“ไม่นึกเลยว่าท่านอาจารย์จะมาด้วยตนเองขอรับ”
“กระหม่อมต้องปฏิบัติตามพระบัญชาสิพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท”
โฮจินมองดูการเต้นรำของนางระบำที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ ไม่สิ ใบหน้าของจินดูไม่สบอารมณ์จนสังเกตได้ คงเป็นเพราะอาจารย์ก้มหัวลงตรงหน้าตัวเองและพูดจายกย่องอย่างแน่นอน แม้จะไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อน แต่ที่เขามั่นใจก็คือไม่ได้รู้สึกดีใจ
“หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ท่านช่วยมาที่ตำหนักของข้าได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากจะพบกันสองต่อสองสักครู่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท”
งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะผู้แทนพระองค์แห่งแทซากุกทั้งเลิศหรูและโอ่อ่าเกินกว่าจะบรรยาย ทั้งยังยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์อีกด้วย ดังนั้นในตอนที่การแสดงชุดสุดท้ายจบลง ในที่สุดองค์รัชทายาทที่นั่งหน้ามุ่ยมาตลอดก็ปรบมือเป็นครั้งแรก แต่นั่นคงจะไม่ใช่เพราะว่าการแสดงนั้นยอดเยี่ยมกว่าการแสดงชุดอื่นๆภายในงาน เพราะเขากลับตำหนักทันทีที่พระราชาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายลุกขึ้นจากที่นั่งและถอดชุดเครื่องแบบในพิธีออกไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ
“องค์รัชทายาท ท่านมหาเสนาบดีแห่งแทซากุกมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“บอกให้เขาเข้ามาและให้ทุกคนถอยออกไปให้หมด”
เหล่าข้าราชบริพารคิดว่าองค์รัชทายาทไม่ชอบท่านมหาเสนาบดีเป็นอย่างมากหรือไม่ก็มีความเป็นปฏิปักษ์บางอย่างต่อแทซากุก เพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งที่ได้เห็นเขาทำสีหน้าตึงเครียดขนาดนั้น แต่พอเหลือแค่ท่านมหาเสนาบดีกับจินเพียงสองคนอยู่ภายในห้องซึ่งทุกคนต่างถอยออกไปหมด เขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างขี้เล่นพร้อมกับโค้งคำนับให้อาจารย์ จากนั้นจึงเริ่มปลดปล่อยความไม่พอใจออกมาอย่างเต็มที่
“ไม่นึกเลยขอรับว่าท่านจะทรยศข้าด้วยวิธีแบบนี้!”
“ทรงเคยบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านช่วยเลิกพูดจายกย่องแบบนั้นได้ไหมขอรับ ให้ตียังดีเสียกว่า”
พลั่ก หมัดที่คล้ายกับก้อนหินลอยไปตรงท้ายทอยของโฮจินทันที
“ใครสั่งให้พานางสนมหนีไปแบบนั้น เจ้าบ้า เป็นเพราะเจ้า อาจารย์ที่แก่ชราคนนี้ถึงได้ลำบากลำบนมากมายขนาดนี้ รู้บ้างหรือไม่!”
“ข้าบอกแค่ว่าให้ตียังดีเสียกว่า แต่ไม่ได้บอกให้ตีสักหน่อยขอรับ!”
