บทที่ 421.3 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากเกาเซวียนจ่ายเงินเรียบร้อยก็บอกว่าจะขึ้นเขาไปพักค้างแรมที่ศาลเทพภูเขา พรุ่งนี้จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา ต่งสุ่ยจิ่งจึงมอบกุญแจร้านให้กับเกาเซวียน บอกว่าหากเปลี่ยนใจก็มาพักที่ร้านได้ อย่างน้อยก็มีที่ให้หลบลมหลบฝน เกาเซวียนปฏิเสธความหวังดีนี้ เดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง

ส่วนต่งสุ่ยจิ่งก็ลงจากภูเขาไป แต่กลับไปเจอสวี่รั่วที่น่าจะเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงต้าสุย เขาบอกว่าอยากกินเกี้ยวน้ำสักชามให้อิ่มท้อง แล้วค่อยไปท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อเดินทางไปเมืองหลวงต้าหลีต่อ ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่ย้อนกลับทางเดิม เปิดประตูใหญ่ของร้าน ทำเกี้ยวน้ำให้จอมยุทธสำนักโม่ผู้นี้สองชามใหญ่ ไม่ได้เอาเหล้าหมักออกมา ด้วยคร้านจะทำตัวเกรงใจมีมารยาทกับคนผู้นี้ ต่งสุ่ยจิ่งนั่งลงตรงข้ามเขา มองดูสวี่รั่วสวาปามกินอาหาร

สวี่รั่วพูดอู้อี้ได้ยินไม่ชัดเจน “เจ้าเดาดูสิว่าคนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้คือใคร”

เดิมทีต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคบค้าสมาคมกับเกาเซวียนโดยที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องมากนัก และต่งสุ่ยจิ่งเองก็ชอบการคบหาเช่นนี้ เขาชอบทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก แต่การค้าไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ในเมื่อสวี่รั่วถามเช่นนี้ ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ คำตอบจึงหลุดออกมาทันที “องค์ชายต้าสุยสกุลเกาเกอหยาง? มาเป็นตัวประกันที่ต้าหลีของพวกเรา?”

สวี่รั่วพยักหน้ารับ

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามว่า “ทำการค้ากับเกาเซวียนได้หรือไม่?”

สวี่รั่วคลี่ยิ้ม “มีอะไรไม่ได้กันเล่า การที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง”

ต่งสุ่ยจิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”

มีเพียงเวลาเช่นนี้เท่านั้นต่งสุ่ยจิ่งถึงจะยินดีเรียกสวี่รั่วว่าอาจารย์

สวี่รั่วชำเลืองตามองไปที่โต๊ะคิดเงิน ต่งสุ่ยจิ่งรีบไปหยิบเหล้าข้าวหมักกาหนึ่งมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าสวี่รั่วทันที สวี่รั่วดื่มเหล้าข้าวที่รสชาติติดค้างอยู่ในลำคอยาวนาน แล้วเอ่ยว่า “ทำการค้าเล็กๆ อาศัยความขยันหมั่นเพียร แต่เมื่อทำการค้าใหญ่แล้ว แน่นอนว่ายังต้องขยัน แต่คำว่า ‘ข้อมูล’ กลับยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าต้องเชี่ยวชาญในการขุดค้นรายละเอียดที่ทุกคนไม่สนใจ รวมไปถึง ‘ข้อมูล’ ที่ถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังรายละเอียด สักวันหนึ่งจะต้องเอามาใช้งานได้ และไม่จำเป็นต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ รู้ข้อมูลแล้วไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้าไปทำการค้าที่ทำร้ายคนอื่น การค้าที่ดีมักต้องมีการยื่นหมูยื่นแมวกันเสมอ”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ

สวี่รั่วถามอีกว่า “เจ้าคิดว่านิสัยที่อู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา รวมไปถึงเกาเซวียนผู้นี้แสดงออกให้เจ้าเห็น เป็นเช่นไร?”

ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวเนิบช้า “เจ้าเมืองอู๋อ่อนโยน นายอำเภอหยวนเข้มงวด ผู้ตรวจการเฉามีเสน่ห์ เกาเซวียนผ่อนคลาย”

สวี่รั่วถามอีก “เหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนี้?”

