รอยยิ้มของอวี้เฟยเยียนราวกับดอกท้อที่กำลังเบ่งบานชูช่อก็ไม่ปาน ดึงดูดใจแต่แฝงเอาไว้ด้วยความชั่วร้าย งดงามสดใส มองแล้วทำให้เสิ่นถูเลี่ยหวั่นไหวในใจ
คนงามโดยแท้!
เห็นทีว่าหลิวติงจะต้องสิ้นชื่อในวันนี้เสียแล้วเป็นแน่!
แต่ว่า ตระกูลเสิ่นถูและตระกูลหลิวไม่ได้คบค้าสมาคมอะไรกันเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจะไม่มีทางออกหน้าช่วยเหลือคนเลวเช่นหลิวติงเด็ดขาด!
เมื่อขอร้องตระกูลเสิ่นถูไม่ได้ผล หลิวติงจึงเปลี่ยนความคิด
เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“ข้าคือคุณชายสามแห่งตระกูลหลิว พวกเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับล่วงเกินตระกูลหลิว!”
แผ่นหลังของหลิวติงชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งส่วนล่างของเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมันกำลังหลั่งเลือด
เมื่อเห็นว่าหลิวติงยังคงปากดี ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้เท้าเหยียบเข้าที่มือขวาของเขาอย่างไม่ปราณี ทั้งยังตั้งใจบดขยี้ปลายนิ้วของเขาเป็นพิเศษ
“อ๊าก!”
มือของหลิวติงถูกเหยียบจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
“น่ารำคาญชะมัด!”
อวี้เฟยเยียนเอ่ยขึ้นแล้วดีดหินไปที่จุดใบ้ของหลิวติง เสียงแหกปากโวยวายเงียบลงในทันที หลิวติงขยับปากพะงาบๆ เบิ่งตากว้าง ดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะเดียวกัน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้วิธีการเดียวกันบดขยี้มืออีกข้างของหลิวติงจนแหลกละเอียดเช่นกัน
หลิวติงที่เมื่อครู่คิดจะย่ำยีอวี้เฟยเยียน ตอนนี้กลับนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ ปัสสาวะอุจจาระเรี่ยราด เนื้อตัวโชกชุ่มไปด้วยเลือด
น่า…หวาดกลัวยิ่งนัก!
แม้แต่อาหูที่มองดูความเป็นความตายจนเคยชิน ก็ยังรู้สึกเสียวไส้ไม่น้อย
แม่เจ้า สยดสยอง!
ความโหดเ**้ยมของชายหญิงที่อยู่เบื้องหน้านี้มีมากพอๆ กับหน้าตาที่หล่อเหลาสวยงามของพวกเขาทีเดียว!
“คุณชายใหญ่ พวกเขาเป็นใคร?”
แม้ว่าหลิวติงจะไม่เอาไหน แต่จะชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นคนของตระกูลหลิว ฝ่ายนั้นอาจหาญฆ่าเขาเช่นนี้ ไม่กลัวภัยจะมาถึงตัวหรอกหรือ?
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่า ไม่ใช่ศัตรู!” เสิ่นถูเลี่ยกล่าว
“ท่านพี่——”
มองดูซย่าโหวฉิงเทียนค่อยๆ ทรมานหลิวติงให้ตายทีละน้อย อวี้เฟยเยียนจึงเอื้อมมือออกไปดึงเขาเอาไว้
“ต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ!”
“หลิวติงคนนี้สมควรตายยิ่งนัก!”
นางและซย่าโหวฉิงเทียนกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเป็นกังวลเรื่องของหนานกงจื่อหลิงเป็นอย่างมาก หลิวติงดันเอาตัวเข้ามาขวางทางปืนเสียนี่ ทั้งยังเสียมารยาทกับนางเสียอีก ไปกินดีหมีหัวใจมังกรมาหรืออย่างไรกัน
ลูกหลานสกุลหลิวเป็นเช่นนี้ เห็นทีสกุลหลิวคงจะไม่เก่งกาจสักเท่าไหร่กระมัง
แต่ก็ไม่อาจให้ใครมาหลบหลู่ดูหมิ่นอย่างไรก็ได้ เพียงเพราะเกรงว่าจะล่วงเกินสกุลเข้า
และการอดทนต่อการดูหมิ่นดูแคลน ไม่ใช่วิสัยของอวี้เฟยเยียน——
เมื่อครั้งที่อยู่ที่หลัวอวี่นั้น อวี้เฟยเยียนต้องพยายามสะกดกั้นตนเองหลายเรื่อง เพราะต้องคอยรักษาภาพพจน์ของสกุลอวี้
แต่ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีกแล้ว!
