ในหนังสือประวัติศาสตร์บรรยายการร่ายรำเพลง ‘ฉินอ๋องทำลายข้าศึก’ ไว้อย่างสง่างาม ท่วงท่าโดดเด่น แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยสิ่งเหล่านั้นดูโง่เง่า การร่ายรำก็ไม่ได้งดงาม การยกขาไม่ตรงพอ การผสมผสานกันก็ไม่ลงตัว เพลงประกอบเหมือนเสียงเอะอะโวยวายมากกว่าเสียงดนตรี โดยเฉพาะเพลงที่หลี่ซื่อหมินประพันธ์ขึ้นมาเอง สามารถนึกภาพออกได้เลยว่ามีฝีมือแย่แค่ไหน
ยังดีที่ยังสามารถผ่านภัยพิบัติอันน่ากลัวมาได้ ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมของผู้คน กลองไม่มีคนเคาะ ฆ้องก็ไม่ดังอีกแล้ว เสียงเพลงของชิวฉือก็ไกลออกไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่ยังดีใจได้ไม่ทันไร ความวุ่นวายจากเสียงตะโกนที่ว่า “จักรพรรดิทรงพระปรีชา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง อายุยืนหมื่นปี” ฟังเสียงร้องตะโกนของหลี่ไป่เย้าที่อยู่ข้างๆ เขา อวิ๋นเยี่ยก็เลยต้องเข้าไปร่วมตะโกนด้วย
เมื่อเปิดประตูมาอย่างทุลักทุเล ต้องพิงตัวลงนอนที่ราวบันไดอยู่พักใหญ่ถึงจะมีแรงลุกขึ้นมา คราวหน้าถ้ามีงานเลี้ยงที่มีเพลง ‘ฉินอ๋องทำลายข้าศึก’ อีก ให้ตายก็ไม่ไปอีกแล้ว เหอเซ่าหน้าแดงระเรื่อ เขาถามอวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ดูจากสีหน้าของเหอเซ่า อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาสนุกมากแค่ไหน โดยเฉพาะในตอนท้ายเมื่อหลี่ซื่อหมินจับมือกับผู้คนบนเวที มีหลายคนร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตัน
“จะทำอะไรได้อีกล่ะ ก็ทำตามแผนที่ตกลงกัน การร่ายรำอย่างมากก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ขั้นต่อไปก็ต้องพึ่งเจ้าแล้วล่ะ ข้าออกไปให้เห็นหน้าไม่ได้ ทำให้พวกเขาดีใจแล้วค่อยเริ่มประมูล จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูที่จุดนี้แล้ว”
“การแสดงรำดาบเมื่อครู่สนุกมาก ข้ารำจนเลือดกำเดาไหลออกมาแล้ว” เหอเซ่าเลียริมฝีปากอันอวบอิ่มแล้วพูดอีกว่า “มีหลายคนอยากดูอีก ข้าว่าเรารำอีกสักรอบดีไหม”
หลังจากจัดการลากคนพวกนั้นออกไป เหนื่อยจนต้องนอนอยู่แถวราวบันไดอันกว้างขวางเพื่อพักสักครู่ ในตอนนี้ไม่กล้าเข้าไปในงานแล้ว มีคนดึงชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ เมื่อเขาหันกลับไปดูก็พบว่าเป็นซือซือกับซินเย่ว เขายิ้มอย่างเหน็ดเหนื่อยพร้อมกับพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่เข้าไปล่ะ การร่ายรำสนุกมาก ไม่ต้องสนใจข้า ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย พักสักครู่ก็ดีขึ้น”
“ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า ข้าจะไม่พูดอะไร เจ้านอนพักสักครู่ ข้าจะจับมือเจ้าไว้” ซินเย่วร้องไห้แล้ว ใครกันที่แกล้งนาง พอกำลังจะถาม ซินเย่วก็จับที่ใบหน้าของเขาแล้วร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“ไม่มีใครแกล้งข้า ไม่มีใครแกล้งข้า ข้าแค่ไม่สบายใจที่เห็นเจ้าท่าทางอ่อนล้า เจ้าคนเดียวต้องรับมือกับคนทั้งงาน ข้ากลัวเจ้าจะเหนื่อย อาเยี่ย เราไม่ได้ต้องการเงินแล้ว เรากลับบ้านกันดีไหม ข้าจะกล่อมเจ้านอน ห่มผ้าห่มอุ่นๆ ให้ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว กลับบ้าน นอนด้วยกันไปจนฟ้าสาง เหมือนตอนที่เราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ดีไหม”
คำพูดนางเกือบทำให้อวิ๋นเยี่ยน้ำตาไหล แต่ไม่ได้หรอก คนพวกนั้นติดหนี้ข้าอยู่ จะไม่ให้เอาคืนได้อย่างไร ข้าต้องทำให้ฉางอันไม่เหลืออะไรเลย แล้วยังต้องทำให้คนพวกนั้นติดหนี้เหยียนอ๋องของหลี่ซื่อหมินด้วย จะใจอ่อนไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยยืดเส้นยืดสายด้วยการกระโดดดีดตัวขึ้นมา แต่เขาดีดตัวไม่ขึ้น จึงพลิกตัวลุกขึ้นเอง จากนั้นก็บริหารคอพร้อมกับพูดกับซินเย่วว่า “การเป็นภรรยาควรจะทำอะไรกัน เจ้าควรไปชมการแสดงมากกว่าอยู่ตรงนี้สิ การทำให้ภรรยามีความสุขเป็นเรื่องสำคัญ ตรงนี้เป็นงานของผู้ชาย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”
พูดจบก็ให้ซินเย่วกับซือซือเข้าไปด้านใน ส่วนอวิ๋นเยี่ยไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองรอดผ่านตาข่ายเพื่อดูภายในงาน กวนต้าเจียสะบัดแขนเสื้อเต้นรำอย่างงดงาม แขนเสื้อยาวขนาดนี้ไม่รู้ว่านางสะบัดขึ้นได้อย่างไร ยากกว่าการเล่นลูกตุ้มดาวตกเสียอีก เอวบางอรชร แต่พอดูข้างล่างกลับมีเนื้อมีหนัง ก้นกลมๆ ถูกคลุมด้วยผ้าบางๆ เพียงหนึ่งผืน แม่เจ้า เมื่อครั้งที่แล้วเจอนางที่หอเอี้ยนไหลโหลวไม่ใช่แบบนี้นี่ เมื่อฝ่าบาทมา นางก็เปลื้องผ้าออกจนหมด นางแม่มด!
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่ใช่เสียงตนเอง เป็นผู้อื่นที่พูดว่า ‘นางแม่มด’ หรือว่าจะเป็นเสียงสะท้อน? สามารถพูดเสียงสะท้อนภายในใจออกมาได้เช่นนี้มีไม่มากนัก ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังจึงหันกลับไปมอง เห็นพวกผู้หญิงวิ่งกรูกันออกมา การร่ายรำของกวนต้าเจียไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงจะรับได้ จะว่าไปแล้ว เดิมทีการร่ายรำก็ไม่ได้รำเพื่อให้ผู้หญิงดู คงเป็นเพราะรับท่าทางหื่นกามของผู้ชายที่มองกวนต้าเจียไม่ได้จึงพากันวิ่งออกมา
