ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 67 ข้าได้พบกับเจ้าที่ข้างสระอีกครั้ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างมาก เป็นเพราะเขาพบว่าตนถึงกับไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับโซ่ตรวนและค่ายกลที่อยู่ในกำแพงเลย

เขาอ่านคัมภีร์เต๋าจนเชี่ยวชาญ หลังจากที่มาจิงตูก็ได้ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งมาไม่น้อย มีความรู้กว้างขวาง ในสวนโจวได้พูดคุยกับแม่นางชูเจี้ยนในตอนกลางคืน ที่ทุ่งกว้างก็สนทนากับซูหลี อัจฉริยะทั้งสองคนนั้นได้สอนสิ่งต่างๆ มากมายให้กับเขา แต่ เขายังคงมองค่ายกลนี้ไม่ออก กระทั่งแม้แต่จะจับต้นชนปลายก็ยังไม่ได้เลย เขารู้สึกได้เพียงแค่ว่าในนั้นมีไอพลังปราณที่ยิ่งใหญ่จนยากจะจินตนาการกับจิตสังหารที่น่ากลัวซ่อนอยู่

เขากำลังกะเทาะชั้นน้ำแข็ง ตอนที่กำลังตั้งสมาธิมองจุดที่โซ่เชื่อมอยู่กับกำแพงหิน รูปสลักของขุนพลเทพทั้งสองผู้จากไปแล้วที่ถูกสลักไว้บนกำแพงหินที่ใหญ่โตอย่างหาใดเปรียบนั้น ก็ราวกับว่ากำลังมองเขาอยู่

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมา มองไปทางด้านบนของกำแพงหิน

มองดูขุนพลเทพทั้งสองคนนั้นที่อยู่ในตำนาน ในใจของเขาก็สั่นสะท้าน

ผู้แข็งแกร่งในตอนนั้น ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ

ยุคสมัยของดอกไม้ป่าที่ผลิบานครั้งแรกในรอบพันปี ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เลย เขามั่นใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหวังจือเช่อผู้จัดวางค่ายกลนี้ หรือจะเป็นขุนพลเทพสองคนนี้ผู้เหลือเพียงดวงจิตทิ้งเอาไว้บนกำแพงหิน ผู้ที่สามารถใช้โซ่กักขังมังกรเอาไว้ได้เช่นนี้ จะต้องเหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว ในบรรดายี่สิบสี่ขุนนางผู้มีความชอบในหอหลิงเยียน จะมีกี่คนที่อยู่ในขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์

ในสมัยของจักรพรรดิไท่จง โลกมนุษย์ถึงกับแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้เชียวหรือ

มิน่าเล่าถึงโจมตีเผ่ามารจนพ่ายแพ้ยับเยินได้ สุดท้ายแล้วก็ขับไล่พวกเขากลับไปที่เมืองเสวี่ยเหล่า เช่นนั้นในตอนนี้เล่า ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนที่หวังผ้อออกมาจากเมืองเทียนเหลียง คนจำนวนมากล้วนคิดว่า มนุษย์จะได้เจอกับยุคสมัยที่ดอกไม้ป่าผลิบานอีกครั้ง เขาเองก็อยู่ในนั้น เช่นนั้นแล้ว เขากับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในยุคสมัยนี้ เมื่อไหร่ถึงจะสามารถไล่ตามคนเหล่านั้นในอดีตได้

“พักเถิด ด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้ ไม่สามารถดึงโซ่เส้นนั้นออกจากกำแพงได้หรอก”

เสียงของมังกรดำสะท้อนขึ้นมาในใต้ดินที่เงียบสงบ และใช้ภาษาของมนุษย์ในการพูด ดังนั้นจึงได้ยินเป็นเสียงของเด็กสาว ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจ ใช่ นางพอใจกับการแสดงออกของเฉินฉางเซิงในวันนี้อย่างมาก เทียบกับคำขอบคุณง่ายๆ เมื่อครู่นี้ ท่าทีตอนที่เขาวิเคราะห์โซ่กับค่ายกลบนกำแพงช่างมีสมาธินัก เช่นนั้นนี่ก็คือการมีความตั้งอกตั้งใจ

