ทันใดนั้นโรงละครก็สงบลง ทุกคนมองไปที่ฮุ่ยหยวนหยูด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่ากำลังมองคนบ้า ก่อนที่คนต้าถังจะเสนอราคา คนนอกถิ่นไม่สามารถเสนอราคาได้ นี่คือกฎเกณฑ์ที่หลี่ซื่อหมินได้ตั้งขึ้นมา
เซียวอวี่ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคนเสนอราคาสองพันเหรียญ เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หนึ่งพันหกร้อยเหรียญ ข้าไม่มีเงิน ถ้าเจ้ายังกล้าขึ้นราคา ข้าจะทุบม้าตัวนี้ให้แตก ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
“หนึ่งพันหกร้อยเหรียญ มีใครจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้อีกไหม เมื่อกี้ท่านเซียวบอกแล้วว่านี่คือสมบัติล้ำค่า ใครอยากจะเสนอราคานี่เป็นโอกาสสุดท้าย ข้านับหนึ่งถึงสาม ทุบค้อนก็จะไม่มีโอกาสแล้ว หนึ่ง…”
อวิ๋นเยี่ยอ้าปากนับ ฮุ่ยหยวนหยูก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าเสนอสามพันเหรียญ”
ไม่มีใครสนใจเขา อวิ๋นเยี่ยยังคงนับต่อไป “สอง สาม ตกลง ม้าตัวนี้ตกเป็นของท่านเซียว” แค่ทุบค้อน การซื้อขายก็เสร็จสมบูรณ์ ที่จริงอวิ๋นเยี่ยอยากจะขายเครื่อวแก้วให้กับฮุ่ยหยวนหยู แต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าเงินทอง ในโรงละครไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ แม้แต่ตกใจยังไม่มี ดูเหมือนว่าถ้าอวิ๋นเยี่ยขายราคาสูงให้ชาวเกาลี่ถึงจะเป็นเรื่องแปลก
ไม่มีใครรู้ว่ามีสมบัติล้ำค่าพวกนี้เหลืออยู่กี่ชิ้นบนโลก ขายหนึ่งชิ้นก็เท่ากับสูญเสียไปหนึ่งชิ้น พ่อค้าในฉางอันเห็นว่าพวกขุนนางซื้อไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือจะไม่ตกถึงตัวเอง เตรียมป้ายไว้ให้อวิ๋นเยี่ยล่วงหน้าตั้งนานแล้ว พร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ตระกูลที่มีอำนาจแท้จริงแล้วจะไม่ลงมือด้วยตัวเอง พวกลงมือด้วยตัวเองล้วนแต่เป็นพวกขุนนางที่ใจกว้างพวกนั้น
ทูตเกาลี่สั่นไปหมดทั้งตัว ฮุ่ยหยวนหยูยืนขึ้นชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ขุนนางอวิ๋น ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด แต่เหตุใดข้าเสนอราคาสูงแล้ว เจ้ากลับขายให้กับผู้ที่เสนอราคาต่ำกว่าข้า ข้าจะฟ้อง”
อวิ๋นเยี่ยยุ่งอยู่กับการหยิบเครื่องแก้วออกมาจากกล่อง ได้ยินที่เขาถามก็ตอบกลับไปโดยไม่หันหน้าว่า “นั่นสำหรับคนต้าถังของข้า ไม่นับรวมพวกเจ้า ถ้ามีเหลือก็ตกถึงเจ้าอยู่แล้ว จะรีบทำไม”
พ่อค้าของต้าถังที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันหัวเราะดังขึ้นมา จนเพดานของห้องโถงเกือบจะยกออกไป ฮุ่ยหยวนหยูและพ่อค้าของเมืองอื่นทั้งอับอายทั้งโมโห ไฟของความโมโหกำลังลุกไหม้ แต่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ แต่ละคนทำได้แค่กัดฟัน เตรียมที่จะเดินออกไปจากห้องโถงที่ทำให้พวกเขาต้องอับอาย
