จินตนาการเกี่ยวกับยาสมุนไพรอันล้ำค่าที่ท่านมหาเสนาบดีนำมาให้และจินตนาการเกี่ยวกับลูกที่รยูฮาจะอุ้มท้องหลังจากกินยานั่นเข้าไปแทรกซึมไปบนเตียงนอนของฮอนทั้งคืน ด้วยเหตุนั้นเช้านี้จึงเป็นยามเช้าอันสุดพิเศษ โดยปกติซังกุงจะต้องมาปลุกหลายรอบจึงจะลืมตาตื่นได้ แต่พอมีเสียงเรียกเบาๆ ว่าฝ่าบาท เขาก็ลุกขึ้นอย่างสดชื่น เสวยโจ๊กหนึ่งถ้วยจนหมดเกลี้ยง 

 

 

“ข้าจะไปร่วมสำรับเช้ากับพระมเหสีที่วังจางชุน เตรียมตัวด้วย” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

เหล่าขันทีและนางในสิบกว่าคนต่างวิ่งวุ่นเพื่อปรนนิบัติพระราชา ล้างพระพักตร์และพระหัตถ์ด้วยน้ำอุ่น หลังจากรับชุดนอนมาและเก็บกลับไปอย่างสวยงามแล้วก็สวมชุดชั้นในและเสื้อนอกที่สะอาดสะอ้าน จากนั้นสวมชุดคลุมมังกรที่เต็มไปด้วยความสง่างามทับข้างบนและผูกเชือกเอาไว้แน่นหนา เกล้าผมยาวขึ้นด้านบนและวางมงกุฎสีทองขนาดเล็กไว้ด้านบนหลังจากเกล้าเป็นทรงอย่างสวยงามแล้ว วันนี้ฮอนรู้สึกพึงพอใจภาพของตนที่สะท้อนในกระจกเป็นพิเศษ เขายิ้มแย้มคนเดียวและขึ้นไปบนเกี้ยวที่เป็นประกายแวววับรับแสงแดดอยู่ ก่อนจะตรงไปยังวังจานยองซึ่งรยูฮาน่าจะกำลังรออยู่ 

 

 

“เสด็จมาเร็วจังเลยเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

“เพราะว่าข้าอยากเจอพระมเหสีให้เร็วที่สุดอย่างไรเล่า” 

 

 

เขาว่าพลางยื่นมือออกไป รยูฮาซึ่งปกติจะบอกว่าต้องรักษาเกียรติและเดินไปอย่างสุขุม ไม่รู้ลมอะไรพัดมาถึงได้จับมือ แถมยังประสานมือเข้าด้วยกันอีกด้วย โดยปกติแล้วพระราชาจะทรงเกี้ยว ส่วนพระมเหสีจะทรงรถม้า แต่วันนี้ทั้งสองกลับจับมือกันเดินไปอย่างนั้นจนถึงวังจางชุน 

 

 

กลิ่นหอมสดชื่นของช่วงต้นฤดูร้อนลอยเข้ามาแตะปลายจมูก ก้อนเมฆที่สูงโดดอยู่บนท้องฟ้าสีครามลอยละล่องไปพลางบอกให้มองฉันหน่อยสิ พระพันปีกำลังรอคอยอยู่แล้วหลังจากได้รับการแจ้งล่วงหน้า นางต้อนรับทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มยินดีเต็มใบหน้าเ**่ยวย่น 

 

 

“บรรทมสบายดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็หลับสบายดีใช่หรือไม่ วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทดูแจ่มใสเป็นพิเศษเชียวนะ” 

 

 

“หม่อมฉันเองก็คิดเช่นนั้นเพคะ พระพักตร์ของพระองค์ทรงหล่อเหลาขึ้นจนพวกนางในนอนไม่หลับเลยเพคะ” 

 

 

คำพูดของรยูฮาที่ปนเปไปด้วยความจริงจังครึ่งหนึ่งและการหยอกล้ออีกครึ่งหนึ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะหลุดออกมาเบาๆ สำรับอาหารค่อยๆ ทยอยเข้ามาโดยไม่ล่าช้าเพื่อคนทั้งสองที่หิวโหยหลังจากเดินมาไกล ไม่รู้ว่าเพราะหลับสบายจึงทำให้อยากอาหาร หรือเพราะรยูฮาจับมือแถมยังมีสีหน้าดูดีจึงทำให้อยากอาหารกันแน่ นางในต่างวิ่งวุ่นไปมาในขณะที่บทสนทนาเป็นไปอย่างอบอุ่น 

 

 

“เห็นทีว่าจะต้องส่งนางในห้องเครื่องของวังกอนชองมาร่ำเรียนที่วังจางชุนเสียหน่อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะสำรับของวังจางชุนมีรสชาติดีเสมอเลย” 

 

 

