[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 26 ดึงดูดวิญญาณ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ยืนอยู่บนเวทีที่มีแสงสีขาวสาดส่องเข้ามา อวิ๋นเยี่ยมองไปรอบๆ เขายิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยว่า “เมื่อไม่กี่วันมานี้ตระกูลอวิ๋นปิดการซื้อขายที่น่าอับอายไปหมดแล้ว แต่ใครจะรู้ ภายในยังมีสินค้าถูกขนมาอีก กองไว้ในบ้านจะดูไม่ดี ทุกท่านที่นั่งอยู่มีใครสนใจจะรับช่วงต่อหรือไม่ ของไร้ค่าพวกนี้จะให้ราคาเท่าไหร่ก็ตามแต่พวกท่าน ข้ายังกะว่าจะสร้างห้องหนังสือให้อีกสักสองสามห้องให้อีกด้วย” 

 

 

หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยพูดเสร็จก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น คนรวยพวกนั้นตะโกนออกมาทันที “ผู้สืบทอดอวิ๋น ท่านเริ่มเลยดีกว่า วันนี้ข้านำเงินมาด้วยสองหมื่นห้าพันเหรียญ ตระกูลอวิ๋นประสบปัญหา ข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร” 

 

 

ซินเย่วเดินออกมาจากห้องด้วยความโกรธ แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังยิ้มอยู่ เขาจับมือซินเย่วพร้อมกับพูดว่า “ครั้งนี้ข้าขอบคุณเจ้ามาก อีกสักพักเมื่อสินค้าถึงเป็นที่เรียบร้อยเจ้าทำให้เต็มที่ อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าต้องไปเจอกันที่ศาล ตอนนี้ฟ้ามืดเราต้องเริ่มลงมือแล้ว” เมื่อส่งสัญญาณมือก็มีคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นแบกท่อนไม้มากองทันที เป็นท่อนไม้ที่ถูกตัดมาจากต้น ขัดจนเงาแล้วทาด้วยน้ำมัน ลวดลายทองชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด ง่ายแก่การนำไปวางไว้บนเวทีประมูลสินค้า 

 

 

“ทุกคนรู้สถานการณ์ในช่วงนี้ดี เหล่าราษฎรเมืองฉางอันเป็นห่วงสุขภาพของฝ่าบาท กังวลว่าความชื้นในตำหนักเก่าจะส่งผลเสียต่ออาการป่วยของพระองค์ ดั้งนั้นจึงได้ระดมทุนให้แก่ต้าถังของเราเพื่อสร้างตำหนักว่านหมิน ไม้จินสื่อหนานที่ใช้ในการสร้างได้มาจากแดนเสฉวน เป็นไม้อย่างดี แต่ว่าเกินมาสิบท่อน ตอนนี้จึงขอนำมาประมูล ทุกท่อนมีมูลค่าสามร้อยเหรียญ มูลค่าจะเพิ่มทีละหนึ่งร้อยเหรียญ ขอเชิญทุกท่านร่วมการประมูล” 

 

 

ในที่สุดเส้นทางสู่ความรวยที่รอคอยก็มาถึง บรรยากาศเริ่มเงียบลง ไม่มีใครให้ราคา สักพักมีหนึ่งเสียงดังขึ้น “ข้าก็อายุมากแล้ว ควรเตรียมทำ**บศพไว้ได้แล้ว ข้าให้ราคาสามร้อยเหรียญ”  

 

 

มองไปตามเสียงที่ดังขึ้น ที่แท้ก็เป็นหลี่กัง เขานั่งอยู่แถวหน้า รอบตัวเขารายล้อมไปด้วยลูกศิษย์ ที่จริงเขามีห้องโถงส่วนตัวแต่กลับยกห้องให้แก่ลูกศิษย์ ในห้องโถงนั้นมีผู้หญิงนั่งอยู่ ตัวเองกลับมานั่งแออัดกับคนอื่นที่เก้าอี้ ดูความคึกครื้น 

