เว่ยเจิงรอให้ขุนนางทุกคนเข้าไปกันหมด เขาถึงได้เข้าไปที่ห้องของตัวเองบ้าง ยังไม่ต้องดูของตกแต่งภายใน แค่เห็นลูกบิดประตูที่ทำจากทองคำและแกะสลักเป็นลวดลายมังกรที่ประตู ก็สามารถจินตนาการถึงความหรูหราของห้องข้างในได้แล้ว
เมื่อผลักประตูเข้าไป มีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่หลังประตู บนหัวมีแค่ปิ่นปักผม ไม่มีเครื่องประดับอื่นๆ อีก แม้แต่ที่เขียนคิ้วที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงนางก็ไม่มี เรียบง่ายแต่กลับสุภาพอ่อนโยน หลังจากหมอบเคารพเสร็จ นางก็นั่งยองๆ ถอดรองเท้าให้เว่ยเจิง และเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้านุ่มๆ ให้เขา จากนั้นก็โค้งคำนับอีกครั้งและเดินกลับไปที่หลังประตูอย่างเงียบๆ ยืนกำมือด้วยความเคร่งขรึม
พรมนุ่มๆ ใต้เท้า เหยียบลงไปรู้สึกสบาย เงยหน้าขึ้นมองเห็นภรรยากำลังมองดูของตกแต่งที่อยู่ภายในห้อง กระถางดอกไม้สีเขียวสองสามกระถางเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด ใบไม้สีเขียวเข้มสลับกันไปมา ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ ดอกไม้และต้นไม้ที่หายากเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าที่นี่ก็มี
ลูกชายของเขา กุ้ยหยู้ยิ้มและช่วยประคองพ่อของตัวเองนั่งลง ตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ กัน แต่เขามักจะขยับตัวไปมา ที่จริงเว่ยเจิงรักลูกชายคนโตคนนี้มากที่สุด เพราะตอนเด็กเขาเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หลังจากตื่นขึ้นมาเขาก็กลายเป็นคนซื่อๆ แบบนี้ และไม่ฉลาดเหมือนตอนเป็นเด็กอีกต่อไป โต๊ะตัวเตี้ยข้างเก้าอี้เต็มไปด้วยขนมนานาชนิด ถ้าเขาไม่แตะ ลูกคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะแตะต้อง เว่ยเจิงหยิบขนมที่เขาชอบกินตอนไปเยี่ยมที่บ้านของตระกูลอวิ๋นแล้วยื่นให้ลูกชาย ขนมอันนี้กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน
“อาหลาง เจ้าลองคุยกับอวิ๋นเยี่ย ขอให้เขาขายบ้านถูกกว่านี้หน่อยได้ไหม ข้ารู้สึกว่าเงินของเราไม่พอ เจ้าดูสิ เศรษฐีทั่วทั้งฉางอันมากันหมด ถึงตอนนั้นหากซื้อไม่ได้ต้องอับอายมากแน่ๆ”
เว่ยเจิงมองไปตามมือที่ภรรยาชี้ เห็นว่าโรงละครแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยผ้าไหมและผ้าซาติน เดินตามคนรับใช้ไปยังที่นั่งของตนเอง
คนพวกนี้ล้วนเป็นผลผลิตของอวิ๋นเยี่ย บางคนเป็นผลผลิตจากการเกษตร บางคนเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์ และก็มีบางคนที่เป็นผลผลิตจากทองคำหินเหล็ก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องเจอกับคนที่เก็บผลผลิตเป็นเงินอย่างอวิ๋นเยี่ย คืนนี้ถูกกำหนดให้เป็นวันที่ดีในการเก็บเกี่ยวของอวิ๋นเยี่ย
“ฮูหยินไม่ต้องกังวล ถ้าเงินไม่เพียงพอก็ยังไม่ต้องให้ ติดไว้ก่อน มีเงินแล้วคอยคืน ไม่มีเงินก็ไม่คืน งานแต่งงานของกุ้ยหยู้มีความผิดต่อตระกูลญาติ ถึงแม้จะเป็นการหมั้นตั้งแต่เด็ก แต่ศีรษะของกุ้ยหยู้เคยได้รับบาดเจ็บ เขากลายเป็นคนซื่อๆ พูดจาไม่เป็น ตระกูลของเราก็เคยเสนอยกเลิกงานแต่งไปแล้วหลายหน แต่ก็ถูกตระกูลญาติปฏิเสธ ถ้างั้นเขาก็ต้องพิจารณาเรื่องเงินแทนพวกลูกๆ ไม่ให้เงินค่าบ้านแล้วเขาจะทำอันใดกับข้าได้” คำพูดของเว่ยเจิงทำให้ภรรยาของเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขายังเป็นอาหลางคนที่ซื่อสัตย์ของตัวเธออยู่หรือเปล่า