“ทำเรื่องที่สมควรโดนก็ต้องโดนตี จริงสิ หลังจากมาอยู่ที่แล้วเจ้าทำตัวดี ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรใช่หรือไม่”
“ตอนนี้ข้าเป็นเสือสิ้นลายแล้วขอรับ ขืนลองไปจับข้อมือสาวงาม มีหวังแชยอนได้มองตาเขียวแน่ เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว หอนางโลมก็ไปไม่ได้ด้วย อีกอย่างพอเรียกพวกทหารมาให้ประลองกันสักตั้ง ก็มีแต่พวกอ่อนแอ ไม่ก็พวกที่ระมัดระวังเกิดเหตุเพราะกลัวว่าองค์รัชทายาทจะบาดเจ็บ”
แม้ว่าเขาจะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่ก็ไม่โทษอาจารย์ที่บังคับให้เขากลับมาเลยสักนิดเดียว เขาคือองค์รัชทายาทที่ถูกทอดทิ้งซึ่งกวัดแกว่งดาบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแผลพุพองที่ขึ้นเต็มมืออันอ่อนนุ่มจะแตกออก ผู้ที่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นสดใสได้ถึงเพียงนี้คงจะเป็นเพราะนางสนมที่พาหนีมา จู่ๆ ท่านมหาเสนาบดีก็รู้สึกขอบคุณพระสนมนางนั้นซึ่งในตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาแล้วขึ้นมา
“อีกสิบวันถึงจะกลับใช่ไหมขอรับ”
“ยังเหลือพระราชบัญชาอยู่อีกหนึ่งอย่าง หากข้าสะสางเรื่องนั้นเสร็จแล้วจะกลับไป จะทรงยอมรับจดหมายลาออกหรือไม่นะ”
“มันเป็นเรื่องกิจการแผ่นดิน ดังนั้นข้าคงไม่ควรถามสินะขอรับ”
“ก็รู้ดีนี่”
อาจารย์และลูกศิษย์ที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน แม้จะไม่ได้ตื้นตันจนน้ำตาไหล แต่เพียงแค่ได้บรรเทาความทุกข์ของจินซึ่งหลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกด้วย ในไม่ช้าพระชายาก็เข้ามาและโค้งให้ท่านมหาเสนาบดีด้วยความเขินอาย ซึ่งเป็นการโค้งคำนับเขาในฐานะพ่อสามีหรืออาจารย์ซึ่งเป็นผู้เก็บสามีมาเลี้ยงจนเติบใหญ่ ไม่ใช่ในฐานะท่านมหาเสนาบดีของประเทศอื่น
“ได้เห็นท่านที่งานเลี้ยงเมื่อสักครู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทักทายกันอย่างเป็นทางการเลยเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่ท่านมหาเสนาบีจะทักทายนางกลับ โฮจินก็ดึงมือของนางมาและพูดออกมาอย่างรดวเร็ว
“พระชายาตั้งครรภ์แล้วขอรับ!”
มือของโฮจินวางบนท้องน้อยของแชยอนซึ่งยังคงราบเรียบ แชยอนจึงฟาดหลังมือของเขาดังเพียะ แต่โฮจินก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการกระทำที่น่าอายนั่น ใบหน้าของท่านมหาเสนาบดีที่มองดูพวกเขาก็เผยรอยยิ้มสดใสออกมาเช่นกันแม้จะเล็กน้อยก็ตาม แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่นัก แต่พระราชวังก็ดูเหมาะสมกับโฮจินดี พระชายาผู้งดงามราวกับดอกไม้ก็เหมาะสมกับเขา ชุดเครื่องแบบในพิธีก็เหมาะกับเขากว่าชุดจอมยุทธ รวมถึงรอยยิ้มที่ไม่บิดเบี้ยวก็เหมาะกับเขาเช่นกัน
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีด้วย ขอให้พระชายาคลอดบุตรที่คล้ายกับฝ่าบาทออกมาได้โดยปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปสิบวัน คณะผู้แทนพระองค์ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างเอาใจใส่ขนของกำนัลที่ได้จากฮเยกุกกลับไปยังแทซากุกอีกครั้ง หลังจากท่านมหาเสนาบดีผู้เคร่งขรึมเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท จากนั้นเขาจึงวางมือบนหน้าท้องของพระชายาเบาๆ ภาพที่เขาหัวเราะดังลั่นจึงเป็นความลับที่มีเพียงแค่โฮจิน แชยอนและท่านมหาเสนาบดีเท่านั้นที่รู้
