ส่วนที่ 4 ตอนที่ 231 สีหิมะ

ความลับแห่งจินเหลียน

ซีเหมินจินเหลียนกุมโทรศัพท์ไว้แน่น สำคัญมากหรือ? เรื่องสำคัญมากของเขาก็คือการที่ให้เธอตีตัวออกห่างสวี่อี้หรานไปให้ไกลอย่างนั้นหรือ? ประโยคนี้ทำไมถึงฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ชอบกลนะ! เขาไม่ใช่แฟนของเธอ และไม่ใช่คนของเธอ มีสิทธิ์อะไรมาขอร้องเธอเรื่องนั้นเรื่องนี้กัน?

 

“เหตุผลล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองไปยังอวิ๋นเจียที่อยู่ข้างนอกและยิ้มออกมาบางๆ

 

“จินเหลียน ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นนะครับ พูดกันในโทรศัพท์ พูดยังไงมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่เขาแปลกจริงๆ และอันตรายมาก ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ออกห่างจากเขาให้ไกลเป็นดีที่สุด เชื่อผมนะ!” ฉินเฮ่าพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “โดยเฉพาะตอนที่จ่านมู่หรงไม่ได้อยู่ข้างกายคุณ”

 

“โอเคค่ะ ขอบคุณความห่วงใยของคุณนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“ผมพยายามไม่คุยกับคุณให้มาก เพราะจากนิสัยของอวิ๋นเจียแล้ว คุณก็น่าจะรู้ดี!” ฉินเฮ่าพูดจบก็ไม่รอให้ซีเหมินจินเหลียนพูดต่อรีบชิงวางสายก่อน

 

สักครู่หนึ่ง ซีเหมินจินเหลียนก็มองผ่านประตูกระจกเห็นฉินเฮ่ายืนอยู่ข้างอวิ๋นเจีย ตอนนั้นเธอจึงนั่งลงอีกครั้งและอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเบื่อหน่าย

 

ในใจรู้สึกแปลกประหลาด สายจากฉินเฮ่าโทรเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน หากบอกว่าเขาคิดกับเธอเลยเถิด แล้วตอนนี้ที่เขาหมั้นกับอวิ๋นเจียล่ะ ระหว่างเธอกับเขาไม่มีวันเป็นไปได้ เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาวุ่นวายเรื่องของเธอ

 

นอกจากนี้ฐานะทางสังคมของสวี่อี้หรานกับตัวเขาเองทำให้คนหวาดผวาไม่หยุด แต่ซีเหมินจินเหลียนไม่เชื่อเรื่องนี้ คนอื่นไม่รุกรานเธอ เธอก็ไม่รุกรานคนอื่น แน่นอนหากใครจะมาหาเรื่องเธอ เธอก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ แล้ว

 

นอกจากนี้เธอกลับรู้สึกว่าหมอมองโกลคนนี้ก็เป็นคนตลกเฮฮาและน่าสนใจคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนกระตือรือร้น เพราะเพียงแค่สายของเธอที่เรียกเขามาเพื่อที่จะรักษาลุงงู ก็ทำให้เขารีบบินตรงมาถึงเจียหยางทันที เหตุผลหนึ่งนั้นส่วนใหญ่ก็มาจากการที่ตัวเขาเองสนใจในโรคที่รักษาได้ยาก ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเขามีจิตวิญญาณของการเป็นแพทย์ที่อยากรักษาคนบาดเจ็บเจียนตาย

 

การเจียรหินของคนร่างอ้วนคนนั้นได้ดำเนินมาจนถึงสองทุ่มแล้ว ผลสุดท้ายเหล่าหลี่ก็ขี้งกเหลือเกิน เขาเรียกคนมาส่งแค่อาหารเดลิเวอรี่ง่ายๆ และเลี้ยงพวกเขามื้อหนึ่ง เวลานี้จ่านป๋ายก็กลับมาจากจัดการเรื่องขนส่งเสร็จพอดี เขาเลยแวะซื้ออาหารตามทางห่อกลับมาเหมือนกัน

 

ซีเหมินจินเหลียนรับรู้ได้ถึงจุดสูงสุดของบรรยากาศการเดิมพันหิน ผู้คนมากมายรุมล้อมอยู่ด้วยกัน ทางหนึ่งมองดูหิน อีกทางหนึ่งก็นั่งยองๆ กินอาหารห่อ

 