แต่ในตอนนั้นเอง อวิ๋นเยี่ยก็หยิบนกยูงตัวหนึ่งออกมาจากกล่อง มีคนที่มีแขนมีขานั่งอยู่ข้างบน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา มีปากสีแดง ขนสีน้ำเงินเขียว ราวกับมีชีวิต ตัวคนก็มีรูปร่างที่งดงาม หาที่เปรียบไม่ได้
ความโลภปรากฏขึ้นในดวงตาของฮุ่ยหยวนหยู ชาวหูคนอื่นๆ ก็หยุดเดิน ในสายตาไม่มีอะไรนอกจากนกยูงสีฟ้า กลุ่มผู้คนรวมตัวกันและพูดพึมพำ ฮุ่ยหยวนหยูในฐานะตัวแทนโค้งคำนับถวายพระพรหลี่ซื่อหมิน และทูลถามฝ่าบาทดังๆ ว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังที่เคารพ เกาลี่ของเรามีความกรุณาต่อราชวงศ์ถังมาโดยตลอด ของประจำปีที่ส่งให้ฝ่าบาทก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย เมืองข้าเคารพฝ่าบาทถึงเพียงนี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้ทำให้พวกข้าอับอายเช่นนี้ ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วย”
ต้าถังผู้น่าสงสารยังไม่ถึงจุดสูงสุดของความรุ่งโรจน์ ยังอยู่ในช่วงของหลี่จื้อ ทูตของเกาลี่กล้าพูดออกมาแบบนี้ เขาคงจะผิดหวังไปตั้งนานแล้วถึงได้หยิ่งผยองแบบนี้ ตอนนี้ต้าถังกำลังเตรียมพร้อมสำหรับชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้ ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะถูกโจมตีทั้งสามทาง
อวิ๋นเยี่ยแอบดีใจ ที่ในที่สุดก็มีโอกาสเอาเปรียบคนพวกนี้ มีพวกเสนอราคามาก่อน พวกคนที่นั่งแถวหน้าก็ต้องบ้าคลั่งมากขึ้นแน่นอน รอฟังว่าหลี่ซื่อหมินจะพูดกับทูตพวกนี้อย่างไร
เป็นไปอย่างที่คิดไว้ หลี่ซื่อหมินพูดอย่างขี้เกียจว่า “อวิ๋นเยี่ย อย่าเพิกเฉยต่อราคาที่ท่านทูตเสนอมา เจ้าต้องปฏิบัติต่อแขกทุกคนที่มาในงานวันนี้อย่างยุติธรรม สมบัติพวกนั้น เจ้าต้องมีธรรมคุณ เจ้าบอกว่าจะขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูงมิใช่หรือ ก็ต้องทำเช่นนั้น”
อวิ๋นเยี่ยก้มหน้ารับคำสั่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับฮุ่ยหยวนหยูว่า “ในเมื่อฝ่าบาทพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องเชื่อฟัง ชิ้นที่แล้วก็ปล่อยมันไป เริ่มต้นที่นกยูงสีฟ้าตัวนี้ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาท”
เห็นว่าบรรลุเป้าหมาย ทูตของชนเผ่าเกาลี่ ชนเผ่าเซวียเหยียนถัว และชนเผ่าถู่อวี้หุนก็ไม่คิดอะไร และเดินกลับมานั่งที่เดิม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของพ่อค้าชาวหู รอให้การประมูลเริ่มขึ้นอีกครั้ง