 

 

“ท่านให้ราคาสามร้อยเหรียญ เช่นนั้นไม้จินสื่อหนานท่อนนี้เป็นของท่าน” อวิ๋นเยี่ยเคาะระฆังทันทีไม่รอให้คนอื่นประมูลต่อ ถ้าจะถูกเอาเปรียบก็ขอให้เป็นคนกันเองดีกว่า 

 

 

ที่ประมูลไม้จินสื่อหนานไปก็มีแต่คนกันเอง การนำไม้จินสื่อหนานมาสร้างห้องให้คนทั่วไปเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่นำมาทำข้าวของเครื่องใช้หรือ**บศพได้ มนุษย์ย่อมมีความโลภ ยิ่งเป็นของหายากยิ่งต้องแย่งมา ราคาประมูลไม้จินสื่อหนานค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เว้นเพียงแต่ท่อนแรกที่ถูกซื้อไปในราคาที่ไม่ได้สูงมากนัก ที่เหลือราคาสูงถึงแปดร้อยเหรียญ น้อยสุดแค่เพียงห้าร้อยเหรียญ ทำเอาหลี่กังนั้นดีใจจนยิ้มไม่หุบ 

 

 

อำพันทะเลถูกนำออกมา คนรับใช้ได้นำออกมาหนึ่งก้อนไปจุดในถาดสีเงิน ควันค่อยๆ ลอยขึ้น ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลิ่นหอมของอำพันทะเลก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง อวิ๋นเยี่ยเคาะโต๊ะอยู่นานกว่าจะทำให้คนในห้องเงียบสงบลงได้ อำพันทะเลนี้สามารถทำให้คนอายุยืนยาวได้ โดยเฉพาะชาวเผ่าหูที่ต่างก็อยากได้อำพันทะเลมาครอบครอง เนื่องจากอาหารของชาวเผ่าหูส่วนใหญ่เป็นเนื้อวัวกับเนื้อแพะทำให้ร่างกายมีกลิ่นแรง จึงมักจะนำเครื่องหอมมาใช้ในการกลบกลิ่น ยิ่งได้เห็นอำพันทะเลก้อนใหญ่ ยิ่งอดไม่ได้ที่จะคว้ามันมาครอบครอง 

 

 

อำพันทะเลก้อนนี้ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญโดยครอบครัวชาวประมงที่ริมทะเล ชาวประมงขายให้ตระกูลอวิ๋นในราคาสิบเหรียญ ตระกูลอวิ๋นไม่รับ เขาไม่ได้ดูถูกความจนของชาวประมง แต่จะรับซื้ออำพันทะเลก้อนนี้ในราคาสามร้อยเหรียญ และแน่นอนว่าสำหรับทุกท่านที่อยู่ตรงนี้ ตระกูลอวิ๋นก็จะไม่เกรงใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นอำพันทะเลก้อนนี้จะถูกตั้งราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ เชิญทุกท่านเริ่มประมูลได้ 

 

 

ทูตเกาลี่เพิ่งเสนอราคาอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ ก็ถูกพ่อค้าชาวเผ่าหูให้ราคามากกว่าอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ คุณชายตระกูลหลี่หัวเราะออกมาพร้อมกับเสนอราคาอยู่ที่สองพันเหรียญ จึงได้อำพันทะเลมาครอบครองไว้ การประมูลผ่านไปอย่างน่าเบื่อเนื่องจากผู้คนต่างรอที่จะประมูลของล้ำค่า 

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับยกขวดแก้วสวยหรูขึ้นมา ขวดแก้วนั้นไม่ได้ถูกเปิดฝา ของเหลวในขวดแก้วมีสีแดงเข้มเมื่อต้องแสงไฟได้กลายเป็นสีม่วงสวยงาม สายตาของทุกคนถูกสะกดด้วยขวดใบนั้น ไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร รู้แค่ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ขวดแก้วมีแสงระยิบระยับ มูลค่าของมันก็มีมากอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ในขวดแก้วมีของเหลวสีแดงบรรจุอยู่ แค่มองก็รู้ว่าของเหลวสีแดงนั้นเป็นของล้ำค่ามากเพียงไหน 