ต่งสุ่ยจิ่งมีคำตอบอยู่ในใจคร่าวๆ นานแล้วจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ทุกวันนี้ราชครูชุยฉานอาจารย์ของเจ้าเมืองอู๋ฉายประกายเฉียบคม เจ้าเมืองอู๋จึงจำต้องสำรวมตน จะหลงระเริงไม่ได้ เพราะง่ายที่จะชักนำให้คนอิจฉาริษยาและโจมตีโดยที่ไม่จำเป็น แต่ไรไหนมาสกุลหยวนก็ยึดความระมัดระวังรอบคอบเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูล หากข้าจำไม่ผิด ในคำสอนของสกุลหยวนมีสี่คำว่าเก็บลมซ่อนน้ำ สกุลเฉามีลูกหลานอยู่ประจำกองทัพชายแดนหลายคน นิสัยโผงผางเปิดเผย เกาเซวียนในฐานะองค์ชายต้าสุย ซัดเซพเนจรมาอยู่ที่นี่ ย่อมเลี่ยงที่จะหมดอาลัยตายอยากไม่ได้ ต่อให้ในใจเจ็บแค้น แต่อย่างน้อยภายนอกก็ต้องแสดงออกว่าผ่อนคลายสบายใจ”

สวี่รั่วกล่าว “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วกลับยังคงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นแค่ภายนอกเท่านั้น เรื่องพวกนี้ที่เจ้าคิดได้ คนหลายคนก็คิดได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงไม่ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ที่ช่วยให้ร่ำรวย เจ้ายังต้องขุดลึกลงไปอีก ไปผลักไปเคาะในจุดที่สูงขึ้นอีก นึกถึงสถานการณ์ของราชสำนัก แนวโน้มของราชวงศ์ที่ลึกล้ำยาวไกลให้มากขึ้น อาจจะไม่มีประโยชน์ต่อกิจการของเจ้าในเวลานี้ แต่หากฝึกฝนจนกลายเป็นความเคยชินแล้วก็จะได้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

สวี่รั่วยิ้มกล่าว “ข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบที่แท้จริง สิ่งที่สามารถสอนเจ้าได้ อันที่จริงก็ตื้นเขิน แต่เจ้ามีพรสวรรค์ สามารถเปลี่ยนจากตื้นเขินมาเป็นลึกซึ้ง วันหน้าจำนวนครั้งที่ข้ามาพบเจ้าจะน้อยลงทุกที อีกอย่างข้าเองก็ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ของเจ้าต่งสุ่ยจิ่งเช่นกัน ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเอง แต่ข้อมูลที่มีเฉพาะจากตัวข้านี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว ดังนั้นในอนาคตหากพบเจอหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าก็ย่อมสามารถทำการค้ากับข้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า”

ต่งสุ่ยจิ่งร้องอืมหนึ่งที

สวี่รั่วหยิบแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งออกมา “อันที่จริงกิจการของเจ้าในเวลานี้ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นนี้ แต่ป้ายสงบสุขที่ข้าช่วงชิงมาได้ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อมาอยู่ในมือข้าก็นับว่าสิ้นเปลืองโดยแท้ ดังนั้นจึงมอบมันให้คนอื่นไปหมด ถือซะว่าข้าตามีแวว เห็นดีในตัวเจ้าแต่เนิ่นๆ วันหน้าคงต้องขอส่วนแบ่งกับเจ้า พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนเจ้าเมืองสักรอบ หลังจากนั้นก็จะได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารของที่ว่าการส่วนท้องถิ่นและกรมพิธีการของราชสำนัก”

ต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้ปฏิเสธ เขาเก็บแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยเข้ามาไว้ในสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง

แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ ตอนนี้หากใช้คำว่ามีมูลค่าควรเมืองมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ตลอดอาณาบริเวณอันกว้างขวางทางแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่ามีกษัตริย์ อัครเสนาบดี เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากจะครอบครองมันไว้สักแผ่น

สวี่รั่วเอ่ยสัพยอก “ได้ยินว่าพ่อตาของเจ้าในอนาคตเดินทางไปเยือนใบถงทวีป ระหว่างที่ย้อนกลับมายังอุตรกุรุทวีปได้ปรากฏตัวในเมืองเล็กของบ้านเกิดแห่งนี้ เจ้าได้ฉวยโอกาสไปเยี่ยมหาเขาบ้างไหม?”