พระภิกษุสงฆ์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขุนนางอวิ๋น เจ้าอย่าเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่านกยูงสีฟ้า ระวังเจ้าจะตกนรกอย่างทุกข์ทรมาน”
“พระภิกษุสงฆ์ท่านนี้คือใคร” อวิ๋นเยี่ยถามเหอเซ่าที่ยืนอยู่ข้างหลัง เหอเซ่าพยายามลืมตาขึ้นมาดู รีบพนมมือและบอกว่า “ท่านนี้คือท่านไต้ซือจิวหมัวซือ อยู่ในที่ราบตอนกลางมาสามสิบปีแล้ว ท่านคือพระภิกษุสงฆ์ที่ผู้คนต่างเข้าเคารพนับถือ อย่าเสียมารยาท”
อวิ๋นเยี่ยรีบพนมมือด้วยความเข้าใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้ซือ นี่เป็นเพียงนกยูงธรรมดา เหตุใดท่านต้องบอกว่านี่คือพระพุทธรูป ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ไต้ซือโปรดชี้แนะ”
จิวหมัวซือบอกว่า “ขุนนางอวิ๋นไม่เคยออกบวช ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา ให้ข้าได้อธิบายให้ทุกท่านฟัง ในพุทธศาสนามีผู้ที่ทรงพลังชื่อว่าราชานกยูง หรือที่เรียกกันว่ามารดาของพุทธศาสนา ขจัดพิษภัยทั้งปวง ทำให้สรรพสัตว์มีชีวิตที่สงบสุข เจ้าดูสิ บนนกยูงมีคนนั่งอยู่ ในมือถือดอกบัว ผลไม้แห่งความเมตตา ผลไม้มงคล และสมุนไพรหางนกยูง สี่อย่างที่ถืออยู่นั้น ดอกบัวแสดงถึงความเคารพและความรัก ผลไม้แห่งความเมตตาแสดงถึงการรู้จักปรับตัว ผลไม้มงคลแสดงถึงการได้รับ และสมุนไพรหางนกยูงแสดงถึงการบรรเทาภัยพิบัติ นี่คือสมบัติของศาสนาพุทธที่หายาก”
อวิ๋นเยี่ยรู้เรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน อาจารย์หลีสือเป็นคนวาดภาพพวกนั้น เขามีความรู้กว้างขว้าง แถมยังดูถูกอวิ๋นเยี่ยที่ไม่มีความรู้ เขาไม่มีทางบอกความรู้พวกนี้ให้อวิ๋นเยี่ยฟังแน่นอน ได้ยินที่จิวหมัวซือพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่านี่คือของดีที่มีราคา
“ข้ายอมจ่ายเงินสองพันเหรียญซื้อพระพุทธรูปองค์นี้ของอวิ๋นเยี่ย”
จิวหมัวซือมีเงิน? นี่คือพระภิกษุสงฆ์ที่ทุกคนเคารพนับถือไม่ใช่เหรอ ทำไมควักเงินออกมาสองพันเหรียญได้ในพริบตา ต้องรู้ว่าสองพันเหรียญไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ข้าวสารถังหนึ่งอย่างน้อยก็ราคาสี่เหวิน เงินหนึ่งเหรียญเท่ากับหนึ่งพันเหวิน สองพันเหรียญซื้อขายข้าวสารได้ตั้งเท่าไหร่ เขาเก็บเงินจากผู้คนที่ศรัทธาตนเองมาแล้วเท่าไหร่? ดูเหมือนว่าวัดจะหาเงินได้ดีเลย
“หากไต้ซืออยากได้ก็ไม่มีปัญหาขอรับ แต่เมื่อกี้ฝ่าบาทบอกแล้วว่าให้ขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูง หวังว่าท่านก็เข้าใจ” พูดเสร็จ คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับเขาทันที ฮุ่ยหยวนหยูรีบเสนอราคาขึ้นมา “สามพันเหรียญ” ครั้งนี้เขาถือคติว่าเขาต้องได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมบัติ ถึงแม้ว่ามันขี้หมาเขาก็จะต้องแย่งมาให้ได้