นางรู้แล้วว่า ฉายา ‘อวี้หลัวซ่า(ซ่า แปลว่า ฆ่า)’ ของนาง ไม่ใช่ได้มาลอยๆ !
เมื่อครั้งที่อยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่นั้น ศัตรูทีตายด้วยน้ำมือของนางมีมากมายเหลือคณานับ เมื่อมาถึงที่อู๋โยวนี่ ในที่สุดนางก็สามารถต่อสู้ได้เต็มที่เสียที!
“เจ้าจะทำอะไร?”
เห็นอวี้เฟยเยียนยิ้มชั่วร้ายเดินเข้ามาหา หลิวติงก็เริ่มหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ฉับพลันเขาก็มีรู้สึกลางสังหร์มิสู้ดีขึ้นมา เพราะหากเขาล่วงเกินชายชุดม่วงผู้นี้ละก็ อย่างมากที่สุดก็คงจะถูกทรมานจนเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตาย แต่รอยยิ้มตรงหน้า รอยยิ้มจากสาวน้อยที่ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ผู้นี้ต่างหาก ถึงเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวมากที่สุด!
“ซู่ๆ ——”
อวี้เฟยเยียนค่อยๆ สาดผงสีชมพูลงบนร่างของหลิวติง ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ราวกับมิได้กำลังกระทำเรื่องชั่วร้ายอยู่
เสร็จแล้วก็ยิ้มร้าย
“คนชั่ว ดื่มด่ำกับแสงสุดท้ายแห่งชีวิตของเจ้าให้เต็มที่เถอะ!”
อวี้เฟยเยียนดึงมือซย่าโหวฉิงเทียนให้มาอยู่เคียงข้างนาง
เพียงไม่นาน บนท้องฟ้าก็ปรากฏกลุ่มก้อนเมฆสีแดง ก้อนเมฆสีแดงเคลื่อนตัวผ่านทางเดินเข้าตลาดจนกระทั่งมันลอยมาอยู่ที่เบื้องหน้าของทุกคน ซึ่งเสิ่นถูเลี่ยก็ถึงกับร้องขึ้นมาว่า
“นกอัคคีเพลิง!”
ดูจากรูปร่างของกลุ่มก้อนสีแดงบนท้องฟ้าเหล่านั้นแล้ว นั่นคือปากของนกอัคคีเพลิงที่กินเนื้อเป็นอาหารนั่นเอง!
“รีบหนีเร็ว!”
ในขณะที่เสิ่นถู่เลี่ยและอาหูวิ่งหนีไปนั้น กลุ่มเมฆสีแดงก็ร่อนลงมายังพื้นดินอย่างแรง เข้าล้อมกรอบหลิวติงเอาไว้
หลิวติงเบิ่งตากว้างด้วยความหวาดกลัว แต่ยังมิทันที่เขาจะได้เปล่งเสียงออกมาร่างของเขาก็กลายเป็นสีแดง
“กาๆ ——”
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ฝูงนกอัคคีเพลิงก็สลายตัว ร่างของหลิวติงที่นอนอยู่บนพื้นเมื่อครู่ เหลือเพียงแต่โครงกระดูกเท่านั้น
แม่เจ้า!
อาหูกลื้นน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก แล้วเหลือบสายตามองไปที่อวี้เฟยเยียนที่มีสีหน้าเรียบเฉย ในใจก็ถึงกับร้องว่า อมิตาพุทธ กันเลยทีเดียว
คนเราจะมองกันที่หน้าตาเพียงอย่างเดียวไม่ได้เลยจริงๆ !
ยิ่งสวยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพิษสงร้ายมากเท่านั้น
ตรงหน้านี้ก็เป็นตัวอย่างชั้นดีมิใช่หรือ?
“เจ้าช่างใจคอโหดเ**้ยมยิ่งนัก!”