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลว่าข้าจะโลภมาก หากเป็นคนอื่น เอาเขาทองคำให้ข้า ข้าก็คงจะหัวเราะเยาะ แต่ถ้าเป็นอวิ๋นเยี่ย เอาเปรียบเขาได้ก็ควรเอาเปรียบ ข้าไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย”
เว่ยเจิงพูดถึงเรื่องการเอาเปรียบอย่างไม่รู้สึกผิด ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น มันยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความเกลียดชังคนรวยของเขาได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาคิดว่าคนที่อยู่ในโรงละครตอนนี้ นอกจากคนส่วนน้อยที่มาชมการแสดง ส่วนที่เหลือก็คือลูกแกะที่ต้องถูกฆ่า
“อาหลาง อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเช่นนี้ สงสารก็แต่พวกท่านย่ากับซินเยว่ ตระกูลของเราจะเอาเปรียบเขาไม่ได้ เราจะเอาเงินทั้งหมดให้เขา ถ้ายังไม่มีก็ติดไว้ก่อน แต่เราจะไม่เบี้ยว” เว่ยฮูหยินพูดอย่างหนักแน่น
“ฮูหยิน พวกเจ้าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นไอ้ขี้แพ้จริงๆ น่ะเหรอ แต่ก็ใช่ ชื่อนี้แพร่กระจายไปทั่วฉางอัน ฮูหยินไม่ต้องกังวล ผ่านคืนนี้ไปเจ้าก็จะรู้ว่าเขาเป็นไอ้ขี้แพ้เช่นไร”
ทันใดนั้น ไฟในโรงละครก็พลันสว่างขึ้น เว่ยเจิงลุกขึ้นยืน ถ้าเดาไม่ผิด ฝ่าบาทน่าจะเสด็จมาถึงแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากเป่าทรอมโบนเสร็จ ไฟในห้องตรงกลางก็สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน หลี่ซื่อหมินและฮองเฮายืนต้อนรับแขกอยู่ที่ระเบียงห้อง มีพ่อค้าที่เดินทางมาจากแดนไกลก้มหัวทำความเคารพอย่างตื่นเต้น และยังตะโกนของให้พระองค์ทรงพระเจริญ
หลี่ซื่อหมินบอกให้ทุกคนนั่งลงอย่างแผ่วเบาและกลับไปที่ห้องของตัวเองได้ แสงไฟของที่นั่นก็กลายเป็นแสงที่นุ่มนวลทันที ฉากเมื่อสักครู่ทำให้ทุกคนรู้สึกประทับใจ ราวกับว่ามีมังกรยักษ์โผล่หัวออกมาจากถ้ำเพื่อทักทายกับปวงชน จากนั้นก็กลับเขาไปในถ้ำดังเดิม คำพูดเพียงไม่กี่คำของหลี่ซื่อหมินทำให้เขาดูเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ หากเขาพูดมากเกินไป เกรงว่าความยิ่งใหญ่จะยิ่งลดน้อยลง
กลับเข้ามาในห้อง หลี่ซื่อหมินถอดรองเท้าและเดินเท้าเปล่าไปบนพรม ชื่นชมการตกแต่งของห้อง ที่ที่สามารถใช้ทองคำจะไม่มีการใช้ทองเหลือง ที่ที่สามารถใช้ไข่มุกและหยกก็จะไม่มีการใช้ของราคาถูก ม่านลูกปัดที่ใช้กั้นระหว่างระเบียงห้องล้วนทำมาจากไข่มุกขนาดเท่ากัน เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดกับจั่งซุนว่า “ข้านึกว่าไอ้หมอนี่โลภมากจะเอาหนึ่งพันเหรียญ คิดไม่ถึงว่ามันก็สมกับราคานี้จริงๆ ข้าชอบที่นี่มาก ให้รางวัลเขาหนึ่งพันเหรียญ”