อีกด้านอวิ๋นเจียที่ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่ เหล่าหลี่ก็ได้แต่ขอโทษขอโพยเธอไม่หยุด บอกว่าวันนี้สินค้าติดปัญหาอยู่ระหว่างทาง ทำให้กินเวลานานและเป็นเหตุให้ทุกคนต้องเฝ้ารอ

 

กลางดึก เวลาสามทุ่มยี่สิบนาทีก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่คันหนึ่งขับมาถึงโกดังท่ามกลางการรอคอยของทุกคน ทำให้ทุกคนกระวนกระวายใจรีบแย่งเข้าไปดู

 

จ่านป๋ายมองซีเหมินจินเหลียนที่นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน ก่อนถามขึ้นว่า “พวกเราไม่ไปดูแล้วเหรอครับ”

 

“ตอนนี้คุณก็ดูสิ พวกเรามีโอกาสเข้าไปแทรกหรือไงกัน?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืนออกมา “ยังไงไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องวนมาถึงตาพวกเราอยู่ดี ไม่ต้องรีบหรอก”

 

ปากก็พูดไป แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามจ่านป๋ายออกไปข้างนอกด้วยกัน

 

เพราะเวลานี้ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ประตูโกดังสินค้ามีเพียงแค่ตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง พร้อมแสงไฟที่ริบหรี่ คนส่วนมากก็ไปมุงดูอยู่ตรงนั้น อยากจะสัมผัสสินค้าอย่างน้อยต้องรอให้ขนย้ายของให้เสร็จก่อน และรอให้เหล่าหลี่ไล่ลำดับคิวจากความสำคัญของลูกค้าก่อนถึงจะเริ่มทำการขายได้

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน มองเหล่าหลี่ที่กำลังกระจายหน้าที่ให้ลูกน้องวัยรุ่นในร้านอย่างเป็นแบบแผน โดยให้ขนย้ายหินหยกทีละก้อนเข้ามาในโกดัง

 

ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำในใจ ขนาดไม่ได้แตะกับมือ ดูกับตาเปล่า หินหยกพวกนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากหินธรรมดาทั่วไปเลย เมื่อเห็นว่าผู้ชมต่างไม่สนใจกันเลยรีบก้าวถอยหลังและหมุนตัวไปทางห้องน้ำ

 

เวลานี้สายตาของเธอกวาดมองไปทั่ว พอดีกับที่เห็นว่าลูกน้องคนหนึ่งในร้านกำลังถือหินหยกที่หนักราวๆ สิบกว่ากิโลกรัมไว้ในมือ ในนั้นมีแสงอ่อนๆ ซ่อนเร้นไว้อยู่

 

ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง แหล่งกำเนิดแสง? สามารถส่องแสงทะลุผ่านผิวหินหยกได้มันต้องเป็นของดีแน่ๆ ไม่นานเธอก็จับจ้องไปที่ลูกน้องที่กำลังขนย้ายหินหยกคนนั้น ผิวสีน้ำตาลไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เล็กมาก อย่างน้อยน้ำหนักน่าจะราวๆ สิบกว่ากิโลกรัมได้

 

ซีเหมินจินเหลียนใจเต้นแรง แต่เพราะเวลานี้เหล่าหลี่ไม่ให้ผู้ชมสัมผัสดูสินค้า เธอเลยไม่มีสิทธิ์พูดอะไร ได้แต่หมุนตัวเดินไปทางห้องน้ำ

 

“จินเหลียน รอก่อนครับ!” จ่านป๋ายรีบเดินตามมา

 

“มีอะไร” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ คุณอย่าตามฉันมา ไปดูหยกเถอะ!”

 

“หินหยกพวกนั้นไม่ได้สวยอะไร” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด

 

ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้ม เขาบอกว่าไม่สวย แต่คนส่วนมากกลับบ้าคลั่ง แถมยังรอเป็นชั่วโมงๆ จนกระทั่งถึงสี่ทุ่มครึ่ง เหล่าหลี่กับเถ้าแก่หินหยกคนอื่นๆ ถึงได้จัดการคัดแยกหินหยกทั้งหมดพวกนั้นออกมา โดยเลือกมาเพื่อร่วมงานประมูลทั้งหมดแค่สิบสองก้อน

 