เฉิงฮูหยินโกรธจนหูแดง บิดหูของอวิ๋นเยี่ยพร้อมกับถามว่า “งานเต้นรำดีๆ เจ้าก็ไปเอานางแม่มดมาก่อเรื่อง เจ้าดูข้างในสิ น้ำลายไหลกันหมดแล้ว เสียภาพพจน์หมด” คำพูดของนางทำให้เหล่าฮูหยินสูงอายุทั้งหลายมารายล้อมอวิ๋นเยี่ย ดึงแขนเสื้อเขาบางก็มี สถานการณ์กำลังคับขัน เหอเซ่าก็โผล่มาพอดีพร้อมกับตะโกนว่า “น้องเยี่ย น้องเยี่ย รีบมาดูเร็ว กวนต้าเจียกำลังดีดพิณ” ช่างเป็นเพื่อนที่รักกันเสียจริง สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ยังอุตส่าห์เรียกอวิ๋นเยี่ยไปดูด้วยกัน
“ท่านป้าทั้งหลาย เรื่องนางโลมข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ เหอเซ่าเป็นคนเชิญมา ท่านไปถามเขาจะดีกว่า” บางทีเพื่อนก็มีเอาไว้ขาย โดยเฉพาะเวลาเจอสถานการณ์เช่นนี้
ผู้หญิงแห่งต้าถังโหดมาก โดยเฉพาะฮูหยินของฝางเสวียนหลิง ในมือนางอุ้มแมวสีขาวหนึ่งตัว พุ่งเข้าไปยังเหอเซ่าอย่าเอาเรื่อง ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือฮูหยินของอวี้ฉือเก่งศิลปะการต่อสู้ นางถกกระโปรงขึ้นพร้อมกับยกเท้าเหยียบลงบนคอของเหอเซ่า เหอเซ่าถึงกับสำลักน้ำลาย พวกฮูหยินทั้งต่อยทั้งเตะ บางคนก็เอาปิ่นมาทิ่มเหอเซ่า เล่นเอาอวิ๋นเยี่ยที่ยืนมองอยู่กลัวจนตัวสั่น
กว่าพวกฮูหยินจะระบายจนพอใจก็เล่นเอาเหอเซ่าถึงกับหมดแรง นอนหงายไร้สภาพอยู่กับพื้น แม้แต่ที่เป้าของเขาก็มีรอยเท้าอยู่สามสี่รอย ฮูหยินทั้งหลายเดินกลับเข้าไปในงานอย่างสบายใจ อวิ๋นเยี่ยรีบไปประคองเหอเซ่าขึ้นมา แม้แต่หน้าของเขาก็บวมไปหมด เหอเซ่ากุมเป้าพร้อมกับร้องโอดโอย สักพักเขาก็หยุดร้องแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ครั้งนี้จะปล่อยให้โดนซ้อมฟรีๆ ไม่ได้ หลังประมูลสินค้าเสร็จข้าจะเอาคืนได้หรือไม่”
“แล้วแต่เจ้าเลย จะเอาคืนข้าด้วยก็ได้”
“เสียดายเจ้าไม่ได้ดูกวนต้าเจียนอนตะแคงดีดพิณ นางยกขาขึ้นสูงมาก ถ้าแสงไฟในห้องสว่างกว่านี้จะดีมาก” เหอเซ่าโดนซ้อมจนชินไปแล้ว ถึงจะจมูกเขียวหน้าบวมก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ว่าตามตัวมีรอยเลือดไม่น่ามองสักเท่าไหร่นัก
“แม่นางกวนทำไมไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทกับท่านหญิงก็อยู่ในงาน ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย” จะว่าไปเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นคนก่อ ที่นี่ไม่ใช่หอนางโลมแต่เป็นเวทีการแสดง การแสดงเปลื้องผ้าแบบนี้ในยุคต่อมาไม่เป็นไร แต่นี้เป็นต้าถัง แน่นอนว่ามันดูไม่งาม