ต่งสุ่ยจิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวอย่างจนใจว่า “กว่าข้าจะได้ข่าว ท่านอาหลี่ก็ออกไปจากเมืองเล็กแล้ว”

สวี่รั่วยิ้มถาม “อยากรู้หรือไม่ว่าศัตรูตัวฉกาจของเจ้าอย่างหลินโส่วอีผู้นั้น ตอนนี้มีชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “อยากรู้สิ”

สวี่รั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

ต่งสุ่ยจิ่งถาม “เท่าไหร่?”

สวี่รั่วยื่นมือออกมา กวักกาเหล้าข้าวหมักที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินกาหนึ่งมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง แต่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว หากเจ้ายังไม่ขยันให้มากกว่านี้ ปล่อยให้หลินโส่วอีกลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางไปได้ โชควาสนาใหญ่มากมายก็จะพากันกรูเข้าหาเขา เป็นไปได้ว่าแค่เขาขยับนิ้วมือก็อาจจะได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นเงินขาวหรือทองก้อนหลายแสนตำลึง ง่ายมากที่จะทำให้เขาที่ตามมาทีหลังแซงหน้าไป”

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะ “แน่นอนว่าข้าไม่อยากแพ้ให้กับหลินโส่วอี แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหาเงินได้มากหรือน้อย”

สวี่รั่วหัวเราะ หิ้วกาเหล้าแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “มีดีกว่าไม่มี มีมากดีกว่ามีน้อย เรื่องหลายเรื่องที่มองดูเหมือนเงินแก้ไขไม่ได้ แต่สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะมีเงินไม่มากพอ”

ต่งสุ่ยจิ่งลุกขึ้นตาม “เหตุใดจนถึงตอนนี้อาจารย์ก็ยังไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคนเชื่อดาบ แค่สอนศาสตร์บางอย่างของสำนักการค้าให้ข้าเท่านั้น?”

สวี่รั่วหัวเราะพลางถามกลับ “แค่?”

ต่งสุ่ยจิ่งยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

แต่สวี่รั่วกลับเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ต่งสุ่ยจิ่งเก็บเศษซากที่เหลืออยู่บนโต๊ะ ปิดประตูร้าน ลงจากเขามุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองแห่งใหม่ของหลงเฉวียน

คนหนุ่มที่คิดว่าบนร่างของตัวเองมีแต่กลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดง (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ ต่อให้มีเงินแค่ไหน เงินนั้นก็เหม็นอยู่ดี) ท่ามกลางม่านราตรีกลับเปล่งรัศมีเรืองรองเหมือนห่มแสงดาวสวมแสงจันทร์

……

สำนักกระบี่หลงเฉวียน เจ้าสำนักหร่วนฉงรับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อมาเพิ่มสิบกว่าคน ในที่สุดก็ทำให้ภูเขาหลายลูกที่เงียบเหงาวังเวงมีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง

เกี่ยวกับเรื่องที่สุดท้ายแล้วอริยะหร่วนฉงรับคนหลายคนไว้เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์กันไปชั่วขณะหนึ่ง

การที่มีลูกศิษย์ซึ่งได้รับการบันทึกชื่อไว้ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนชั่วคราวเหล่านี้ ต้องยกคุณความชอบให้กับความสำคัญที่สกุลซ่งต้าหลีมีให้แก่ปรมาจารย์ใหญ่ผู้หลอมกระบี่อย่างหร่วนฉง ทางราชสำนักตั้งใจคัดเลือกเด็กหนุ่มเด็กสาวและเด็กเล็กที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมาสิบสองคน จากนั้นก็สั่งทหารม้าฝีมือดีหนึ่งพันนายให้การคุ้มกันพวกเขาพามาส่งถึงตีนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน

ตอนนั้นหร่วนฉงกำลังเปิดเตาหลอมกระบี่ จึงไม่ได้ปรากฏตัว เป็นคนหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้ไม่นานคนหนึ่งออกมาทำหน้าที่รับรองทุกคนแทน เมื่อรู้ว่าคนหนุ่มชุดดำผู้นี้คือเซียนดินโอสถทองที่แท้จริง ในสายตาของเด็กๆ เหล่านั้นก็เผยแววตาร้อนแรงออกมาให้เห็น อันที่จริงชื่อของอริยะหร่วนฉง และการที่มีทหารเกราะเหล็กของราชสำนักต้าหลีทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน บวกกับที่ในชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนมีคำว่าจง *(สำนัก สำนักกระบี่หลงเฉวียนภาษาจีนคือหลงเฉวียนเจี้ยนจง)*อยู่ด้วยนั้น ได้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เกิดความประทับใจที่ล้ำลึกมานานแล้ว

ว่ากันว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การที่จะกลายเป็นเซียนบนภูเขาได้นั้น แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายและอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ หากสามารถเข้าร่วมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียน ถูกอริยะหร่วนหมายตา สุดท้ายกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างเป็นทางการก็หมายความว่าอย่างน้อยการเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรค

ในกลุ่มคนสิบสองคน มีคนหนึ่งคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ถูกวิเคราะห์มาว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด ต้องสามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้อย่างแน่นอน

อีกสามคนมีพรสวรรค์ของเซียนดิน ที่เหลืออีกแปดคนก็คือวัตถุดิบที่ดีในการฝึกตนซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนขั้นถึงห้าขอบเขตกลางได้

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าสกุลซ่งต้าหลีให้การสนับสนุนหร่วนฉงอย่างเต็มที่จริงๆ

หลังจากที่คนทั้งสิบสองมาพักอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงหลอมกระบี่ หร่วนฉงจึงหาเวลาว่างมาปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว พอแน่ใจในคุณสมบัติด้านการฝึกตนของคนทั้งสิบสองคนคร่าวๆ แล้วก็ให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา หลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาของการคัดเลือกอย่างไม่หยุดพัก สำหรับสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้หรือไม่นั้น คุณสมบัติในการฝึกตนเป็นเพียงแค่ก้อนอิฐที่ใช้เคาะประตูเท่านั้น (อิฐที่ใช้เคาะประตู เมื่อใช้เสร็จก็จะถูกคนโยนทิ้ง เปรียบเปรยถึงอุปกรณ์หรือแผนการในการช่วงชิงชื่อเสียงผลประโยชน์ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็โยนมันทิ้ง) พรสวรรค์ในการฝึกตนและจิตใจที่แท้จริงกลับสำคัญยิ่งกว่าในสายตาของหร่วนฉง

หลังจากที่คนเหล่านี้ขึ้นมาบนภูเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าสำนักหร่วนมีบุตรสาวโทนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าหร่วนซิ่ว นางชอบสวมชุดกระโปรงสีเขียว มัดผมหางม้า เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ยากที่จะทำให้คนลืมเลือนได้

เด็กหนุ่มบางคนก็ยิ่งหัวใจลิงโลด เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยความคิดเหล่านี้ออกมาภายนอกก็เท่านั้น

พวกคนที่เข้ามาอยู่สำนักกระบี่หลงเฉวียนในภายหลังเหล่านี้ต่างก็ชอบเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่

หร่วนซิ่วที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนแสดงความอ่อนโยนมีน้ำใจ แต่ไม่คิดจะใกล้ชิดใครเป็นพิเศษเคยพูดกับพวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำเรียกขานได้ จึงได้แต่ปล่อยให้คนอื่นเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ต่อไป

นานวันเข้าพวกลูกศิษย์บางส่วนที่เริ่มแสดงความโดดเด่นให้เห็น และบางส่วนที่เริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยยากเปลืองแรงก็ค้นพบว่าเดิมทีศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็คือบุคคลที่แปลกประหลาดที่สุดในสำนักบนภูเขาที่แปลกประหลาดอย่างมากแห่งนี้

ไม่เคยมีใครเห็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านนี้ฝึกตน ทุกวันหากไม่เก็บตัวเงียบก็อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างเตาหลอมกระบี่ ช่วยเจ้าสำนักหลอมกระบี่ หรือไม่ก็เดินเล่นไปตามภูเขาลูกต่างๆ นอกจากภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของสำนักรวมไปถึงภูเขาไม่กี่ลูกที่ห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาเสินซิ่วยังมีภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวอีกสามลูก เป็นเวลานานกว่าที่ทุกคนจะรู้ว่าภูเขาสามลูกนี้ไม่ใช่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างแท้จริง แต่เป็นภูเขาที่ทางสำนักขอเช่าจากคนผู้หนึ่งเป็นเวลาสามร้อยปี