 

 

“ของเหลวสีแดงที่เห็นอยู่นี้เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ผู้หญิงใช้ ได้มาจากดอกฝิ่นหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกไม้นรก มีลักษณะสวยงาม แต่ภายใต้ความสวยงามก็มีความอันตรายด้วยเช่นกัน ทว่าของเหลวในขวดนี้ไม่มีอันตราย ถึงไม่ระวังดื่มเข้าไปก็จะไม่เป็นอะไร เพียงหยดลงไปหนึ่งหยด กลิ่นก็จะติดทนนานไปถึงสามวัน สรรพคุณอื่นๆ ข้าจะไม่พูดถึง พวกเจ้ารู้แค่ชื่อของมันก็พอแล้ว ชื่อของมันคือ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ ในโลกนี้มีเพียงใบเดียว และจะไม่มีอีกแล้ว ราคาประมูลต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งพันเหรียญ” 

 

 

สถานที่ประมูลสินค้าเกิดความโกลาหลขึ้น น้ำหอมของตระกูลอวิ๋นที่แท้ก็เป็นของที่หายาก หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว มีเพียงตระกูลคนรวยที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงจะขอต่อรองราคาได้บ้างเล็กน้อย สำหรับราคาที่ขายออกไปต่ำสุดได้เพียงห้าสิบเหรียญ เป็นสิ่งของล้ำค่าแต่เป็นราคาที่คนเอื้อมไม่ถึง 

 

 

ตอนนี้พื้นที่ในอาณาเขตตระกูลอวิ๋นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ปลูกไว้เพื่อนำมาสกัดน้ำหอม ช่างมีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ดอกนางมารที่ปลูกไว้ของตระกูลอวิ๋นมีฤทธิ์ทำให้คนหลงใหลที่สุด แค่ฟังชื่อก็พอรู้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ทำให้คนหลงใหลจนคลั่งได้ 

 

 

“หากฮองเฮาชอบ ให้อวิ๋นเยี่ยนำมาให้ก็ได้” หลี่ซื่อหมินอยากรู้อยากเห็นว่ากลิ่นของ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ เป็นอย่างไร ตัวเองนั้นไม่เคยลองมาก่อน อยากรู้ว่าการถูกเย้ายวนให้หลงใหลจนเคลิบเคลิ้มเป็นความรู้สึกอย่างไร หากใช้กับผู้อื่นคงไม่ดีนัก แต่หากใช้ดื่มด่ำกับฮองเฮาคงไม่มีปัญหาอะไร 

 

 

“หม่อมฉันเคยเห็นของสิ่งนี้เมื่อนานมาแล้ว เป็นน้ำหอมชั้นดี แต่ไม่เหมาะสมกับสถานะของหม่อมฉัน มีฮองเฮาที่ไหนใช้ ‘ดึงดูดวิญญาณ’ เพื่อทำให้คนหลงใหลกัน มีแต่นางโลมเท่านั้นแหละถึงจะใช้ของพรรค์นั้น หม่อมฉันยังต้องให้นมบุตร ใช้ของพวกนี้จะไม่ดีต่อบุตร แล้วอีกอย่าง ผู้ชายใจหินเช่นท่าน เอาอะไรมาทาก็ไม่ได้ผลหรอก” 

 

 

เมื่อหลี่ซื่อหมินถูกฮองเฮาปฏิเสธเขาก็ทำได้แค่ล้มเลิกความคิดที่จะทดลองกลิ่นนั้น 

 

 