“ถึงจะได้แต่ก็ไม่ได้หรอกฝ่าบาท” 

 

 

“ไม่ให้ห้องเครื่องของวังกระหม่อมทำอาหารได้มีรสชาติดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“หากอาหารที่วังกอนชองอร่อยกว่า ทั้งสองก็คงจะไม่มาร่วมเสวยด้วยกันแบบนี้อีกไม่ใช่หรือ ในขณะที่ย่าคนนี้ยังคงแข็งแรง โปรดให้สำรับอาหารของวังจางชุนมีรสชาติดีที่สุดในวังเถิดฝ่าบาท” 

 

 

ไม่กี่วันก่อน มินอาซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาได้เข้ามาในวังและมาถวายบังคมแก่พระพันปี หลังจากได้สัมผัสการถีบอย่างแรงราวกับดีใจที่ได้เจอย่าทวดของเหลนในวันนั้น กำลังวังชาของพระพันปีก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้นางตั้งตารอให้เหลนลืมตาออกมาดูโลก 

 

 

“แต่ถึงอย่างไรก็ตามเสด็จย่าก็ดูน่าจะทรงพระวรกายแข็งแรงไปอีกยี่สิบกว่าปี บางทีในระหว่างนั้นคนครัวที่วังกอนชองอาจจะฝีมือดีขึ้นมาก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

การหยอกล้อที่ใส่ความปรารถนาดีเข้าไปทำให้พระพันปีรู้สึกปลื้มใจ หลังจากเสวยอาหารจนเกือบหมดและดื่มชากันสักถ้วยท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น ทั้งสองก็บอกลาพร้อมกับขอตัวกลับก่อนและเดินจับมือกันออกไปเหมือนเดิม ผีเสื้อสีเหลืองเข้มตัวหนึ่งเกาะบนเส้นผมของรยูฮา ก่อนจะขยับปีนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าในไม่ช้า 

 

 

“เจ้าผีเสื้อคงคิดว่าพระมเหสีเป็นดอกไม้ ถึงได้บินมาเกาะแล้วบินหายไปเลย” 

 

 

“อย่าตรัสอะไรแบบนั้นสิเพคะฝ่าบาท พวกนางในหัวเราะกันแล้วเพคะ” 

 

 

“แต่อันที่จริง เจ้างดงามยิ่งกว่าดอกไม้เสียอีก เพราะฉะนั้นการที่คิดว่าเจ้าเป็นดอกไม้ก็ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยนะ” 

 

 

รยูฮาบีบมือที่จับประสานกันแรงขึ้น โอ๊ย พอเขาแกล้งทำเป็นเจ็บและยื่นมือออกไปพลางขอให้เป่าให้ นางก็เป่าให้ดังฟู่ว ทั้งสองเดินหยอกล้อกันไปพลางลูบมือไปด้วย ในไม่ช้าก็มาถึงวังจานยอง จากนั้นการจูบที่ฮอนไม่ทันได้คาดคิดก็ประทับลงมาบนริมฝีปากก่อนจะบินจากไป 

 

 

“รีบเสด็จไปเถิดเพคะ เดี๋ยวพวกเสนาบดีจะรอเพคะ” 

 

 

“ข้าจะมาทันทีหลังว่าราชการเสร็จ เจ้าต้องรอข้านะ” 

 

 

“ทราบแล้วเพคะ” 

 

 

ฮอนเดินออกไปขึ้นเกี้ยวโดยไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก พอหันหลังกลับมามองจึงเห็นว่ารยูฮายังคงยืนมองเขาอยู่ตรงที่เดิม เขาหันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้งและหันไปมองข้างหลังอีก จากนั้นจึงโบกมือให้นางรีบเข้าไปในวัง เขาที่มาถึงเวลาว่าราชการในตอนเช้าพอดีประทับตราของกษัตริย์ลงบนกระดาษม้วนจำนวนหนึ่งด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ส่วนกระดาษม้วนบางส่วนก็ถูกโยนทิ้งเหมือนกับขยะและไม่ทันได้สังเกตว่าในระหว่างนั้นใบหน้าของท่านมหาเสนาบดีดูหม่นหมองเป็นพิเศษ 

 

 

“ช่วงเช้าพอเท่านี้ก่อนแล้วกัน ไปทำงานของตนเองได้ ส่วนช่วงเย็นให้เข้ามาเฉพาะขุนนางระดับสี่ขึ้นไปก็พอ อ่อ ท่านมหาเสนาบดีช่วงอยู่ต่ออีกสักครู่สิ” 

 

 

นี่คือกลเม็ดที่ใช้เพื่อจะได้เลิกทรงงานเร็วๆ โดยการลดจำนวนคนที่เข้าร่วมลงเพื่อไปเจอรยูฮาไวๆ ท่านมหาเสนาบดีซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวในท้องพระโรงหลังจากที่เหล่าเสนาบดีโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงกันและออกไปจนหมดเดินเข้าไปหาฮอน 