ในตอนนั้นเอง เสียงของสาวน้อยผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
บุคคลที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอวี้เฟยเยียนคือชายสองคนและหญิงคนหนึ่ง
เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเห็นภาพนกอัคคีรุมกินคนทั้งเป็นนั้น สาวน้อยถึงกับขยะแขยงจนแทบจะอาเจียนออกมา แต่ทว่าในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องออกมากล่าวโทษอวี้เฟยเยียนเข้าให้จนได้
จู่ๆ ก็มีพวกทวงความยุติธรรมโผล่มา อวี้เฟยเยียนถึงกลับคลี่ยิ้ม
“ไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็มาแก้แค้นแทนเขาเสียสิ!”
อวี้เฟยเยียนเพียงแต่ยิ้มบางๆ ทว่ากลับทำให้ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่หลังหญิงสาวน้อยผู้นั้นถึงกับมองดูอย่างเคลิบเคลิ้ม
งามนัก!
งามกว่าคุณหนูรองเสียอีก…
“เจ้าชื่ออะไร? ข้าต้องการท้าประลองกับเจ้า!”
ยิ่งมองสุ่ยจูเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่ชอบหน้าอวี้เฟยเยียนเข้าไปใหญ่
ที่บ้านก็มีพี่สาวที่ได้รับฉายาหญิงที่งามที่สุดในแผ่นดินนามว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์ คอยกดนางเอาไว้อยู่แล้วทั้งคน ในสายตาของผู้คนทั่วไปมีเพียงสุ่ยเยว่เอ๋อร์ นางก็มักจะถูกละเลยมาโดยตลอด
บัดนี้สุ่ยจูเอ๋อร์หาเวลาที่จะมาฝึกวิชาเสียหน่อย ทว่าดันได้มาพบหญิงสาวที่ดวงหน้างดงามเสียยิ่งกว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์เข้าให้ อีกทั้งยังดุดันมากเสียด้วย
น่า…เบื่อหน่ายจริงเชียว!
สุ่ยจู่เอ๋อร์แทบจะอยากเข้าไปตะกรุยหน้าสวยๆ ของอวี้เฟยเยียนเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ
“แต่ข้าไม่สนใจ!”
อวี้เฟยเยียนมองดูสาวน้อยที่แสดงอาการไม่เป็นมิตรออกมาอย่างชัดเจน
“เหลวไหลที่สุดเลย!”
คิดจะทวงความยุติธรรมให้กับหลิวติง? เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปนอนให้เขากระทำเสียเลยเล่า? เอาแต่ยืนพูดปาวๆ ก็ทำได้ไม่เดือดร้อนนะสิ!
ไอ้พวกคนประเภทที่ว่าใช้คุณธรรมบังหน้าเพื่อปกปิดความชาติชั่วของตนเองนั้นน่ารังเกียจที่สุด!
“พวกเราไปกันเถอะ!” อวี้เฟยเยียนขี้เกียจจะเสียเวลากับสุ่ยจูเอ๋อร์อีกต่อไป
“หยุดนะ!”
สุ่ยจูเอ๋อร์ก้าวออกมา แล้วเรียกขานเสิ่นถูเลี่ยมาร่วมวงด้วย
“คุณชายเสิ่น พวกเราตระกูลทั้งแปดจะยินยอมให้ใครมารังแกอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
สุ่ยจูเอ๋อร์มั่นใจมากว่าอวี้เฟยเยียนต้องไม่ใช่คนของตระกูลทั้งแปดอย่างแน่นอน ถึงได้บังอาจเช่นนี้
ส่วนเสิ่นถูเลี่ยถูกลากมารับกระสุนอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้เขากลับไม่มีอารมณ์จะมาร่วมวงด้วยอีกแล้ว
‘เขาไม่ใช่ไอ้โง่ ที่จู่ๆ ก็ต้องมารับเคราะห์แทนใครเช่นนี้ จะให้เขาออกหน้ารับมือกับชายชุดสีม่วงกับหญิงชุดสีชมพูนี้แทนนะหรือ?’
‘สุ่ยจูเอ๋อร์แห็นเขาเป็นตัวอะไร!’
‘ชายชุดม่วงเป็นจึงราชาอาวุโส ส่วนสาวน้อยผู้นั้นที่อย่างเก่งก็อายุเพียงสิบห้าสิบหกเท่านั้นกลับเป็นถึงจอมปราชญ์อาวุโสแล้ว ทั้งยังมีความสามารถในการใช้พิษ…คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ จะให้เขาออกหน้าไปรับมือ?’
สุ่ยจูเอ๋อร์เข้าใจคิดนักนะ!