“หนึ่งพันเหรียญ!” มีฮูหยินผู้หนึ่งที่มีความกล้าไม่เกรงกลัวผู้ใดอย่างฮูหยินของฝางเสวียนหลิงตะโกนราคาออกมาอย่างเสียงดัง ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจ แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็รีบนั่งลงทันที แต่จั่งซุนกลับยิ้มอย่างพอใจ ซ้ำยังปรบมือไม่หยุด 

 

 

“ฝางเสวียนหลิงจะยังมีหนทางรอดอยู่ไหม” เฉิงเหย่าจินที่นั่งอยู่แถวหน้ากระซิบถามฉินฉยง พวกเขาต่างโดนผู้หญิงกดขี่ ช่วงนี้เรื่องที่ผู้หญิงในเมืองฉางอันแสดงตัวออกหน้าออกตาก็คือการไปดูละครที่บ้านเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน หากมีผู้หญิงอื่นมาที่บ้าน ผู้ชายในบ้านต้องหลีกไปอยู่ที่อื่น ถึงแม้ว่าจะมียศตำแหน่งที่สูงก็ตาม 

 

 

ฝางเสวียนหลิงหน้าซีด เขาส่งสายตาบอกอวิ๋นเยี่ยเป็นนัยๆ ว่าอย่าขายของสิ่งนี้ให้ภรรยาตัวเอง ทำมืออ้อนวอนอย่างน่าขัน เขาช่างกลัวภรรยาตัวเองเสียจริง 

 

 

“หนึ่งพันหนึ่งร้อยเหรียญ” สาวใช้ห้องห้องโถงที่หกเสนอราคาใหม่ เซียวอวี่หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นภรรยาที่ตัวเองเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่เป็นคนเสนอราคาออกไป ทุกวันนี้เขาให้ท้ายภรรยามากไป 

 

 

ถังเจี่ยนยังไม่ทันได้หัวเราะเยาะก็มีคนในห้องโถงเสนอราคาใหม่ออกมา ดูแล้วมีแต่คนมียศถาบรรดาศักดิ์ที่กำลังแย่งกันประมูล พวกคนทำการค้ากลับไม่มีใครกล้าเสนอราคา เพราะกลัวไปยั่วโมโหคนเหล่านี้เข้า อาจถูกสั่งเก็บ ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ร้องขอชีวิต 

 

 

เมื่อเปิดการประมูลแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้สถานที่ประมูลสินค้าเงียบสงบ อวิ๋นเยี่ยให้ผู้ดูแลหญิงถือขวดเดินไปทั่วทุกห้อง เปิดปากขวดออกนิดหน่อย เหมือนได้กลิ่นหอมหวาน แต่ก็เหมือนกลิ่นเครื่องเทศ แล้วยังมีกลิ่นดอกกล้วยไม้อีกด้วย ที่น่าสนใจก็คือกลิ่นไม่ฉุนมาก แต่กลับติดทนนาน เพียงแค่เขย่ากลิ่นก็กระจายไปทั่วห้อง 

 

 

การที่พวกฮูหยินเสียการควบคุมเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา หรือฮูหยิน ความปรารถนาในใจอันแรงกล้าของพวกนางได้ถูกจุดขึ้น แค่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ราคาได้ขึ้นไปถึงสามพันเหรียญแล้ว 

 

 

พวกใต้เท้าต่างมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธแค้น พวกที่ร่างกายไม่แข็งแรงก็ได้แต่บ่น ในยุคนี้ไม่นิยมอวดรวย แกล้งทำเป็นคนที่กินข้าวไม่ครบสามมื้อ แต่ตอนนี้เพียงเพื่อให้ได้น้ำหอมมาครอบครองกลับทุ่มหมดทั้งตัว ในบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลาย ข้าต้องรู้สึกอย่างไร หลี่ซื่อหมินทั้งโมโห ทั้งเสียใจ ใต้หล้านี้มีเพียงเขาที่จน แม้กระทั่งจะสร้างตำหนักยังต้องให้ราษฎรบริจาคเงินมาช่วยสร้าง 