 

 

“ขออภัย แต่ข้ามีเรื่องอยากจะบอกท่านเป็นการส่วนตัว” 

 

 

เขาจะไปหาหมอหลวงมาแล้วหรือยังนะ รอยยิ้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฮอน 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่วังกอนชองกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮอนกลับเข้าไปยังตำหนักบรรทมด้วยกันกับท่านมหาเสนาบดีแทนที่จะไปห้องทรงงาน เสียงอันหนักแน่นของท่านมหาเสนาบดีฟังดูไม่สบายใจ แต่ท่านพ่อตาเป็นคนหนักแน่นอยู่แล้วแต่แรกไม่ใช่หรือ เขาพยายามข่มความไม่สบายใจในหัวสมองเอาไว้ด้วยความทรงจำดีๆ ในตอนเช้า แต่คำพูดที่ท่านมหาเสนาบดีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเมื่อครู่ก่อนที่สำรับน้ำชาจะถูกนำเข้ามาถวายได้ลบรอยยิ้มบนพระพักตร์ออกไปจนหมด 

 

 

 

 

 

เมื่อคืนวาน 

 

 

ฮอนกับท่านมหาเสนาบดีมัวแต่พูดคุยกันในห้องทำงานจึงไม่ได้ออกไปข้างนอกจนเงาพระจันทร์เริ่มทอดยาว 

 

 

“เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว เชิญท่านกลับก่อนดีกว่า” 

 

 

หลังจากเจอคนที่เหมาะสมที่จะมอบหมายงานและให้ดูแลเรื่องนี้คร่าวๆ แล้ว ฮอนก็นวดหลังคออันเหนื่อยล้าพร้อมกับหาว ขนาดมีท่านมหาเสนาบดีอยู่ด้วย งานยังกองเป็นภูเขาเลากา หากไม่มีเขาล่ะก็คงจะอนาคตมืดมนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแน่นอน 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท บรรทมให้สบายนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เดี๋ยว” 

 

 

ฮอนที่กำลังจะลุกเช่นกันรั้งเท้าของท่านมหาเสนาบดีเอาไว้ เพราะความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา 

 

 

“คือว่า ข้ามีเรื่องกลุ้มใจ” 

 

 

“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ควรปรึกษาเรื่องแบบนี้หรือไม่นะ แต่ก็ลังเลได้ไม่นาน ไหนๆ ก็ตั้งใจจะรับจดหมายลาออกอยู่แล้วก็ควรจะต้องได้ยาสมุนไพรที่เขาเคยบอกว่าดีด้วยไม่ใช่หรือ 

 

 

“โฮจิน…ไม่ใช่สิ องค์รัชทายาทเองก็มีข่าวดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีแค่พระมเหสีของพวกเราเท่านั้นที่ยังไม่ตั้งครรภ์” 

 

 

“ทั้งสองพระองค์ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่เลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ตาดำที่เขินอายขยับไปมาทุกทิศทุกทาง แต่ความมุ่งมั่นของเขายิ่งใหญ่กว่าความอาย ดังนั้นฮอนจึงไม่สนใจเรื่องความละอายใจและกดเสียงลงต่ำพลางยื่นตัวไปหาพ่อตาเล็กน้อย 

 

 

“ตามที่ข้าพูด ยาสมุนไพรดีตัวนั้น…ที่ท่านเคยบอกเมื่อคราวก่อน ยังมีอยู่หรือไม่” 

 

 

พอได้เห็นสีหน้าในตอนนี้จึงรู้ได้เลยว่าเขายังคงเป็นองค์รัชทายาทผู้ไม่ประสีประสาอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาของเขาเป็นประกายมากขึ้นอีก ทันทีที่ท่านมหาเสนาบดียิ้มแย้มและตอบว่าจะนำมาให้พรุ่งนี้ ฮาแบคเคยขึ้นเขาเพื่อไปเก็บสมุนไพรและตามหาต้นโทซาจา[1]อันล้ำค่าซึ่งว่ากันว่าช่วยในเรื่องการตั้งครรภ์มาอบแห้งอยู่หลายรอบมาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็คงจะกินได้พอดี 

 

 

“บางทีวันพรุ่งนี้หลังจากเสร็จสิ้นว่าราชการในตอนเช้า กระหม่อมจะนำมาถวายหลังจากพบหมอหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เดินทางกลับโดยปลอดภัยนะขอรับ ท่านมหาเสนาบดี” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] โทซาจา หรือต้นฝอยทอง ในตำรายาจีนมีการรับรองว่ามีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย เพิ่มสมรรถนะทางเพศในผู้ชาย บำรุงตับ ทำให้ชะลอวัย มีอนุมูลอิสระจำนวนมาก ป้องกันโรคกระดูกพรุน