ตอนที่ 246-2 ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

แทนที่จะพูดว่านี่คือตำหนักแห่งหนึ่ง ไม่สู้พูดว่านี่คือเรือนที่ผุพังทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกไม่มีคนจัดการ บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ราวกับไม่ได้กวาดมาเป็นเวลานาน ทุกหนทุกแห่งทั่วตำหนักต่างก็มีกลิ่นอายของความเสื่อมโทรม

 

 

ได้ยินเสียงไอที่รุนแรงดังมาจากข้างในตำหนักหลักมาแต่ไกลๆ หัวใจสวีโย่วก็บีบแน่นอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้แล้ว จึงได้ยินเสียงสนทนาข้างใน

 

 

“องค์ชาย ท่านดีขึ้นหรือไม่ ท่านไอมาครึ่งเดือนแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะไปขอองครักษ์หน้าประตูให้ผ่อนผันสักหน่อย” เสียงที่เป็นกังวลของหญิงผู้หนึ่ง

 

 

“ไม่…ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปขอพวกเขา พวกเขาเองก็หมดหนทาง เจ้าอยู่ห่างข้าหน่อย ระวังจะติดโรค” นี่คือเสียงของชายหนุ่มวัยเยาว์ อาจเป็นเพราะป่วย จึงฟังดูไม่มีเรี่ยวแรง

 

 

“ท่านพี่ไท่จื่อ!” สวีโย่วเรียกเสียงเบาอยู่หน้าประตูตำหนัก

 

 

ชายหญิงท่าทางเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งในตำหนักหันหน้าพร้อมกัน ชายผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบกว่าปี ซูบผอม ผิวขาวซีด ร่างทั้งร่างต่างก็พิงอยู่บนตั่งนุ่ม ดูท่าทางอ่อนล้า มีเพียงดวงตาหนึ่งคู่ที่ใสสะอาดเป็นประกาย

 

 

หญิงที่ดูเหมือนสตรีที่ออกเรือนแล้วผู้นั้นสวมชุดสีเลือดหมูกึ่งเก่า บนศีรษะรวมผมอย่างง่ายๆ นอกจากปิ่นหนึ่งอันแล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว

 

 

“ไท่จื่อเฟย!” สวีโย่วประสานมือให้นาง หญิงผู้นั้นรีบเคารพกลับ ในดวงตามีความดีใจแวบผ่าน “คุณชายใหญ่นี่เอง!”

 

 

“ร่อแร่จนถึงก้าวนี้แล้ว อาโย่วเจ้าเปลี่ยนคำเรียกเถิด เป็นแค่ไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ ไม่อาจนำปัญหามาให้เจ้าได้” มุมปากชายบนตั่งนุ่มยกยิ้มเสียดสี ทว่าสีหน้าลับสงบนิ่งอย่างมาก คล้ายกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นไม่ใช่ตนเอง “ข้าอยู่ที่นี่เฉยๆ ก็ไม่มีใครมา มีเพียงอาโย่วที่ยังนึกมาเยี่ยมข้าได้ หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องมาแล้ว ที่นี่อัปมงคล ผู้ใดเข้ามาผู้นั้นจะโชคร้าย” ขณะที่พูดก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

สวีโย่วเร่งฝีเท้าเข้าไปนั่งข้างๆ เขา ยกมือวางลงบนข้อมือของเขา ข้อมือข้างนั้นทั้งเล็กทั้งขาวซีด เส้นเลือดข้างในต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

“อย่าเสียแรงเปล่าเลย ร่างกายที่ทรุดโทรมนี้ของข้าก็แค่ทุกข์ทรมานมานานแล้ว วันไหนทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ก็หลุดพ้นแล้ว” ชายหนุ่มปิดปากหายใจหอบกล่าว

 

 

สวีโย่วไม่สนใจ เพียงตั้งใจจับชีพร ชายผู้นั้นเห็นท่าที ก็ทำได้เพียงปล่อยเขาไปอย่างจนใจ หญิงผู้นั้นยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวลมาโดยตลอด ตอนที่มองชายบนตั่ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความรักและศรัทธา

 

 

“ท่านพี่ไท่จื่อถูกลมหนาว ดื่มยาไม่กี่วันก็หายแล้ว” สวีโย่วเก็บมือ กล่าวเสียงเรียบ

 

 