นอกจากหร่วนซิ่วจะไปไหนมาไหนเพียงลำพังระหว่างขุนเขาและสายน้ำแล้ว นางยังเลี้ยงแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูเอาไว้เต็มลานบ้าน บางครั้งนางจะมองไกลๆ มายังโอสถทองที่เป็นคนร่วมสำนักซึ่งกำลังช่วยอธิบายขั้นตอนการฝึกตน ถ่ายทอดวิชาหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน วิเคราะห์เวทกระบี่ชั้นสูงที่ว่ากันว่าได้มาจากศาลลมหิมะให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด ศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วไม่เคยเข้ามาใกล้ทุกคน มือหนึ่งของนางจะถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ บนผ้าเช็ดหน้าวางขนมที่คล้ายกับภูเขาลูกย่อม นางแค่กินมันอย่างเชื่องช้า ตอนมาถึงจะคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก พอกินเสร็จก็จากไป

ลูกศิษย์บางคนที่ฉลาดเฉลียวเริ่มสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่จากไปแล้ว ศิษย์พี่รองที่เป็นเซียนดินโอสถทองคนนั้นจะต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

นอกจากศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วแล้ว ก็มีศิษย์พี่รองที่แทบจะเป็นอาจารย์ครึ่งตัว ศิษย์พี่หญิงสามที่พักอยู่ริมลำคลองหลงซวีเพียงลำพัง และยังมีศิษย์พี่สี่ที่เป็นเด็กหนุ่มแซ่เซี่ย เกิดมาก็มีคิ้วคู่หนึ่งที่ยาวมากคนนั้น ศิษย์พี่เซี่ยที่อายุไม่มากคนนี้แทบไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เด็กรุ่นหลังเห็น แล้วเจ้าคนคิ้วยาวแซ่เซี่ยผู้นี้ก็ดันรับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเสียอีก ตอนแรกยังมีศิษย์น้องบางคนที่บ่นศิษย์พี่สี่อย่างไม่พอใจว่าเย็นชาเข้มงวดเกินไป ไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งมาจากทางเมืองเล็ก ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัว

ศิษย์พี่สี่เซี่ยที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเถาเย่ บรรพบุรุษท่านหนึ่งในตระกูลที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงก็คือเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีป

เซียนเหรินขอบเขตสิบสอง

ก่อนจะขึ้นเขามา ในบรรดาคนทั้งสิบสองคนนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียนดินบนโลกยังแบ่งออกเป็นอีกสองประเภทคือโอสถทองและก่อกำเนิด

ส่วนหลังก่อกำเนิดไปนั้น ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน จึงเข้าใจผิดคิดว่านั่นคือขอบเขตสูงสุดของผู้ฝึกลมปราณแล้ว

หลังจากขึ้นเขามา ศิษย์พี่รองที่ถือเป็นหนึ่งในลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาของหร่วนฉง เซียนดินโอสถทองชุดดำที่ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดจาท่านนั้นก็ได้ช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังคร่าวๆ ถึงการแบ่งขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ พวกเขาถึงได้รู้ว่ายังมีห้าขอบเขตบน มีขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนเหริน

หลังจากนั้นมา นอกจากพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ประสา หรือบางคนที่เป็นคนใจกล้าแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนยามที่เห็นศิษย์พี่สี่ซึ่งชอบตีหน้าเคร่งอบรมผู้อื่นก็แทบจะไม่กล้าหายใจเสียงดัง

มีเพียงอยู่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วเท่านั้น ศิษย์พี่สี่ถึงจะยิ้มแย้มให้เห็น และตลอดทั้งภูเขาก็มีเพียงเขาที่ไม่เรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ แต่เรียกหร่วนซิ่วว่าพี่หญิงซิ่วซิ่ว

เพียงแต่ว่าดูเหมือนหร่วนซิ่วก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับศิษย์น้องผู้นี้เหมือนกัน

นี่ทำให้ในใจของเด็กหนุ่มหลายคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่สำนักทีหลังรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก

ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องผิดหวัง

—–