จั่งซุนกำลังยืนมองบรรดาผู้คนที่เบื้องล่างอยู่หลังม่าน ได้ยินหลี่ซื่อหมินพูดเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วหันมาจับแขนของหลี่ซื่อหมิน แล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นเยี่ยจะเจ้าเล่ห์เพียงไหน แต่เขาก็เข้าใจคำว่าคุ้มค่า การที่จะตกแต่งห้องได้เช่นนี้ต้องใช้เงินเป็นพันเหรียญ ดอกเก๊กฮวยสองกระถางนี้บานได้สวยงามจับตา ข้าจะเอากลับไปยังพระราชวังด้วย เอาวางไว้ที่นี่ก็ไม่มีคนดูแล”
สองสามีภรรยาคุยกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าไฟในห้องโถงมืดลง แต่ไฟบนเวทีกลับสว่างไสวขึ้นมา มีชายร่างท้วมคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่บนเวที มองไปรอบด้านด้วยความหวาดกลัว และเมื่อบรรยากาศเงียบลง เขาถึงได้เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “งานประมูลในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่าบาท ฮองเฮา องค์ชายรัชทายาท และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาในงาน พวกข้ารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง เราได้เตรียมการแสดงร้องเพลงและเต้นรำไว้จำนวนหนึ่ง หวังว่าจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง” กว่าจะอ่านจบ เหงื่อที่หน้าผากของเขาก็ไหลลงมาราวกับลำน้ำ ยิ่งที่นั่งใกล้ก็ยิ่งมองเห็น ทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา มองดูแผ่นหลังที่เปียกชื้นของเจ้าอ้วน พวกเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นอีก
“คนปอดแหกเช่นนี้ก็เอาออกมาแสดงให้ทุกคนเห็น รอบตัวอวิ๋นเยี่ยไม่มีใครอื่นแล้วหรือ ขายหน้าจริงๆ ถ้าตระกูลของข้ามีคนปอดแหกเช่นนี้ ข้าจะตีให้ตาย สร้างโรงละครอะไรขึ้นมาหรูหรา อวิ๋นเยี่ยก็มีความสามารถเพียงเท่านี้” ชายแก่ผมขาวถอนหายใจอยู่ในห้อง คิดว่าบรรดาเด็กพวกนี้ไม่มีใครมีความสามารถเลยสักคน
หลี่เฉิงเฉียนนั่งหัวเราะอยู่ที่ระเบียงระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง มีหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองที่อยู่ข้างๆ คอยจับเขาไว้ กลัวว่าเขาจะตกลงไป ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีอะไรมากั้น ทั้งสองจึงใกล้ชิดกันมาก
“ถานเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันเสแสร้งแกล้งทำ ปกติเขาเป็นคนกล้าหาญเจ้าเล่ห์ที่สุด ตอนนี้กลับกลัวจนเหงื่อออก มันต้องมีปัญหาแน่ๆ เจ้าบอกเสด็จพ่อของเจ้าหรือยังว่า คืนนี้ห้ามซื้อเครื่องแก้วเด็ดขาด” ในระหว่างที่หลี่เฉิงเฉียนถามคำถาม พวกเขาก็จับมือกันอยู่ตลอด ไม่ยอมปล่อยมือ ฉางเล่อที่เฝ้ามองอยู่ข้างหลังกำลังจะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ กัน นี่คือหน้าที่ที่เสด็จแม่สั่งให้เขาทำ
คิดไม่ถึงว่าจะมีมือยื่นออกมาปิดปากของเขาจากทางด้านหลัง ลากเขาออกมาทางประตู ไม่นานก็มีคนอุ้มเขาเข้าไปในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว องครักษ์ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเห็น ยังคงยืนเป็นเสาไม้อยู่ที่นั่นดังเดิม
ฉางเล่อกลัวจวนจะเป็นลม แต่เขาก็โดนปล่อยในที่สุด แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง “เด็กโง่ ก็เห็นอยู่ว่าพวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว เจ้าจะยืนอยู่ที่นั่นทำไม ไม่รู้เรื่องเลย”