ขันทีชราที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องก็คุกเข่าลงเสียงดัง น้ำตารื้นร้องขอ “คุณชายใหญ่ ท่านโปรดคิดหาวิธี ไม่ว่าอย่างไรก็นำยามาให้องค์ชายสักหน่อยเถิด องค์ชายไอมาครึ่งเดือนแล้ว ล่าช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“คาดไม่ถึงว่าพวกเขากล้าตัดยาท่าน!” สวีโย่วได้ยินขันทีพูด บวกกับบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เขายังจะมีอะไรไม่เข้าใจอีก “ฝ่าบาทไม่ได้ตัดสินโทษท่าน พวกเขากลับย่ำยีท่าน ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าจะรายงานฝ่าบาท” สวีโย่วกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

 

 

แม้ว่าจะตกอับ ต่อให้จะถูกฝ่าบาทกักขัง แต่นั่นก็คือบุตรหลานฮ่องเต้ เป็นบุตรแท้ๆ ของฝ่าบาท แต่กลับถูกบ่าวชั้นล่างย่ำยีถึงขนาดนี้ จะไม่ให้สวีโย่วโกรธได้อย่างไร

 

 

ทว่าชายวัยหนุ่มกลับดึงมือของสวีโย่วไว้ “เจ้าน่ะ ไม่ใช่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแล้วหรือไร เหตุใดยังใจร้อนเช่นนั้นเหมือนตอนยังเด็กอยู่อีกเล่า ไม่มีประโยชน์ เพียงแค่คนทนเห็นข้าได้ดีไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว ไยจะต้องยั่วโทสะเสด็จพ่อเพื่อข้าด้วยเล่า” บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

 

นี่ทำให้สวีโย่วยิ่งลำบากใจ ข้างนอกใครบ้างไม่บอกว่าเขาสุขุม มีเพียงพี่ชายผู้เมตตาผู้นี้ที่ยังเห็นเขาเป็นเด็กใจร้อนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งผู้นั้น “ได้ ข้าไม่ไป กลับไปข้าจะแอบหาวิธีส่งยามาให้ท่าน”

 

 

หญิงที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจใหญ่หนึ่งครา คารวะสวีโย่วอย่างตั้งใจจริง “ข้าขอบคุณคุณชายใหญ่ยิ่งนัก” ช่วงนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงไอของสามีตน หัวใจของนางก็บีบแน่นขึ้นมา แม่นมข้างกายนางคิดหาวิธีนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่สามารถไปเอายามาได้ นางแทบจะหมดหวังแล้ว ยังดีที่คุณชายใหญ่มา จิตใจนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

 

 

สวีโย่วรีบหลบออกมา มองไปรอบด้าน กล่าวต่อ “กลับไปข้าจะหาของส่งมาอีก ที่นี่ทรุดโทรมเกินไปแล้ว ท่านเองก็ไม่ต้องกังวล ข้ามาหาท่านฝ่าบาททรงทราบ และอนุญาตแล้ว”

 

 

มองเห็นแววตาที่ดื้อรั้นของลูกผู้น้องคนนี้ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจไม่ได้ปฏิเสธ เขามองหญิงผู้นั้น กล่าวเสียงอ่อนโยน “ดูแลข้ามาทั้งคืนเจ้าก็คงเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักเถิด ข้าจะคุยกับอาโย่วสักหน่อย”

 

 

หญิงผู้นั้นเข้าใจว่าพี่น้องสองคนนี้ต้องการจะพูดคุยกัน จึงถอยออกไปด้วยความเคารพ

 

 

“อาโย่ว ข้าคล้ายได้ยินว่าเจ้าแต่งภรรยาแล้วหรือ เป็นบุตรสาวตระกูลใด” ชายวัยหนุ่มมองสวีโย่วด้วยแววตาอ่อนโยน ในดวงตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ

 

 

สวีโย่วนึกถึงเสิ่นเวย อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเช่นกัน “เป็นหลานสาวของผู้เฒ่าจงอู่โหว บุตรสาวคนโตบ้านสาม” วันนี้ก่อนเขาออกมายังได้ยินนางบ่นว่าอยากจัดการกองทหารเด็กกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่าจัดการถึงไหนแล้ว

 

 

ชายวัยหนุ่มเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของสวีโย่ว ในใจก็รู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ชั่วพริบตาก็ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว ลูกผู้น้องที่เคยหัวแข็งผู้นั้นก็แต่งภรรยาแล้ว “เช่นนั้นก็เป็นหลานสาวตาของแม่ทัพใหญ่หร่วนสินะ น้องสะใภ้คงจะงามล่มเมืองเป็นแน่ใช่หรือไม่” เขาหยอกล้อหนึ่งประโยค