ลมเย็นพลันพัดขึ้น ร่างกายของมังกรดำที่ใหญ่โตราวภูเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนที่ว่างในใต้ดิน ก็ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร ในเวลาอันสั้น ส่วนหัวก็มาอยู่ที่ตรงหน้าของเฉินฉางเซิง มองเขาลงมาจากที่สูง ดูทรงอำนาจอย่างมาก และในเวลาเดียวกันก็จงใจแสดงให้เห็นถึงความเย็นชา

เฉินฉางเซิงกำลังมองลวดลายที่ไม่รู้ความหมายที่อยู่บนโซ่เหล่านั้น แล้วส่ายหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดกับมังกรดำ “เจ้าอาจจะต้องให้เวลาข้ามากกว่านี้”

มังกรดำพูดขึ้น “เมื่อครู่ข้าก็พูดกับเจ้าไปแล้ว เวลาสำหรับข้าไม่ได้สำคัญ ที่สำคัญก็คือผลลัพธ์”

เฉินฉางเซิงคิดในใจว่าเจ้าเคยพูดประโยคนี้ที่ไหน หลังจากคิดดูถึงได้เข้าใจ มังกรดำหมายถึงเสียงมังกรคำรามนั่น ปัญหาคือ เขาไม่สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่ในเสียงมังกรคำรามนั่น

เขาเงยหน้าแล้วเอ่ยถามมังกรดำ “สรุปแล้วเมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับข้า เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”

มังกรดำพูดขึ้น “เมื่อไหร่ที่เจ้าฟังประโยคนั้นเข้าใจ แน่นอนว่าก็จะมีคำตอบเอง”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นถึงมักจะพูดจายากที่จะเข้าใจเช่นนี้ ใต้เท้าสังฆราชเป็นเช่นนี้ จูลั่วเป็นเช่นนี้ ในตอนนี้มาคิดดูแล้ว มีเพียงแค่ซูหลีที่ค่อนข้างจะเหมือนคนปกติ ถึงแม้ว่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเองก็ไม่ได้ปกติสักเท่าไหร่

เขามองออก มังกรดำได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าตนจะถามเช่นไร มันก็จะไม่พูด ก็เหมือนกับเมื่อก่อน ตั้งแต่ต้นจนจบมันก็ไม่ยอมบอกเขาว่าคืนที่ถอดจิตเป็นครั้งแรกนั้นเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ดูเหมือนเพราะเหตุผลบางอย่างอยู่ๆ มันก็อยากจะพูดขึ้นมา ดังนั้นจึงพูดขึ้น เช่นนั้นที่เกี่ยวข้องกับเสียงมังกรคำรามนั่น บางทีภายหลังในตอนที่มันอยากจะพูดแน่นอนว่าถึงจะพูด…เพียงแค่ยังค่อนข้างจะอยากรู้อยู่นะ

ในตอนนี้เฉินฉางเซิงถึงได้พบว่า การมีทักษะภาษาที่ดี นี่ก็เป็นเรื่องที่แสนจะสำคัญอย่างมาก

……

……

นี่คือตำหนักที่ในสายตาของคนภายนอก ไปจนถึงเอกสารราชวังล้วนกล่าวว่าเป็นตำหนักร้าง แต่มีเพียงพวกขันทีนางกำนัลที่อยู่ข้างกายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นที่รู้ บางครั้งเหนียงเหนียงก็จะมานั่งเล่นเดินเล่นอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ แต่กลับไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะอะไร โดยเฉพาะหลังจากวันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อปีก่อน จำนวนครั้งที่เหนียงเหนียงมาที่นี่ก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่คนที่สามารถอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ได้กลับน้อยลงเรื่อยๆ

ในวันนี้ในตำหนักแห่งนี้มีเพียงแค่นางคนเดียว

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ข้างสระน้ำนอกตำหนัก มองดูสระเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้านี้ และหยุดอยู่เป็นเวลานานอย่างมาก

ตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ตกดิน จนมาถึงกลางคืนอีกครั้ง…นางปกครองแคว้นที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ เป็นเจ้าเหนือหัวของโลกมนุษย์ทั้งหมดอยู่ในนาม ทุกวันต้องจัดการงานราชการจำนวนนับไม่ถ้วน เวลาสำหรับนางมีค่าอย่างหาใดเปรียบ แต่นางกลับมองดูสระน้ำเล็กๆ นี้ไปหนึ่งวันเต็มๆ