 

 

หลี่เซี่ยวกงได้ยินคนของตัวเองเสนอราคาสามพันห้าร้อยเหรียญก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ในหัวมีความคิดที่จะเอามือปิดปากภรรยาที่ชอบผลาญสมบัติของตนเอง 

 

 

จะให้เรื่องเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่เป็นผลดีต่อทุกคน ไม่รู้ว่ากลับบ้านไปจะมีภรรยาคนไหนถูกลงโทษบ้าง เสียงตีระฆังดังขึ้น หลี่เซี่ยวกงต่อว่าอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่พอใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำไปเพราะต้องการเอาคืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 

 

 

เหล่าใต้เท้าให้พวกผู้หญิงไปดูเสื้อผ้าเครื่องประดับอีกห้องหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้กำลังโกรธ 

 

 

ของสิ่งหนึ่งที่ทำมาจากแก้วถูกวางไว้บนโต๊ะ สถานที่ประมูลเริ่มครึกครื้นขึ้น แก้วสะท้อนแสงได้ ยิ่งเป็นแสงจากโคมไฟที่สาดส่องมายิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก แสงกระจายไปทั่วสี่ทิศ หากบอกว่าไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าก็คงไม่มีใครเชื่อ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อธิบายว่าของสิ่งนี้คืออะไร มือลูบลงบนรูปปั้นม้าบินที่ทำมาจากแก้ว เอ่ยกับแขกผู้มีเกียรติที่เอาแต่จ้องรูปปั้นม้าว่า “ม้าตัวนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยเหรียญ” 

 

 

ผู้คนที่รออวิ๋นเยี่ยพูดถึงสิ่งของล้ำค่าชิ้นนี้ พอได้ยินราคาก็แทบจะเป็นลมไปตามๆ กัน เซียวอวี่ชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธ พร้อมสะบัดมือออกจากคนรับใช้ที่กำลังจะประคองเขา เซียวอวี่ขึ้นไปบนเวที เดินวนดูรูปปั้นม้าแก้วอย่างทุลักทุเล ผลักอวิ๋นเยี่ยออกไปอยู่ด้านข้าง ตัวเองตะโกนออกมาเสียงดัง “รูปปั้นม้าบินแก้ว? ของล้ำค่าเช่นนี้ตกเป็นของเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้า ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ของสิ่งนี้ชื่อเดิมว่าม้าเชาหลงเชวี่ย ข้าดูอย่างละเอียดแล้ว เปรียบเทียบมาตรฐานของรูปร่างม้าที่กล่าวไปนั้น ขนาดแทบจะไม่ผิดกับม้าตัวนั้นเลย มีลักษณะรูปร่างที่ดี ดูน่าเกรงขาม ม้ามีลำตัวแข็งแรงและข้าทั้งสี่ข้างที่เรียวยาว กีบเท้าดูว่องไว เท้าทั้งสามลอยอยู่บนอากาศพุ่งไปข้างหน้า ขาหนึ่งข้างยืนอย่างมั่นคง หัวของม้ามองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ หนึ่งร้อยเหรียญ? แค่ฐานรองขาม้ายังซื้อไม่ได้เลย หากไม่มีใครต้องการ ข้าจะซื้อในราคาหนึ่งพันเหรียญ” 

 

 

พูดจบเซียวอวี่ก็ยกม้าเชาหลงเชวี่ยไป มีเสียงตะโกนรั้งเขาไว้ ขงอิ่งต๋าเดินขึ้นมา ปัดมือเซียวอวี่ออกพร้อมพูดว่า “เซียวอวี่ เจ้าช่างขี้โกงเสียจริง รูปปั้นม้าชั้นดีเพียงนี้ เจ้าจะซื้อกลับบ้านในราคาหนึ่งพันเหรียญอย่างนั้นหรือ ข้าให้ราคาพันห้าร้อยเหรียญ”