 

 

สวีโย่วลูบจมูก กล่าวอย่างตั้งใจ “งามอย่างยิ่ง ที่สำคัญคือน้องอยู่กับนางแล้วสบายใจ นางดีต่อน้องมากนัก”

 

 

ชายวัยหนุ่มยิ้มแล้ว “เช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย จักต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน!” เหมือนเจียงซื่อ ปฏิบัติต่อตนด้วยความลึกซึ้งจริงใจ ผ่านความยากลำบากกว่าสิบปีกับตนที่นี่ ตนรู้สึกผิดต่อนางยิ่งนัก!

 

 

สวีโย่วพยักหน้า คิดแล้วจึงกล่าวต่อ “ท่านพี่ไท่จื่อท่านเองก็อย่างเพิ่งท้อใจ ข้าว่าท่าทีสองปีนี้ของฝ่าบาทผ่อนคลายลงเล็กน้อย ข้าจะคิดหาวิธีขอความเมตตาแทนท่าน ดูว่าจะสามารถให้ฝ่าบาทปล่อยท่านออกมาได้หรือไม่”

 

 

ชายวัยหนุ่มโบกมือ “เจ้าอย่าได้ทุ่มเทแรงเพียงนั้นเลย ต่อให้เสด็จพ่อจะยอมปล่อย คนเหล่านั้นก็ไม่อาจยอมอ่อนข้อได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ข้าออกหรือไม่ออกไปจะแตกต่างอะไร ตำหนักโยวหมิงเองก็ดียิ่งนัก เงียบสงบ ข้าอยู่จนชินแล้ว”

 

 

หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “แต่ว่ามีบางเรื่องที่ยังต้องขอให้เจ้าช่วยจริงๆ เจียงซื่อมีครรภ์แล้ว ภายใต้สภาพแวดล้อมย่ำแย่เช่นนี้ตั้งครรภ์ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว บางทีชั่วชีวิตนี้ของพี่ก็มีโอกาสนี้ที่จะได้เป็นพ่อคนแล้ว เจียงซื่อผ่านความยากลำบากกับข้ามาสิบปี แม้ข้าจะไม่อยู่แล้ว ข้าเองก็หวังว่าข้างกายนางจะมีลูกอยู่เป็นเพื่อนนาง อาโย่ว พี่ขอให้เจ้าช่วยปกป้องเด็กคนนี้ไว้ให้ได้” เสียงของเขาเบาอย่างยิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความภาวนา

 

 

สวีโย่วตกใจเล็กน้อย กุมมือของชายวัยหนุ่ม กล่าวอย่างตั้งใจจริง “ท่านพี่ไท่จื่อวางใจเถิด ข้าจะต้องปกป้องลูกของท่านให้ได้ ท่านพี่ไท่จื่อท่านลองคิดดูให้ดีอีกทีเถอะ เพื่อลูกท่านเองก็ฮึกเหิมขึ้นมายิ่งนัก” เสียงของเขาเบาอย่างยิ่ง เพราะเขารู้ว่าสิบปีนี้ไท่จื่อเฟยไม่ตั้งครรภ์หนีไม่พ้นฝีมือของคนเหล่านั้นข้างนอก พวกเขาทนเห็นท่านพี่ไท่จื่อมีทายาทไม่ได้ หากตอนนี้ถูกพวกเขารู้ว่าไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาเขาก็ไม่กล้าคิดแล้ว

 

 

ดวงตาของชายวัยหนุ่มกะพริบวาบ คล้ายกำลังครุ่นคิด สวีโย่วเองก็ไม่เร่งเขา เพียงแต่รออย่างอดทน นานอย่างยิ่งจึงได้ยินเขาหัวเราะเสียงเจื่อนหนึ่งครา กล่าว “อาโย่ว ข้าจะพยายามแล้วกัน” แต่จะสามารถทนรอจนถึงวันนั้นที่จะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งได้หรือไม่เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน

 

 