“แม่นางกวนเคยถามข้า ให้นางช่วยจัดงานได้หรือไม่ แต่ใครจะไปรู้ว่านางร่ายรำได้ แถมยังเต้นยั่วยวนอีกด้วย” เหอเซ่าเห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ ตอนนี้ที่บ้านก็มีเมียเล็กเมียน้อยอยู่แล้วเจ็ดแปดคน ยังไม่รู้จักเปลี่ยนนิสัย สมแล้วที่โดนรุมซ้อม
ภายในงานเริ่มครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยรีบเข้าไปดูข้างใน ดีที่เป็นกงซุนกำลังรำกระบี่ แต่งองค์ทรงเครื่องครบครัน แต่ทว่าพอรำไปรำมากระบี่ก็หลุดออกจากมือนาง กระบี่เกือบจะไปปักบนอกของพ่อค้า นางได้ดึงกระบี่กลับคืนมา ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นที่ด้ามของกระบี่มีเชือกสีขาวผูกติดอยู่ สามารถควบคุมกระบี่เวลาโยนออกไปได้ทั้งสี่ทิศ หรือว่าจะเป็นกลอนที่ตู้ฝูเขียนไว้ว่า ‘รำดาบสะท้านสี่ทิศ’ ผู้คนต่างพากันแห่มาดูเยอะเท่ากองภูเขา ต่างตื่นเต้นกับการรำกระบี่ของนาง แม้แต่ฟ้าดินยังถูกสะกดด้วยการร่ายรำของนางจนสนั่นหวั่นไหวไปหมด แสงดาบแพรวพราว ดั่งเช่นโฮ่วอี้ยิงพระอาทิตย์เก้าดวง การเต้นที่แข็งแรงและว่องไว ดั่งเช่นเทพเจ้าขี่มังกรเหาะ ร่ายรำกระบี่ทรงพลังราวกับฟ้าร้อง ทำให้คนตกตะลึง เมื่อการร่ายรำจบก็กลับคืนสู่ความสงบ ดั่งการรวมคลื่นแสงของทะเล? แบบนี้ไม่ต้องรวมแสงอะไรกันแล้ว ตกใจกันจนฉี่จะราดกันอยู่แล้ว พ่อค้าต่างก็น้ำลายฟูมปากกันไปหมด คนข้างๆ ก็พากันเอามือปิดจมูก ไม่ต้องไปยืนดูข้างหน้าก็รู้
อีกคนเต้นระบำหุนทัว อีกคนรำกระบี่ ทำเอาซะคนที่อยู่ตรงนั้นต้องงัดทักษะดูแลข้าวของออกมาใช้ ที่ทำไปก็เพราะอยากเห็นหลี่ซื่อหมินยิ้ม ตอนนี้หลี่ซื่อหมินได้ก้าวผ่านระดับของเปาซื่อไปนานแล้ว ทุกคนในต้าถังยกเขาเป็นเอกลักษณ์ของต้าถัง ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
ผู้อื่นเล่นพิเรนทร์ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นจั่งซุนจะถูกลงโทษ จั่งซุนต้องรีบมาที่หน้าห้องโถงของฝ่าบาท ขออนุญาตเข้าเฝ้า พอเข้าไปในห้องกลับพบว่าหลี่ซื่อหมินกำลังหัวเราะอยู่ จั่งซุนจึงหัวเราะออกมาเช่นกัน ซ้ำฝ่าบาทยังชื่นชมด้วยท่าทางที่พึงพอใจ
เมื่อนางรำกระบี่เสร็จ ขณะกำลังเตรียมตัวลงจากเวที หลี่ซื่อหมินก็พูดออกมาว่า “น่าสนใจ กงซุนผู้นี้ให้นางเข้าวังไปสอนรำกระบี่คงจะดี” ฝ่าบาทถูกใจนางอย่างนั้นหรือ?