หินหยกทั้งสิบสองก้อน ขนาดและสีแตกต่างกัน แต่วางแถวเป็นระเบียบอยู่ในโกดัง เวลาต่อมาก็คือให้ทุกคนสัมผัสกับมันก่อน หินหยกที่เข้าร่วมงานประมูลทุกก้อนต่างมีตัวเลขเขียนไว้ด้านบน เพื่อสะดวกแก่ทุกคนในการจดจำ

 

ซีเหมินจินเหลียนมองหินหยกกี่ก้อนต่อกี่ก้อนก็พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย หินหยกแสงอ่อนๆ ที่เธอเห็นนั้นไม่ได้อยู่ในงานประมูลนี้ แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นหากเธออยากจะได้หินหยกก้อนนั้นขึ้นมามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

เมื่อลองพิจารณานักธุรกิจค้าหยกพวกนี้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนเรื่องมาก?

 

คิดดูแล้วซีเหมินจินเหลียนก็หันไปเจอเหล่าหลี่ ท่าทางของเหล่าหลี่ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสักครู่นี้ ใบหน้าเผยไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียน เขาก็ถามขึ้นว่า “คุณซีเหมินไม่ดูสินค้าเหรอครับ?”

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา “คุณก็ลองดูสิคะ ยังมีตรงไหนให้ฉันแทรกได้อีก?” เพราะเหล่าเหลี่กับนักธุรกิจหยกหลายคนช่วยกันคัดเลือกออกมา ลักษณะของพวกมันถึงได้ดูดี หินหยกแบบนี้พบเจอไม่ได้ทั่วไป ดังนั้นความสนใจของทุกคนย่อมตกไปอยู่บนหินหยกในงานประมูล

 

“ฮะๆ!” เหล่าหลี่ทำได้แต่หัวเราะออกมา

 

ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นว่า “วันนี้ธุรกิจของคุณหลี่ก็เติบโตดีจริงๆ นะคะ!”

 

“เพราะโชคทั้งนั้นล่ะครับ!” เหล่าหลี่ได้ยินแล้วแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาก็รู้ว่าดีใจเนื้อเต้นมากขนาดไหน

 

“ใช่ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เมื่อสักครู่ที่ซื้อหินหยกของคุณไปห้าก้อนรวด เงินในมือของฉันก็หร่อยหรอแล้ว และฉันยังต้องไปพม่าอีก เลยต้องเก็บเงินไว้บ้าง เพราะอย่างนั้นหินหยกในงานประมูลเกรงว่าฉันคงต้องยอมแพ้ หินหยกที่คุณขนย้ายมา ที่เหลือก็ให้ฉันสัมผัสได้ไหมคะ ฉันจะได้เลือกอีกสักหลายๆ ก้อน?”

 

“อยู่ทางนั้นหมดครับ คุณซีเหมินเชิญดูได้ตามสบาย ชอบก้อนไหนเรียกผมได้เลยครับ!” เหล่าหลี่พูดขึ้น

 

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบก็เดินไปตรงมุมห้องอีกฝั่ง มองดูหินหยกแพรวพราวตระการตาวางอยู่ตามพื้น เยอะขนาดนี้ทำไมจำต้องไปร่วมงานประมูลด้วย ถึงราคาจะแพงแต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีของดี

 

แน่นอนว่าอีกเดี๋ยวเธอคงต้องไปดู อย่างเช่นหากมีของดีอย่างสีน้ำเงินเปล่งประกายโผล่มาอีกครั้ง เธอคงไม่ขี้เหนียวที่จะซื้อมัน หากไม่มีซีเหมินจินเหลียนก็ไม่สนใจสักนิด

 

เมื่อสักครู่เธอมองเห็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนี้หากต้องใช้สายตาตามหาหินหยกที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมไฟในโกดังก็สว่างจ้าขนาดนี้ อยากจะตามหาแหล่งกำเนิดแสงคงไม่มีทางเป็นไปได้

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ เธอรู้ว่าดวงตาของตัวเองเฉียบคมแค่ไหน ตั้งแต่เล็กอยู่บนเขาก็มีสองตาที่ฝึกชำนาญเพื่อดูดวงดาว แต่ทำไมนักเดิมพันคนอื่นๆ ถึงมองไม่เห็นแหล่งกำเนิดแสงที่ทะลุผ่านผิวหินล่ะ?

