“อืม บิดาจะพาเจ้าไปหาเสด็จพี่สามของเจ้า” ฮ่องเต้จับมือขององค์ชายเจ็ดและเดินไปข้างหน้า หลังจากเดินผ่านเสี่ยวเทียนเหยา รอยยิ้มบนใบหน้าฮ่องเต้ก็แข็งทื่อขึ้น เขามองไปที่เขาด้วยท่าทางที่ดูถูก

       เสี่ยวเทียนเหยามองไปที่อื่นและไม่ได้สนใจมองไปที่ฮ่องเต้แม้แต่น้อย เขามองไปที่องค์ชายเจ็ดผู้ถูกลากไปโดยฮ่องเต้แทน : เขามีพรสวรรค์และความทะเยอทะยานตั้งแต่ในวัยเด็ก

       องค์ชายเจ็ดดูเหมือนจะตระหนักถึงบรรยากาศที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขาแข็งขึ้นสักครู่ แต่กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นและพูดขึ้น “เสด็จอ้า เสด็จอ้าสะใภ้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ข้าสามารถไปเล่นเสด็จอ้าสะใภ้ในภายหลังได้หรือไม่?”

       หลังจากที่ได้เห็นพรสวรรค์ขององค์ชายเจ็ดแล้ว เสี่ยวเทียนเหยาก็ไม่ต้องการให้หลิน ชูจิ่วติดต่อกับเขามากนัก “อ้าสะใภ้ของเจ้าคงจะไม่ว่าง”

“โอ้ … … ” องค์ชายเจ็ดถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หลิน ชูจิ่วเริ่มยุ่ง?

       ฮ่องเต้มีความรักต่อองค์ชายเจ็ดเพียงชั่วครู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่คำพูดของเขาเอาไว้ในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเสี่ยวเทียนเหยา ก่อนจะพูดขึ้น “หวางเฟยของเจ้าได้ช่วยบุตรชายของเจิ้นเอาไว้ เจิ้นจะไม่ปฏิบัติกับนางอย่างเลวร้าย เจิ้นจะมอบรางวัลให้แก่นาง “

       หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ฮ่องเต้ก็คิดว่าจะมอบชายงามให้หลิน ชูจิ่วสักสองสามคนเพื่อให้เป็นลูกศิษย์ของนาง ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี

       ฮ่องเต้กำลังคำนวณอยู่ในหัวใจของเขา เขาต้องการที่จะทำลายความไว้วางใจระหว่างเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเทียนเหยาดังขึ้น  “ไม่จำเป็น จื่ออันก็เป็นหลานชายของข้า ท่านไม่จำเป็นต้องมอบรางวัลให้กับนาง ”

       คำพูดของเขาไม่ใช่มีแนวทางในการต่อรอง แต่เป็นการแจ้งเตือน ไม่ว่าฮ่องเต้จะมอบรางวัลให้แก่หลิน ชูจิ่ว หรือไม่ก็ตาม เขาก็จะไม่ยอมรับมัน

“เจ้าปฏิเสธในนามของหวางเฟยของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้ยังคงถามเสี่ยวเทียนเหยาแล้วก็มองไปที่หลิน ชูจิ่ว

       หลิน ชูจิ่วไม่ได้รอให้เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นอีกครั้ง เธอพูดขึ้นทันที”ฝ่าบาท นั่นไม่ใช่สิ่งที่หวางเย่ หมายถึงเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยเล็กน้อย  ฝ่าบาทหากพระองค์ไม่มีอะไรอื่นอีก เราต้องขอทูลลาเพคะ “

       ใบหน้าของหลิน ชูจิ่วซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เธอดูเหนื่อยมาก ฮ่องเต้ยังคงต้องการจะรังพวกเขาให้อยู่ในวังต่อไป แต่เขาจะดูไร้มนุษยธรรมเกินไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีความไม่พอใจในหัวใจของเขา แต่ฮ่องเต้ก็ทำได้แค่พูดขึ้น “พวกเจ้าไปได้”

“ขอบพระทัพเพคะฝ่าบาท” หลิน ชูจิ่ว ทำความเคารพ จากนั้นเธอก็ถอยไปด้านข้างเพื่อให้พวกเขาเข้าไปในห้อง

       เมื่อฮ่องเอาเดินผ่านหลิน ชูจิ่ว นางก็เหลือบมองเธอด้วยความคิดลึก ๆ ในขณะที่องค์รัชทายาท ไม่สามารถปิดบังความเกลียดชังของเขาเอาไว้ได้ แต่ผลก็คือเสี่ยวเทียนเหยาส่งเสียงเยือกเย็นขึ้นคำลอ ทำให้องค์รัชายาทหวาดกลัว ดังนั้นเขาดึงสายตาของเขากลับไปและไม่กล้าที่จะมองมาอีก

       คนสุดท้ายที่เดินผ่านคือพระสนมโจว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกขอบคุณหลิน ชูจิ่วจริงๆในขณะนี้ “ชูจิ่ว ขอบใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็คงจะสูญเสียลูกไปจริงๆ “

       “พระสนมโจวกล่าวเกินไปแล้ว หม่อมฉันเพิ่งทำในสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ เพคะ” หลิน ชูจิ่ว ไม่สามารถรับคำขอบคุณของนางได้

       ถ้าไม่ใช่เพราะระบบการแพทย์ เธอก็คงจะไม่ได้มาที่พระราชวัง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเสี่ยวเทียนเหยา เธอก็จะไม่มีความสามารถในการรักษาโรคของเสี่ยว จื่ออันได้ นอกจากนี้พวกเขาช่วยเสี่ยว จื่ออัน ให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อที่จะทำให้หมอเทวดาโม่ ไม่จำเป็นต้องดูแลเขาอีกต่อไป

“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าและจื่ออันจะจดจำความเมตตาของเจ้าเอาไว้เสมอ” นี่คือในพระราชวัง พระสนมโจวยังต้องการที่จะพูดอีกมาก แต่นางก็ทำเพียงลูบหลังมือของหลิน ชูจิ่ว ก่อนที่จะเดินจากไป

       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะจากไป นางก็ได้พูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น นางรีบพูดขึ้น : ระวังฮองเฮาเอาไว้ให้ดี!

       หลิน ชูจิ่ว ทำตัวเหมือนที่เธอไม่เคยได้ยินอะไร ใบหน้าของเธอยังคงเหมือนเดิม หลังจากที่พระสนมโจวจากไป เธอจึงหันหลังจากไปและเดินตามเสี่ยวเทียนเหยาออกไปข้างนอก … …