ท่าทางจั่งซุนไม่หือไม่อืออะไร นางจึงตอบตกลงด้วยตนเอง กงซุนคงรอข่าวนี้มานานแล้ว
ในที่สุดก็มีเสียงเป่าเยื่อไม้ไผ่ดังขึ้น เสียงพิณดังอย่างธรรมชาติ เสียงผิวปากเริ่มดังขึ้น เสียงดนตรีบรรเลงให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าลึก งูไม้ไผ่คลุมด้วยผ้าลินินย้อมสี ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีเขียว รวมกับท่าทางเลื้อยไปเลื้อยมา ตาข้างหนึ่งสีเขียวมรกต อีกข้างหนึ่งสีแดงดั่งเพลิง เมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟยิ่งดูเหมือนงูจริงๆ ผ่านไปชั่วครู่ในงานก็เงียบสงบลง อักษรงูสีแดงยืดออกมาเรื่อยๆ เป็นการแต่งตัวของนักเรียนของห้องหนังสือ เพลงระบำที่แสดงก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย ควันลอยขึ้นมากลบตัวงู พอควันจางไปก็มีผู้หญิงรูปร่างหน้าตางดงามนอนหมอบอยู่ คนหนึ่งสวมชุดสีเขียว อีกคนหนึ่งสวมชุดสีขาว เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
อวิ๋นเยี่ยไม่มีมีเวลาดูอะไรแบบนี้แล้ว เขาต้องไปหลังเวทีกับเหอเซ่าเพื่อเตรียมงานประมูล ในมือของคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นถือกล่องไม้อยู่ขณะนั่งที่หลังเวที กล่องไม้ทุกกล่องจะมีลำดับเลขติดอยู่ เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
สินค้าที่ใช้ประมูลชิ้นแรกคือไม้จินสื่อหนาน ราคาต่ำสุดอยู่ที่สามร้อยเหรียญ ขายเพียงสิบท่อนเท่านั้น ที่เหลือรอให้สร้างตำหนักเสร็จก่อนค่อยเพิ่มราคาขาย ข้าวสีม่วงยังไม่ทันได้ประมูลขายก็ถูกฝ่าบาท ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว ตระกูลฉินแบ่งไปหมดแล้ว ข้าวสีม่วงช่วยบำรุงร่างกายเป็นอย่างดี มีแค่ที่หลงเหยียนซีเท่านั้น ผลผลิตได้ปริมาณน้อย แต่ราคากลับไม่แพง เพียงแค่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง
เหลือเวลาอีกเพียงสองก้านธูปงานเลี้ยงก็จะจบลง คนที่อยู่ในงานคงได้ยินประโยคอันหวานซึ้ง แต่สำหรับอวิ๋นเยี่ย นี่เป็นการบอกรักที่น่าขัน คนร้องไห้สะอึกสะอื้น เพียงชั่วพริบตาก็เกิดลมพัดแรง พื้นดินภูเขาสั่นสะเทือน นางงูเขียวถูกเทพเกราะทองยิงด้วยธนู นางงูขาวที่บาดเจ็บอยู่กำลังต่อสู้กับเทพอย่างสุดแรง ได้ยินเสียงเด็กร้องระงม ในมือเทพถือตรีศูลต้องการแทงนางงูขาวแต่แทงไม่เข้า นางงูขาวใช้คาถาหลบตรีศูลของอวี้ฉือ ซ้ำยังถีบเทพตกลงมาจากเวที ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งนัก คนดูพากันส่งเสียงชมอย่างพึงพอใจ แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อวี้ฉือรีบนำตรีศูลคืนให้เทพเกราะทอง ส่วนตัวเองเดินอย่างทุลักทุเลลงมาดูการแสดงอยู่ข้างล่าง
อวิ๋นเยี่ยมองรอดจากช่องว่างเห็นหลี่ซื่อหมินและภรรยาของเขาหัวเราะอย่างออกรสออกชาติ จนกระทั่งนักบวชฝาไห่เดินขึ้นมาถึงได้หยุดหัวเราะ “นางปีศาจ มนุษย์ก็อยู่ส่วนมนุษย์ ปีศาจก็อยู่ส่วนปีศาจ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน แอบมาพัวพันกับมนุษย์ จะต้องโทษมหันต์ ข้าจะขังเจ้าไว้ในเจดีย์เหล่ยเฟิงตลอดชั่วชีวิตของเจ้า” เห็นบาตรขนาดใหญ่หล่นลงมาจากฟ้า นางงูขาวรีบโยนลูกตัวเองให้กับซู่เซียนชายหัวโล้น บาตรตกลงสู่พื้นเป็นภาพฉากเจดีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเวที