหล่นลงมาทับคนสามคนสองคนในนั้นก็คือผู้มีตำแหน่งสูง อีกคนหนึ่งก็คือราชนิกุลของเมืองหลวง ดังนั้นนางต้องตีความยโสโอหังของพวกเขาออกไป ให้พวกเขารู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัว

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยพูดว่าจะประลองสีหน้ายังมีรอยยิ้มน้อยๆ เหล่าทหารเด็กนอกจากฟังจงหลี่กับหลี่จื้อที่ได้เห็นความร้ายกาจมาก่อนแล้วคนที่เหลือต่างก็รู้สึกสมเหตุสมผล คุณชายสี่กลายเป็นจวิ้นจู่เหนียงเหนียง พวกเขาล้วนรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมเล็กน้อย เห็นสตรีที่อายุไล่เลี่ยกับพวกเขายืนยิ้มแย้มอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เทียบคุณชายสี่ที่ฉลาดกล้าหาญในความทรงจำไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงประมาทข้าศึก

 

 

มีเพียงโอวหยางไน่ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ กระตุกมุมปาก กล่าวในใจ ความหน้าไม่อายของจวิ้นจู่เพิ่มขึ้นทุกวันจริงๆ! ชายห้าวหาญที่มีชื่อเสียงในกองทัพเมื่อวันวานผู้นี้เช่นเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มที่อ่อนวัยหนึ่งกลุ่ม สายตาที่มองกองทหารเด็กของเขาเห็นใจอย่างยิ่ง อืม ยังมีความดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่อีกหลายส่วน

 

 

เป็นดังคาด แรกเริ่มยังคงเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสิ่นเวยหนึ่งคนต่อสองคน สี่คน แปดคน…ท้ายที่สุดก็ขยับขยายเป็นกองทหารเด็กทั้งหมดกรูเข้ามาพร้อมกัน

 

 

เสิ่นเวยปราดเปรียวประหนึ่งผีเสื้อบุกซ้ายจู่โจมขวาท่ามกลางการตีโอบล้อมของกองทหารเด็ก ร่างกายเคลื่อนย้ายราวกับสายฟ้า ออกมือตรงไปตรงมาและคล่องแคล่ว แสดงฝีมืออันเชี่ยวชาญท่ามกลางกองทหารเด็กสี่ร้อยคน

 

 

ไม่นานนัก เหล่ากองทหารเด็กก็ทยอยกันล้มลง มีเพียงเสิ่นเวยที่ยังคงยืนอยู่ในสนามอย่างสง่างาม

 

 

มองเหล่ากองทหารเด็กที่ร้องโอดโอยอยู่ทั่วพื้น สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นเวยก็เคร่งขรึม “เป็นอย่างไร ยังคิดว่าตัวเองเก่งมากอยู่อีกหรือไม่ หลายคนเพียงนี้ยังสู้ข้าที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าไปเอาความหยิ่งยโสมาจากไหน เอาความทะนงตนมาจากไหน ลุกขึ้น ลุกขึ้นตั้งแถวทั้งหมดเดี๋ยวนี้!”

 

 

ตามเสียงตะโกนของเสิ่นเวย เหล่ากองทหารเด็กบนพื้นก็กระโดดขึ้นมาราวกับถูกไขลาน ตั้งแถวเป็นแปดแถวยืนรับคำสั่งสอนอยู่ตรงหน้าเสิ่นเวยด้วยความรวดเร็ว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลยแม้แต่คนเดียว

 

 

ในใจเสิ่นเวยมีความพอใจแวบผ่าน แต่กลับยังคงปั้นสีหน้าเคร่งขรึม “กล้ามากใช่หรือไม่ ความคิดใหญ่มากใช่หรือไม่ กล้าไม่บอกไม่กล่าวก็แอบหนีมาเมืองหลวงแล้ว หากระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นมา ใครจะมารับผิดชอบ ข้าสอนพวกเจ้าแล้ว เป็นทหารผู้หนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเชื่อฟังคำสั่ง พวกเจ้าลืมไว้ในท้องหมาแล้วใช่หรือไม่ บนตัวพวกเจ้าข้าทุ่มเทความตั้งใจไปมากน้อยเพียงใด พวกจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ”

 

 

สายตาของเสิ่นเวยกวาดผ่านใบหน้าของพวกเขาช้าๆ ถามพวกเขาจนพากันก้มหน้างุด อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ตามคำตำหนิแต่ละคำๆ ของเสิ่นเวย เหล่ากองทหารเด็กก็หาความรู้สึกของคุณชายสี่เจออีกครั้ง ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เป็นคุณชายสี่หรือว่าจวิ้นจู่ คนผู้นี้ก็คือคนที่พวกเขาเลื่อมใสที่สุด! ความคาดหวังที่จวิ้นจู่มีต่อพวกเขาสูงเพียงนั้น พวกเขากลับบ่มเพาะความรู้สึกทะนงตน ยังจะมีหน้ามาพบจวิ้นจู่อีก

 

 

“จวิ้นจู่ พวกข้าผิดไปแล้ว ท่านลงโทษพวกข้าเถิด!” ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อที่นำหน้าก้าวออกมาก่อน

 

 

เหล่ากองทหารเด็กที่เหลือก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเช่นกัน คุกเข่าข้างเดียว “จวิ้นจู่ ท่านลงโทษพวกข้าเถิด พวกข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านจะลงโทษพวกข้าเช่นไรก็ได้”

 

 