ได้ยินประโยคนี้สวีโย่วก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว ขอเพียงแค่ท่านพี่ไท่จื่อไม่ละทิ้ง เขาไปโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมที่ฝ่าบาทอีก ให้ทหารมังกรดูแลเงียบๆ อีก สถานการณ์ก็จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ตอนนี้เขาโตแล้ว ในมือมีอำนาจแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ถูกขังอยู่ในจวนจิ้นอ๋องทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยอีกแล้ว ไม่ใช่เด็กอ่อนแอที่ถูกท่านพี่ไท่จื่อปกป้องไว้ข้างหลังผู้นั้นอีกแล้ว ควรจะถึงเวลาที่เขาต้องทำเพื่อท่านพี่ไท่จื่อแล้ว

 

 

คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สวีโย่วกล่าว “ท่านพี่ไท่จื่อไม่ต้องกังวล กลับไปแล้วข้าจะหาวิธีส่งหมอเข้ามาตรวจอาการของท่านและพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟย”

 

 

ทว่าชายวัยหนุ่มกลับโบกมือปฏิเสธ “เจ้าคิดหาวิธีส่งยาเข้ามาได้ก็พอแล้ว หมอจะดึงดูดสายตาเกินไป”

 

 

บนใบหน้าของสวีโย่วมีความเหนียมอายปรากฏขึ้นหลายส่วน “ไม่เป็นไร น้องสะใภ้ท่าน น้องสี่ของข้ามีแผนเจ้าเล่ห์เยอะที่สุด นางจะต้องคิดหาวิธีได้แน่นอน” หยุดครู่หนึ่ง ดวงตาเป็นประกาย ประหนึ่งเก็บของล้ำค่าไว้กับตัวร้อนใจอยากเอาออกมาโอ้อวดผู้อื่น “ท่านพี่ไท่จื่อท่านรู้หรือไม่ว่า น้องสี่ของข้าเป็นหญิงอัศจรรย์ ข้าได้รับระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องนี้ยังมีคุณงามความดีครึ่งหนึ่งของนางด้วย ซีเจียงได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่มิใช่หรือ แคว้นซีเหลียงถูกตีจนตอบโต้ไม่ได้ รังเก่าล้วนถูกพวกเราทำลายแล้ว อ๋องซีเหลียงกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งล้วนถูกจับเป็นเชลย นี่ล้วนแต่เป็นฝีมือน้องสี่ของข้า ท่านพี่ไท่จื่อ ข้าจะบอกอะไรท่านให้…” สวีโย่วโอ้อวดคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของน้องสี่เขาราวกับสตรีช่างพูดช่างคุย

 

 

ชายวัยหนุ่มบ้างก็ตกใจ บ้างก็ชื่นชม คนทั้งสองมักจะส่งเสียงหัวเราะที่รู้ใจกันออกมาบ่อยครั้ง

 

 

นอกตำหนัก เจียงซื่อที่เดิมควรพักผ่อนอยู่ในห้องกลับยืนอยู่ที่นี่ สีหน้าของนางมีรอยยิ้มที่ไม่ยินดียินร้าย ทว่าในแววตากลับเต็มไปด้วยน้ำตา องค์ชายไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว

 

 

สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ ตั้งแต่องค์ชายถูกถอดยศไท่จื่อกักขังตัวอยู่ที่นี่ คนที่เคยสรรเสริญพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เห็นแม้แต่คนเดียว มีเพียงคุณชายใหญ่ที่เป็นคนจิตใจดี มีเพียงเขาที่ไม่กลัวว่าจะถูกพัวพันมาเยี่ยมพวกเขา ขอเพียงแค่เขามา องค์ชายก็จะมีความสุขเช่นนี้ เพียงแต่องค์ชายเองก็สุขภาพไม่ดี ช่วงเวลาส่วนใหญ่จึงรักษาตัวอยู่บนเขา หนึ่งปีสามารถมาได้สองสามครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว

 

 

“เหนียงเหนียง เมื่อคืนท่านเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ควรไปพักสักหน่อยนะเพคะ” แม่นมชราที่สนิทที่สุดข้างกายเจียงซื่อเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้ากังวลทั้งใบหน้า ตอนนี้เหนียงเหนียงเป็นสตรีมีครรภ์แล้ว ปัจจัยตรงนี้ก็เป็นเช่นนี้ สะเพร่าเพียงนิดเดียวสามารถถึงแก่ชีวิตได้เลย!

 

 

เจียงซื่อเช็ดน้ำตาพยักหน้า หันหลังกลับจากไปภายใต้การพยุงของแม่นมชรา