บทที่ 421.4 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

วันนี้หร่วนเฉิงปรากฎตัวอีกครั้ง เขาพูดจากระชับเรียบง่าย เอ่ยแค่สองเรื่องก็ย้อนกลับไปยังเตาหลอมกระบี่

เรื่องแรก ขอแค่ใครก็ตามที่กลายมาเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ หร่วนฉงก็จะหลอมกระบี่ให้คนผู้นั้นเองกับมือหนึ่งเล่ม

ต้องรู้ว่าเจ้าสำนักหร่วนคืออันดับหนึ่งด้านการหลอมกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้อย่าว่าแต่ทั้งสิบสองคนเลย นอกจากศิษย์พี่สี่เซี่ยที่ยังคงมีสีหน้าไม่สนใจไยดีดังเดิมแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่หญิงสามที่รีบกลับภูเขามารับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ยังอดเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เรื่องที่สองคือตอนนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ซื้อภูเขาแห่งใหม่ไว้อีกลูกหนึ่ง หร่วนฉงจึงพูดจาให้กำลังใจสองสามคำ บอกว่าในอนาคตใครที่เลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็จะมีคุณสมบัติจัดงานพิธีเปิดขุนเขาขึ้นที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน แล้วได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งไปเพียงลำพัง อีกทั้งในฐานะผู้ฝึกตนคนแรกของสำนักกระบี่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ มีเพียงต่งกู่ที่ได้รับการยกเว้น สามารถเปิดขุนเขา เลือกภูเขาลูกหนึ่งไว้เป็นที่สร้างจวนในการฝึกตนของตนเองได้เลย และสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ใต้หล้า

ทว่าต่งกู่กลับปฏิเสธ ขอร้องอาจารย์ว่ารอให้ตนได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียก่อนถึงจะเปิดภูเขาอย่างถูกต้องเปิดเผย

หร่วนฉงจึงอนุญาต

สวีเสี่ยวเฉียวที่เหล่าศิษย์น้องชายหญิงเคยชินที่จะเรียกว่าศิษย์พี่หญิงสามลงจากภูเขาไปอีกครั้ง กลับไปยังเพิงริมลำคลองหลงซวีอันเป็นสถานที่ก่อกำเนิดของสำนักกระบี่ หร่วนซิ่วเดินทางไปกับนางด้วยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้สวีเสี่ยวเฉียวรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน

เซี่ยหลิงศิษย์พี่สี่อยากตามพวกนางไปด้วย ผลคือหร่วนซิ่วไม่พูดอะไร แค่ชำเลืองตามองเขา เซี่ยหลิงก็ยอมล่าถอยไปเอง ยอมอยู่ต่อบนภูเขาอย่างว่าง่าย

ตอนที่เดินเท้าลงจากภูเขา หร่วนซิ่วถามว่า “อันที่จริงเจ้าต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของพ่อข้า แต่เป็นเพราะต่งกู่สร้างโอสถทองได้ก่อน ทุกคนก็เลยเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิงสาม เจ้ารู้สึกไม่ดีหรือไม่?”

สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นถูกศาลลมหิมะทอดทิ้งขับไล่ออกจากสำนักตอบตามสัตย์จริง “ในใจย่อมรู้สึกแย่ แต่ให้ต่งกู่เป็นศิษย์พี่รอง ข้าไม่มีความเห็นใด”

หร่วนซิ่วไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ

สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นนิ้วโป้งของมือข้างที่กุมกระบี่ขาดหายไปเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ สักวันหนึ่งข้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้จริงๆ หรือ?”

หร่วนซิ่วตอบตามตรง “ค่อนข้างยาก เมื่อเทียบกับต่งกู่ที่สามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ภายในร้อยปีแล้ว ตัวแปรของเจ้ามีมากกว่า สำหรับเขาแล้วการสร้างโอสถค่อนข้างง่าย แต่เมื่อถึงเวลานั้นพ่อข้าต้องช่วยเจ้าแน่นอน ไม่มีทางลำเอียงช่วยแต่ต่งกู่ เมินเฉยเจ้า แต่หากคิดจะเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด เจ้ากลับลำบากกว่าต่งกู่มาก”

สวีเสี่ยวเฉียวสีหน้าหม่นหมอง

คนในตระกูลเซียนทั่วไปที่สามารถเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองได้นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ต้องจุดธูปกราบไหว้ป้ายวิญญาณศาลบรรพชน กลับไปแอบหัวเราะชอบใจอยู่ในโปงผ้าห่มของตัวเองได้แล้ว