เสิ่นเวยมองพวกเขาเงียบๆ สายตากวาดผ่านร่างของพวกเขาทุกคน คนที่ถูกเสิ่นเวยจ้องมองทั้งหมด ต่างก็ยืดหลังตรงอย่างอดไม่ได้ มุมปากของเสิ่นเวยกระตูกขึ้น ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ทั้งหมดลุกขึ้นเถิด”

 

 

เมื่อพวกเขาลุกขึ้นยืนตั้งแถวใหม่เรียบร้อยแล้ว เสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “ตอนยังเด็กใครบ้างไม่เคยทำผิด ข้าไม่กลัวพวกเจ้าทำผิด แต่หลังจากทำผิดแล้วพวกเจ้าต้องรู้ว่าผิดตรงไหน ความผิดเดิมอย่าได้ทำซ้ำเป็นรอบสอง ครั้งนี้ข้าให้พวกเจ้าจำไว้ก่อน หลังจากนี้พวกเจ้าอยู่ในเมืองหลวง อยู่ในจวนจวิ้นอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมาบันทึกชื่อ พวกเจ้าก็จะอยู่ภายใต้นามของข้าอย่างเป็นทางการ แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ว่า ที่นี่คือเมืองหลวง พวกเจ้าทำอะไรต้องสงบเสงี่ยม ไม่อาจต่อสู้อย่างโจ่งแจ้งกับผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลได้ ยิ่งไม่อาจเกิดความคิดยโสโอหังได้ คนที่ทำได้ก็อยู่ต่อ คนที่ทำไม่ได้ก็ก้าวออกมาข้าจะส่งเจ้ากลับซีเจียง”

 

 

บนใบหน้าเหล่ากองทหารเด็กมีความตื่นเต้นแวบผ่าน แต่ละคนยืนตรงยิ่งขึ้น ไม่มีใครก้าวออกมาเลยสักคนเดียว

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าว “ดีมาก ในเมื่อไม่มีใครก้าวออกมาเช่นนั้นก็อยู่ในจวนจวิ้นอ๋องดีๆ ทุกวันขยันฝึกฝน พวกเจ้าเองก็รู้ดี ข้าเป็นคนใจกว้าง ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือว่าของใช้ที่ให้พวกเจ้าล้วนดีที่สุด พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”

 

 

“ไม่ทำให้จวิ้นจู่ผิดหวังแน่นอนขอรับ” เหล่ากองทหารเด็กตะโกนพร้อมกัน ใช้เสียงที่อ่อนวัยของพวกเขาตะโกนคำสาบานของพวกเขาออกมา ยังมีความปรากรถนาอันแรงกล้าอีกด้วย

 

 

เสิ่นเวยจึงวางใจจากไป มีกองทหารเด็กหนึ่งกลุ่มนี้อยู่ในจวน ความรู้สึกด้านความปลอดภัยของนางก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่เด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานผู้นั้นตายอยู่ในศาลต้าหลี่อย่างน่าสงสัย ความไม่สบายใจของเสิ่นเวยก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก นางตระหนักถึงขุนนางผู้มีคุมอำนาจได้อย่างตื่นตัวอีกครั้ง ตระหนักได้ว่าท่านเสนาบดีฉินไม่ได้ไร้พิษภัยอย่างเช่นที่นางคิดแน่นอน คิดดูแล้วก็ใช่ เป็นถึงอัครเสนาบดีของราชสำนัก บ้านภรรยาขององค์ชาย จะไร้พิษภัยได้อย่างไร

 

 

อันที่จริงนี่ก็โทษเสิ่นเวยที่ประมาทข้าศึกไม่ได้ เป็นเพราะการสำรวจจวนเสนาบดีฉินครั้งนั้นง่ายดายเกินไปจริงๆ กระทั่งนางตัดสินท่านเสนาบดีฉินคนผู้นี้ผิดไป

 

 

แต่ตอนนี้นางรู้แล้ว ตั้งแต่คืนนั้นที่ไปสำรวจจวนเสนาบดีฉินกับสวีโย่วอีกครั้ง เสิ่นเวยก็รู้สึกว่าจวนเสนาบดีฉินมีความรู้สึกขัดแย้งชนิดหนึ่ง ก่อนหน้านี้การป้องกันในจวนเสนาบดีหละหลวมเกินไป ตอนนี้ก็เข้มงวดเกินไป เข้มงวดพอๆ กับส่วนภายในพระราชวัง นี่แปลกประหลาดเล็กน้อย!

 

 

ฝั่งตะวันตกของพระราชวังคือที่ตั้งของตำหนักเย็น เอาไว้ขังนางสนมผู้ทำผิดจำนวนหนึ่ง ปกติน้อยอย่างยิ่งที่จะมีคนก้าวเข้ามาที่นี่ สวีโย่ว หลานชายที่ฮ่องเต้ยงเซวียนโปรดปรานที่สุด คุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ผิงจวิ้นอ๋องที่เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ครึ่งปีหลังกลับปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ข้างกายเขาไม่ได้พาคนมาแม้แต่คนเดียว สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนดูขัดแย้งกับทัศนียภาพที่ทรุดโทรมนี้

 

 

สวีโย่วหยุดฝีเท้าอยู่หน้าตำหนักแห่งหนึ่งบริเวณริมสุด เขาเงยหน้ามองประตูตำหนักลายพร้อมเล็กน้อย

 

 

องครักษ์ที่เฝ้าประตูเข้ามาทำความเคารพ “คารวะผิงจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สวีโย่วไม่ได้เอ่ยปาก แสดงป้ายคำสั่งในมือ ยกเท้าเดินเข้าไปข้างในทันที องครักษ์ผู้นั้นถอยกลับไปยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขัดขวางเลยแม้แต่น้อย