ทูตของเซวียเหยียนถัวกระโดดออกมาและพูดว่า “วัวสามร้อยตัว”
หลี่ซื่อหมินที่นอนอยู่บนเก้าอี้ก็กระตุกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว วัวของต้าถังไม่เคยจะพอใช้ ตอนนี้เขายังกังวลอยู่ว่าจะจ่ายค่าวัวห้าพันตัว ผ้าไหม เสบียง และเครื่องเหล็กพวกนั้นให้เซวียเหยียนถัวอย่างไร คิดไม่ถึงว่าทรายกองหนึ่งก็แลกวัวมาได้สามร้อยตัว
“ซื่อหมิน ไม่สามารถปล่อยเครื่องแก้วพวกนี้ไว้กับอวิ๋นเยี่ย ในเมื่อนกยูงตัวหนึ่งสามารถแลกวัวได้สามร้อยตัว สำหรับต้าถังแล้วสามารถพูดได้ว่าเป็นธุรกิจที่แทบจะไม่ต้องลงทุน แลกวัวได้ ก็แลกม้ารบได้ แล้วยังแลกแกะได้ แถมยังแลกเครื่องเหล็กของชนเผ่าเกาลี่ได้อีก แร่ธาตุสีแดง เราไม่ต้องจ่ายค่าอะไรทั้งนั้น มากสุดก็แค่เม็ดทราย เรารอดแล้ว”
พอจั่งซุนคิดว่าตัวเองไม่ต้องเสียอะไรก็สามารถมีทรัพย์สมบัติทั่วโลกได้ หน้าของนางก็แดงขึ้นมาทันที หลี่ซื่อหมินก็ลุกขึ้นนั่ง คิดอยู่พักหนึ่งก็เอนตัวลงไปนอนอีกครั้งแล้วพูดกับจั่งซุนว่า “ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยคงโมโหน่าดู ถ้าเขาไม่ได้ระบายก็คงจะไม่ตั้งใจทำงาน ครั้งนี้ก็ปล่อยให้เขาได้เล่นอย่างเต็มที่สักครั้งเถอะ เราติดหนี้เขามาเยอะแล้ว”
พ่อค้าในฉางอันยังคงไม่ชินกับบรรยากาศแบบนี้ พวกเขาอ้าปากค้าง มองดูสามตระกูลที่เสนอราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกอิจฉามาก เงินทองแดงที่ได้จากสมบัติพวกนี้ เทียบเท่ากับเงินที่ตัวเองหามาเป็นปี
เห็นว่าสุดท้ายแล้วชนเผ่าเซวียเหยียนถัวเสนอราคาเป็นวัวห้าร้อยตัว ล้วนแต่เสียดาย ไม่อยากเสียนกยูงที่อยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ยไป พวกพ่อค้าต้าถังในห้องโถงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า
หัวใจและรูขุมขนของเว่ยเจิงกำลังร้องดัง ไม่ว่านกยูงตัวนั้นจะมีราคาแพงแค่ไหน แต่ในสายตาของเขาก็เทียบไม่ได้กับวัวห้าร้อยตัว ทรัพย์สินเงินทองอะไรก็ช่าง ขอแค่มีวัวห้าร้อยตัวนี้ ก็สามารถสร้างพื้นที่เพาะปลูกได้ตั้งมากมาย นี่คือรากของต้าถัง
อวิ๋นเยี่ยหยิบเครื่องแก้วหมาป่าตัวใหญ่ที่เหมือนกันออกจากกล่องมาสองตัว หมาป่าสองตัวนี้กำลังร้องโหยหวน มีเขี้ยวที่แหลมคมและแขนขาที่แข็งแรง ดูมีพลัง
ไฟที่ส่องไปยังหมาป่าทั้งสองตัวก็ดับลงในทันที ผู้คนในโรงละครต่างก็ประหลาดใจ เห็นว่าดวงตาทั้งสี่ของหมาป่ายังคงเปล่งแสง และมีแสงสีเขียวยาวประมาณนิ้ว ทำให้หมาป่าทั้งสองกลายเป็นหมาป่าสีเขียวที่น่าเกรงขาม ราวกับว่าพวกมันเป็นวิญญาณหมาป่าที่ชั่วร้าย และพร้อมที่จะกัดกินใครสักคน
ไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวก็ค่อยๆ จางหายไป หมาป่าก็ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ขยับไปไหน ฉากเมื่อกี้ทำให้ทุกคนคิดว่าพวกเขาอยู่ความฝัน ต่างพากันเงียบไม่พูดอะไร
ชมเผ่าอาซือน่าเป็นชนเผ่าหัวหน้าของแดนฉ่าวหยวน ว่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นหมาป่า สมาชิกทุกคนในชมเผ่าอาซือน่าต่างมีรอยสักรูปหัวหมาป่าที่หน้าอก ซึ่งมีท่าทางที่กำลังร้องโหยหวนเหมือนกัน
ชาวชนเผ่าเซวียเหยียนถัวรีบลุกขึ้นยืนทันที “วัวหนึ่งพันตัว” อวิ๋นเยี่ยไม่รู้สึกอะไร เขาหันหน้าไปทางชนเผ่าถู่อวี้หุน ถอนหายใจยาวแล้วอ้าปากตะโกนราคาวัวหนึ่งพันห้าร้อยตัว
อวิ๋นเยี่ยรู้ดี พวกเขาก็รู้ดี แม้แต่หลี่ซื่อหมินที่หลับตาอยู่ก็รู้ดี ขอแค่พวกเขาทั้งสองชนเผ่าส่งหมาป่าสองตัวนี้ไปยังแดนเติร์กตะวันตกที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลทราย พวกเขาก็จะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นในทันที
ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย หลี่จิ้ง ถังเจี่ยนและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืนทันที หลี่จิ้งตะโกนว่า “อวิ๋นเยี่ย ของชิ้นนี้ขายไม่ได้ มันจะทำให้ต้าถังต้องเดือดร้อน”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้หลี่จิ้งและพูดว่า “ฝ่าบาทบอกแล้วว่า ขายให้ผู้ที่เสนอราคาสูง”
ตอนนี้ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวตกอยู่ภายใต้การคุกคามของต้าถัง ที่เขามาต้าถังในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับต้าถัง และไม่ถูกคุกคามจากสงครามอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะได้มาเจอกับสมบัติที่ดีแบบนี้โดยบังเอิญ แค่ส่งของชิ้นนี้ไปให้เเดนเติร์กตะวันตก พวกเขาก็จะได้เป็นพันธมิตรกัน แบ่งปันความสุขร่วมกัน สู้ด้วยชีวิตก็จะต้องเอามาให้ได้
ชนเผ่าถู่อวี้หุนก็มีความคิดที่เหมือนกัน คนที่มาในครั้งนี้คือผู้เฒ่าท่านหนึ่ง และเขาก็เห็นความสำคัญของหมาป่าสองตัวนั้นเหมือนกัน
ภายใต้การตักเตือนของหลี่จิ้ง อวิ๋นเยี่ยก็ยังคงเป็นนักธุรกิจ ไม่รู้สึกอะไร เพื่อไม่ให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ชนเผ่าเซวียเหยียนถัวกับชนเผ่าถู่อวี้หุนก็ได้ร่วมมือกัน ตัดสินใจซื้อหมาป่าสองตัวนี้ด้วยวัวจำนวนสองพันตัว จากนั้นก็แบ่งกันคนละตัว
อวิ๋นเยี่ยยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก หยิบค้อนออกมาจากแขนเสื้อ และทุบลงไปที่หัวของหมาป่า หัวของหมาป่าก็แตกกระจายทันที
ท่ามกลางสายตาที่ตกใจของทุกคน อวิ๋นเยี่ยบอกกับผู้ซื้อทั้งสองฝ่ายว่า “ตอนนี้เหลือแค่ตัวเดียว ข้าต้องการราคาเป็นสามเท่า”