น้ำตาของฉางเล่อที่กำลังจะไหลพลันหายไปในทันที หันไปดูรอบๆ เห็นหลี่ไท่และพี่หลี่เค่อยืนทำหน้าทะเล้นใส่เขาอยู่ข้างหลัง เขาเป็นเด็กที่ไม่ค่อยชอบโมโห แต่พอโมโหขึ้นมาก็น่ากลัว เขาจับแขนของหลี่ไท่มากัดอย่างแรง และยังคงกัดอย่างไม่ยอมปล่อย เห็นหลี่ไท่กรีดร้อง หลี่เค่อก็ปล่อยให้พี่น้องจัดการกันเอง ส่วนตนเองก็กลับเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่กลับเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นมาบนเวที “รับคำสั่งทางทหารจากฉินอ๋อง จัดการกับพวกกบฏ บทเพลง ‘ทำลายข้าศึก’ คืนความสงบสุขให้ประชาชน” หลี่เค่อได้ยินเสียงนี้ เขาก็รีบออกไปลากหลี่ไท่กับฉางเล่อเข้ามา และพูดกับฉางเล่อว่า “ รีบปล่อยเร็ว เพลงเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าเจ้าไม่ยืนตรง เดี๋ยวจะถูกเสด็จแม่ลงโทษเอานะ”
ทั้งสองคนถึงได้ยอมปล่อย หลี่ไท่จับแขนของตัวเองและถามหลี่เค่อว่า อวิ๋นเยี่ยบ้าไปแล้ว ร้อยยี่สิบแปดคนถึงจะสามารถบรรเลงเพลงทำลายข้าศึกได้ เขาเอามาบรรเลงที่นี่ เขาคิดอะไรอยู่ พูดเสร็จก็มองไปบนเวที เป็นอย่างที่คิดไว้ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกใส่ชุดเกราะจะเต้นรำแล้ว ฆ้องขนาดใหญ่ กลองขนาดใหญ่ เสียงที่ดังกังวานของขลุ่ยเพียงออผสมผสานกับเพลงของแคว้นแดนชิวฉือที่ไพเราะ ในโรงละครเต็มไปด้วยชาวฉางอันที่กำลังตื่นเต้น
แม้มีกระดาษยัดอยู่ในหู อวิ๋นเยี่ยก็กำลังคุยอยู่กับหลี่ไป่เย้าหนึ่งในบรรณาธิการของเพลงทำลายข้าศึก “ท่านอวิ๋นยอดเยี่ยมจริงๆ การบรรเลงเพลงทำลายข้าศึกในโรงละครแห่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มีเสียงฆ้องและเสียงกลองหมุนไปมาอยู่ข้างในหู ดนตรีโบราณของแดนชิวฉือ นักแสดงที่อยู่บนเวทีก็ร่ายรำได้อย่างงดงาม เจ้าฟังสิ ตอนนี้กำลังจะถึงท่อนกลาง”
กระดาษยัดอยู่ในหู เสียงที่ดังกระหึ่มราวกับเวทมนตร์ยังคงดังทะลุเข้ามา “ลมแห่งทะเลทั้งสี่และสายน้ำที่ใสสะอาด ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะ วันนี้เราจะประสบความสำเร็จ” นักแสดงตะโกนคนเดียวก็พอแล้ว จะให้คนหลายพันคนในโรงละครตะโกนพร้อมกันคงจะตาย แต่ก่อนก็ไม่เคยชอบร็อคแอนด์โรล ตอนนี้ยังมาทรมานตัวเอง ก็แค่คนร้อยกว่าคนที่ออกท่าทางอย่างยิมนาสติกไม่ใช่เหรอ ผู้คนเป็นหมื่นในกีฬาโอลิมปิกก็เคยเห็นมาแล้ว เห็นคนเป็นร้อยใส่ชุดเกราะสีขาวกระโดดไปมา อวิ๋นเยี่ยก็คิดถึงภรรยายี่สิบเอ็ดคนของซีถงขึ้นมา จะให้ร้องเพลงสรรเสริญก็ไม่มีปัญหา เพราะนี่คือสิทธิของผู้ชนะ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าควรจะหาสามีที่ดีให้ผู้หญิงที่กำลังจะอดตายสิ
“เป็นเช่นไร ท่านอวิ๋น ท่านดูสิ บรรยากาศที่งดงาม ช่างอลังการงานสร้าง สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือก็บทเพลงของแดนชิวฉือ มันช่างสูงส่งและงดงาม เสียงกลองดังขึ้นไปบนสวรรค์ ถ่ายทอดออกไปเป็นพันลี้ มันทำให้โลกเคลื่อนไหวได้”
หลี่ไป่เย้าตะโกนเข้าไปที่หูของอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่รู้ว่าเขากำลังตายทั้งเป็นอยู่ เขาภาวนาให้ถึงท่อนสุดท้ายเร็วๆ “พระเจ้าผู้ก่อตั้ง ขุนนางผู้จงรักภักดี ไม่มีการทำสงคราม ประชาชนก็จะสงบสุข” รีบอ่านให้จบๆ เสียทีเถิด เขาจะได้ยังไม่ตาย