คณะผู้แทนพระองค์นำของกำนัลซึ่งได้รับมาจากฮเยกุกที่กองกันเป็นภูเขากลับประเทศไปโดยสวัสดิภาพ ท่านมหาเสนาบดีนำอยู่ด้านหน้าสุดโดยไม่พัก ในระหว่างทางกลับ เขาใส่กระดาษที่พับอย่างสวยงามแผ่นหนึ่งไปในหน้าอกและโผล่พรวดเข้าไปที่ห้องทรงงานของพระราชาอย่างกะทันหัน
“ทรงกรุณารับจดหมายลาออกของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เป็นไปตามที่คาดไว้ ใจจริงแล้วฮอนต้องการจะเมินท่านมหาเสนาบดีและจดหมายลาออกที่เขายื่นมาให้ แต่ไม่ในช้าก็ทำใจให้สงบลงได้
“หากช่วยข้าอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะยินดีทำเช่นนั้น”
“หากเป็นเรื่องที่กระหม่อมสามารถช่วยเหลือได้ กระหม่อมจะช่วยอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
อีกไม่นานมินอาก็จะคลอดลูก หากเขาสามารถวางมือจากงานในพระท้องพระโรงได้ ก็คงจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการเฝ้าดูท่าทางอันน่ารักน่าเอ็นดูของหลานผู้น่ารักได้ ภายในหัวใจของท่านมหาเสนาบดีจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง
“ในตอนนี้บุคคลที่มีความสามารถสูงของแทซากุกถูกแต่งตั้งมาจากการแนะนำของขุนนางระดับสูงหรือไม่ก็การสืบทอดไม่ใช่หรือ นอกจากนี้พวกขุนนางระดับล่างก็แต่งตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นมาเองด้วย”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามองว่านั่นแหละคือปัญหา ไม่ว่าในผืนแผ่นดินอันกว้างขวางนี้จะมีบุคคลที่มีความสามารถมากมายเพียงใด แต่รอบๆ กายข้ากลับหาไม่เจอเลย ดังนั้นมันจึงไม่ต่างอะไรกับการที่ดวงตาของข้าถูกปิดด้วยขุนนางระดับสูงเพียงไม่กี่คน”
เรื่องปลดออกจากตำแหน่งก่อนที่มินอาจะคลอดถูกเขี่ยออกจากบทสนทนา ฮอนเสนอว่าจะปฏิรูประบบการแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถสูงซึ่งเป็นระบบที่สืบทอดมาอย่างยาวนานกว่าพันปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เหล่าเสนาบดีไม่ค่อยจะยินดีนัก
“ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“กระหม่อมจะทำระบบการสอบพ่ะย่ะค่ะ ให้ทำการทดสอบตั้งแต่พวกชนชั้นสูงไปจนถึงพวกสามัญชน เพื่อคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นพ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าคงจะไม่สามารถจัดสอบในเมืองหลวงได้พร้อมกันทีเดียว ดังนั้นหากแบ่งทั้งประเทศออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้วให้ผู้ที่สอบผ่านมารวมตัวกันเพื่อสอบอีกครั้งที่เมืองหลวงก็น่าจะสามารถค้นหาบุคคลที่มีความสามารถจากในบรรดาผู้คนมากมายได้พ่ะย่ะค่ะ”
“รวมถึงสามัญชนด้วยหรือ”
“เราต้องการผู้ที่ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ จากตระกูลสูงศักดิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากให้ตระกูลสูงศักดิ์เพียงไม่กี่คนดูแลประเทศก็อาจจะมีสถานที่ที่ดวงตาของพระราชาทรงทอดพระเนตรไปไม่ถึงพ่ะย่ะค่ะ”
ช่างเป็นเส้นทางที่แสนจะยากลำบากเสียจริง ณ ตอนนี้ที่ระบบทั้งหมดถูกครอบครอง เส้นทางที่พระราชาหนุ่มตั้งใจจะเดินไปจึงเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่มันจะคงเหลือไว้ด้วยความสำเร็จอันยอดเยี่ยม ซึ่งแม้แต่อดีตพระราชาในสมัยเยาว์วัยเองก็ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยง แม้จะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถก็ตาม
พอท่านมหาเสนาบดีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ฮอนก็กางกระดาษที่เขาเรียบเรียงความคิดมาแล้วเรียบร้อยออกมาทันที และขอให้เขาช่วยชี้จุดที่ควรแก้ไขให้ ทั้งสองเก็บตัวอยู่ในห้องทรงงานไม่ออกไปไหนจนกระทั่งดึกดื่น
* * *