 

จากที่ผู้อาวุโสหูพูด ทุกวันนี้คนที่รู้เรื่องแหล่งกำเนิดแสงหาได้ยากแล้ว

 

สายตากวาดมองไปที่หินหยกรอบๆ ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็หาหินหยกก้อนนั้นเจอ มันถูกวางไว้อยู่ตรงมุมห้อง เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันก็เป็นหินหยกที่ไม่สะดุดตาใครจริงๆ แถมยังเป็นผิวสีเทาแกมน้ำตาลที่พบเห็นได้ทั่วไป น้ำหนักสิบกว่ากิโล ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็ก

 

เมื่อหยิบไฟฉายออกมาส่องก็ไม่มีจุดหยกกับเส้นลายหยก มันยิ่งทำให้เธอสงสัยว่าเพราะอย่างนั้นหินหยกก้อนนี้จึงทำให้เหล่าหลี่กับคนพวกนั้นถูกตัดสินว่าเป็นหินหยกเกรดต่ำหรือเปล่า? สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การดูคือผิวเม็ดทรายที่ละเอียดยิบ แต่ยังคงห่างชั้นรองจากหินหยกชั้นดีไปหนึ่งระดับ

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางนั่งยองๆ ลงไป ยื่นมือไปแตะด้านบน…ผิวสีเทาแกมน้ำตาลเลือนหายไปจากดวงตา ข้างในมีหินสีขาวที่ไม่มีชิ้นดี

 

หรือเมื่อสักครู่ดูผิดไป ตาลายอย่างนั้นเหรอ? หรือว่ามันไม่ใช่ก้อนนี้ตั้งแต่แรก หรือตนเองจำผิดไป? เมื่อคิดทบทวนไปมาสีของหินสีขาวที่อยู่ในดวงตาเธอก็เปลี่ยนเป็น…สีขาว แต่มันไม่ใช่ชนิดสีขาวของหินแน่ และไม่เหมือนหยกขาวไขมันแพะก้อนที่จ่านป๋ายเก็บมา

 

ขาวแบบนี้ ซีเหมินจินเหลียนตกใจอยู่ขณะ…น่าจะเป็นสีขาวหิมะ?

 

ใช่ นี่ต้องเป็นสีขาวหิมะแน่ ขาวใสราวกับคริสตัล แต่ความโปร่งใสก็ไม่ถึงขั้นหยกเจไดต์ และแตกต่างจากเนื้อแก้วไร้สี

 

ซีเหมินจินเหลียนมองแค่แวบเดียวก็รู้สึกตกหลุมรักเข้าแล้ว ชนิดหยกแบบนี้คงไม่ใช่เนื้อแก้วแน่ พูดอย่างละเอียดก็คือนี่น่าจะเป็นชนิดเนื้อแก้วไม่มีสีโปร่งใสที่กลายพันธุ์? แต่สีที่ใสสะอาดราวกับน้ำแข็งแบบนี้ยิ่งทำให้คนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ

 

หากสวมใส่ในฤดูร้อนคงต้องเย็นสบาย ยามที่ไร้ลมก็ได้เย็นตามธรรมชาติ

 

เนื้อใสละเอียดเกลี้ยงเกลา แต่ไม่ถึงขนาดเนื้อแก้ว แต่สูงกว่าเนื้อน้ำแข็งไปอีกขั้น ความจริงสีที่หายากแบบนี้คงไม่ใช่สามารถใช้แค่เนื้อน้ำแข็งกับเนื้อแก้วมาตัดสินมูลค่าง่ายๆ แน่ มันเหมือนกับสีของหิมะ ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าหินหยกทั้งก้อน เมื่อสัมผัสก็เย็นเฉียบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเย็นเข้ากระดูกจนทำให้ทนไม่ไหว

 

ความหนาวเย็นแบบนี้จะนำความเย็นสบายเข้าสู่หัวใจของคน

 

ซื้อกลับไปถ้าไม่มีใครชอบ ก็เก็บไว้เล่นตอนหน้าร้อนเองก็ได้! ซีเหมินจินเหลียนแอบพูดอยู่ในใจ แต่ซื้ออย่างไรดีล่ะ เธอใช้สมองมากเกินไปในการคิดถึงเรื่องนี้ ลักษณะภายนอกของหินหยกก้อนนี้ไม่โดดเด่น หากไม่เอาหินหยกที่อยู่ในการประมูลมาเทียบ หินหยกที่เหลือในโกดังก็ยังดีกว่ามันตั้งเยอะ ถ้าเธอซื้อเดี่ยวๆ แค่ก้อนเดียวจะทำให้เหล่าหลี่สงสัยหรือเปล่า?