ทว่าในสายตาของสวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนและเคยเห็นทัศนียภาพบนยอดเขาของศาลลมหิมะมาก่อนรู้ดีว่า เป็นแค่ผู้ฝึกตนโอสถทองนั้นอยู่ไกลจากคำว่าเพียงพอมากนัก

คิดไม่ถึงว่าหร่วนซิ่วจะยังพูดซ้ำเติมมาอีกประโยค “ส่วนเซี่ยหลิงศิษย์น้องของพวกเจ้าจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหยกดิบ หากตอนนี้เจ้าก็รู้สึกอิจฉาเซี่ยหลิงแล้ว คาดว่าตลอดชีวิตของเจ้าก็มีแต่จะยิ่งอิจฉาเขามากขึ้นทุกที”

สวีเสี่ยวเฉียวเม้มปาก ฝีเท้าหนักอึ้ง

ในบรรดาลูกศิษย์เปิดภูเขาสามคนของหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์ ต่งกู่คือคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยที่สุด เพราะเป็นเดรัจฉานในป่าเขาที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูต และตอนนี้แค่สะบัดตัวก็จำแลงกาย กลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองและศิษย์พี่รองที่ทุกคนในสำนักกระบี่หลงเฉวียนให้ความเคารพนับถือ

เซี่ยหลิงคือชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่ อายุน้อยที่สุด ไม่เคยเผชิญกับความยากลำบากมาแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มากที่สุด ไม่เพียงแต่บรรพบุรุษในตระกูลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าคนหนึ่ง ยังถึงขั้นทำให้เจ้าลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ฐานะสูงส่ง อยู่สูงเหนือนอกฟ้ามอบเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เขาด้วยมือตัวเอง

มีเพียงนางสวีเสี่ยวเฉียวที่ชีวิตพบเจอกับอุปสรรคมากที่สุด ตั้งใจฝึกตนมากที่สุด ทว่ามหามรรคากลับขรุขระมากที่สุด!

หร่วนซิ่วเด็ดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งริมทางภูเขามาถือไว้ในมือ เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้สึกว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ทำให้โมโหตายได้เลย ถูกไหม?”

สวีเสี่ยวเฉียวตาแดงก่ำ

หร่วนซิ่วพลันพูดประโยคหนึ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงแผ่วเบา “แม้จะบอกว่าต่อให้ร่างทองของเจ้าเน่าเปื่อย แก่ตายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ยังไม่มีทางเทียบกับเซี่ยหลิงและต่งกู่ได้ติด แต่ข้าก็ยังชอบเจ้ามากกว่า แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเจ้าสักเท่าไหร่”

สวีเสี่ยวเฉียวใช้หลังมือเช็ดหางตา หันหน้ามายิ้มให้หร่วนซิ่ว “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอบคุณท่านมาก”

หร่วนซิ่วหยุดเดิน ผงกศีรษะพูดว่า “ขอบคุณข้า? ถ้าอย่างนั้นขึ้นเขามาคราวหน้าก็เอาขนมมาให้ข้าด้วยล่ะ เจ้าก็รู้จักร้านในตรอกฉีหลงนี่นา”

สวีเสี่ยวเฉียวอึ้งตะลึง แต่แล้วก็คลี่ยิ้มราวกับบุปผาผลิบาน “โถ่ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า!”

หร่วนซิ่วยิ้มตามนางไปด้วย

นางมาส่งสวีเสี่ยวเฉียวถึงแค่ตีนเขา เบื้องใต้ซุ้มประตูที่มีกรอบป้าย ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ ที่ฮ่องเต้ต้าหลี หรือควรจะพูดให้ถูกต้องว่าอดีตฮ่องเต้ประทานให้ สวีเสี่ยวเฉียวบอกลาหร่วนซิ่ว แล้วจึงโคจรลมปราณ ขึ้นเหยียบบนกระบี่ ทะยานลมจากไป

ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้มีเพียงลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น

หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนดินคนอื่นๆ ใครที่กล้าบินทะยานบนฟ้า หร่วนฉงไม่คิดจะใช้ใจของอริยะอะไรพูดคุยด้วยทั้งนั้น

นับตั้งแต่ผู้ฝึกตนต้าหลีหลายกลุ่มที่มาหยั่งเชิงในช่วงแรกสุด มาจนถึงเซียนกระบี่เฉาจวิ้นในภายหลัง ต่างก็เคยลิ้มรสกฎของหร่วนฉงไปแล้ว บ้างก็ตาย บ้างก็บาดเจ็บ