ในตอนแรกสุด เป็นเพราะหลังจากที่นางคุยกับผู้เฒ่าผู้นั้น ในใจค่อนข้างจะไม่สงบ สำหรับนางแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างมาก ดังนั้นจึงคิดจะมาสงบใจอยู่ที่ข้างสระน้ำที่ไม่มีคนนี่

หลังจากนั้นเป็นเพราะนางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลายครั้งที่สระน้ำตรงหน้า การได้พบกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

ภายหลังเป็นเพราะนางพบว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมาถึงที่สระน้ำแล้วจริงๆ

ในนาทีนั้น นางเงยหน้ามองดูดวงดาวที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาเต็มท้องฟ้าในยามค่ำคืน ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ มีความเย้ยหยันและคิดว่าเรื่องของโชคชะตานี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

นางเคยเปลี่ยนโชคชะตาของตน นางคือคนที่ไม่เกรงกลัวต่อการเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่สุดในโลกผู้นั้น ดังนั้นนางถึงไม่ได้จากไป แต่กลับรอคอยการมาถึงของโชคชะตา

น้ำในสระสีเขียวท่ามกลางความมืดพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะน้ำส่วนที่อยู่ตรงกลางสุดนั่น ไม่หยุดที่จะพลิกตลบไปมา ราวกับกำลังเดือดพล่านอยู่ก็ไม่ปาน

นางมองที่ตรงนั้นอย่างสงบ ปล่อยให้สายลมยามราตรีพัดผ่านใบหน้า

ในสมัยของจักรพรรดิไท่จง นางเป็นหญิงงามที่มีชื่อไปทั่วหล้า ต่อให้เป็นโจวอวี้เหรินก็ไม่อาจจะชิงความโดดเด่นไปจากนางได้

หลังจากที่นางได้กลายเป็นฮองเฮา ในสายตาของคนจำนวนมาก นางก็ได้กลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

ในตอนที่นางเริ่มตรวจฎีกาแทนจักรพรรดิองค์ก่อน ออกว่าราชการ ถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีใครกล้าใช่คำว่าหญิงงามสองคำนี้มาบรรยายถึงนางแล้ว

อำนาจนั้นอยู่เหนือความงามอย่างเป็นนิรันดร์

แต่ว่านี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงข้อหนึ่งไป นางงดงามอย่างมากจริงๆ

บนใบหน้าของนางไม่เห็นร่องรอยของกาลเวลาใดๆ อย่างที่เรียกว่าสงบสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ เป็นเพียงปัญหาของท่าที รูปโฉมของนางไม่มีสิ่งใดให้ตำหนิ งดงามอย่างถึงที่สุด เพียงแค่บางทีอาจจะเป็นเพราะนางปกครองโลกใบนี้มานานมาก ช่วงหว่างคิ้วถึงได้มีความน่าเกรงขามกับจิตสังหารอยู่จางๆ

แต่ในตอนนี้สายลมยามราตรีพัดผ่านใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ความงดงามกับความน่าเกรงขามเหล่านั้นก็ถูกพัดออกไปจนหมด แสดงถึงความธรรมดาอย่างมาก จิตสังหารนั่นยังอยู่ แต่กลับซ่อนเข้าไปที่ส่วนลึกของกลางหว่างคิ้ว

เสียงน้ำยังคงดังขึ้นจากในสระไม่หยุด สายลมในยามราตรีก็ไม่ขาดหาย เข้าโอบล้อมรอบกายของนาง ฉลองพระองค์ที่เป็นตัวแทนของตำแหน่งและฐานะของนาง พลันเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงที่แสนธรรมดาชุดหนึ่ง

ในช่วงที่สายลมพัดผ่าน นางกลับกลายเป็นเพียงสตรีที่แสนธรรมดาผู้หนึ่ง มีเพียงปิ่นไม้สีดำนั่นที่ยังปักอยู่บนเรือนผม

และเมื่อคลื่นน้ำกระจัดกระจาย เฉินฉางเซิงก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

เขาว่ายมาถึงขอบสระแล้วปีนขึ้นมา เดินมาจนถึงพุ่มไม้ และเตรียมจะหยิบเอาชุดแห้งที่เตรียมเอาไว้มาเปลี่ยนกับชุดที่เปียกบนร่าง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เขาหันกายไปมองสระน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็ได้เห็นนางเข้า