หร่วนซิ่วยืนอยู่ตรงตีนเขา แหงนหน้ามองกรอบป้ายนั้น ท่านพ่อไม่ชอบให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีสองคำว่าหลงเฉวียนเพิ่มขึ้นมา ลูกศิษย์เปิดขุนเขาทั้งสามคนอย่างพวกสวีเสี่ยวเฉียวกต่างก็รู้ดีว่า ท่านพ่อหวังให้ในบรรดาพวกเขาสามคน มีคนใดคนหนึ่งสามารถปลดคำว่าหลงเฉวียนลงไปได้ เหลือทิ้งไว้เพียงคำว่า ‘สำนักกระบี่’ ที่หยัดยืนอยู่เหนือยอดเขาที่มีกลุ่มภูเขาของแจกันสมบัติทวีปโอบล้อม ถึงเวลานั้นคนผู้นั้นก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป

สำหรับปมในใจของบิดา หร่วนซิ่วค่อนข้างจะเข้าใจดี แต่ทุกครั้งที่บิดามาพูดบอกกับนางว่าให้ตั้งใจฝึกตนมากขึ้น แม้ปากของนางจะตอบรับ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพขนมเอย เนื้อตุ๋นหน่อไม้แห้งเอย

นี่ทำให้หร่วนซิ่วละอายใจเล็กน้อย

นางจึงเก็บความคิดนั้นไว้ คิดว่าจะไม่ไปพูดกับบิดาแล้วว่า ควรถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอาหารการกินให้เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายโดยเพิ่มเนื้อเข้ามาในทุกมื้ออาหารได้แล้วหรือไม่

น่าสงสารเหล่าศิษย์น้องที่ไม่มีลาภปากนั้น

ตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อยากจะเป็นนี้ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเลยจริงๆ

ในขณะที่หร่วนซิ่วย้อนกลับขึ้นเขาไปด้วยความรู้สึกผิด

หร่วนฉงก็ออกจากภูเขาเสินซิ่วมาเยือนที่ว่าการเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเงียบเชียบ

เจ้าเมืองอู๋ยวนมารออยู่นานมากแล้ว เขาไม่ได้พูดโอภาปราศรัยกับอริยะหร่วนฉงตามมารยาท แต่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเรื่องหนึ่งทันที

ตอนนี้ในอาณาเขตของต้าหลี มีกองกำลังบนภูเขาบางส่วนที่เป็นไปได้ว่าได้รับการสนับสนุนจากแคว้นอื่นทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที

โดยเฉพาะนับแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ลำพังเพียงแค่ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก็มีเกิดขึ้นถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีหน่วยจานกาน (คือองค์กรข่าวกรองที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในสมัยโบราณ) ตายไปเจ็ดคน ทางราชสำนักเดือดดาลอย่างหนัก

หร่วนฉงที่รับรู้รายละเอียดความขัดแย้งและความต้องการของราชสำนักต้าหลีแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะให้ซิ่วซิ่ว ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสามคนออกหน้า คอยรับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักต้าหลีของพวกเจ้าให้รับผิดชอบเรื่องนี้”

อู๋ยวนดูแปลกใจและลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่นางซิ่วซิ่วก็จะออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยหรือ?”

อันที่จริงหร่วนฉงกับสกุลซ่งต้าหลีเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ มานานแล้ว หน้าที่รับผิดชอบและค่าตอบแทนของทั้งสองฝ่ายถูกระบุไว้อย่างเป็นระเบียบ และถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน

แต่หลายปีมานี้ล้วนเป็นราชสำนักต้าหลีที่ ‘มอบให้’ ไม่เคย ‘รับไป’ แม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ครั้งนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนยอมอุทิศตนเพื่อราชสำนักต้าหลีตามข้อตกลง รองเจ้ากรมพิธีการก็ส่งจดหมายลับผ่านกระบี่บินมาสั่งความนานแล้วว่า ขอแค่หร่วนฉงยินดีมอบตัวต่งกู่ผู้เป็นเซียนดินโอสถทองไปช่วย ก็ถือว่ามีความจริงใจพอแล้ว ต้าหลีจะไม่มีทางเรียกร้องสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างเกินควรเด็ดขาด แน่นอนว่าอู๋ยวนเองก็ไม่กล้าทำตัดสินใจเองโดยพลการ

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหร่วนซิ่วก็จะออกจากภูเขาไปด้วย ด้วยเหตุด้วยผล อู๋ยวนจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

คงเป็นเพราะรู้ว่าเหตุใดอู๋ยวนและราชสำนักต้าหลีถึงรู้สึกลำบากใจ หร่วนฉงจึงยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกำชับซิ่วซิ่วเอง ครั้งนี้ที่นางออกจากภูเขาไปจัดการธุระ จะพยายามไม่ให้นางเป็นผู้ลงมือ อีกอย่างต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าก็ไม่มีทางไปพาลโกรธเอากับต้าหลีของพวกเจ้า”

อู๋ยวนยังคงไม่กล้าตกปากรับคำเองโดยพลการ หร่วนฉงพูดอย่างนี้ก็จริง แต่เขาอู๋ยวนจะกล้าคิดเป็นจริงเป็นจังเสียที่ไหน เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ขอแค่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ขึ้นมา สัมพันธ์ควันธูประหว่างราชสำนักต้าหลีกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะไม่เกิดความเสียหายหรอกหรือ? สกุลซ่งทุ่มเทแรงใจไปมากมายเพียงนั้น หากค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไหลหายไปกับสายน้ำ ตลอดทั้งต้าหลี เกรงว่าคงมีแต่อาจารย์ชุยฉานที่สามารถแบกรับได้ไหว

ดังนั้นอู๋ยวนจึงพูดอย่างชัดเจนว่าเขาต้องแจ้งให้ทางกรมพิธีการทราบก่อน

หร่วนฉงพยักหน้ารับ “ได้ ใต้เท้าเจ้าเมืองแค่ให้คำตอบข้ามาโดยเร็วก็พอ”

จากนั้นหร่วนฉงก็ถามว่า “ข้าอยากจะเลือกคนสองสามคนในกลุ่มของนักโทษสกุลหลูมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ เจ้าสามารถรายงานเรื่องนี้ไปทางราชสำนักพร้อมกันเลยก็ได้ ดูว่าทางนั้นจะอนุญาตหรือไม่ หากจะเกิดความขัดแย้งกับหน่วยจานกาน พวกเจ้าก็จะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน”

อู๋ยวนยิ้มเจื่อน “ตกลง”

พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จแล้ว หร่วนฉงก็จากไปราวกับสายลม ไม่ยืดเยื้ออืดอาดแม้แต่น้อย

ทิ้งเจ้าเมืองอู๋ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดไว้เพียงลำพัง เขากำลังใคร่ครวญหาถ้อยคำว่าควรจะจรดพู่กันรายงานสองเรื่องนี้แก่ทางราชสำนักอย่างไรดี

ราชสำนักต้าหลีที่อยู่ในมือของราชครูชุยฉานได้สร้างองค์กรใต้ดินที่ลึกลับมากขึ้นแห่งหนึ่ง สมาชิกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนถูกเรียกรวมกันว่าหน่วยจานกาน ทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวงจะจับกลุ่มกันไปสามคน คนจากกองโหราศาสตร์หนึ่งคน เซียงซือ (คนที่เชี่ยวชาญด้านการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้า ลักษณะท่าทาง รูปร่างของคนแล้วทำนายชะตาในอนาคต) หนึ่งคน คนของสำนักหยินหยางหนึ่งคน ทำหน้าที่ช่วยต้าหลีค้นหาหยกงามวัตถุดิบล้ำเลิศที่เหมาะแก่การฝึกตนตามสถานที่ต่างๆ

หากถูกหน่วยจานกานหมายตา ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ถูกผู้ฝึกลมปราณเลือกเอาไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้พาขึ้นเขา ทุกคนก็ล้วนต้องหลีกทางให้หน่วยจานกาน

และนี่ก็น่าจะเป็นที่มาของชื่อเรียกว่าหน่วยจานกานนี้ (จานกานแปลว่าแท่งเหนียว เช่นแท่งที่ทากาวไว้จับดักจักจั่น)

หลังจากที่ชุยฉานกลายเป็นราชครู และแคว้นต้าหลีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการลงมือใหญ่โตจริงจังด้วยเรื่องนี้ เพียงแต่พอเกิดเรื่องขึ้นหลายครั้งเข้า พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระของต้าหลีก็หยุดก่อความวุ่นวายกันไปเอง เพราะซิ่วหู่ผู้นั้นช่วยหนุนหลังให้หน่วยจานกานอย่างถึงที่สุดในทุกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น

ในจวนตระกูลเซียนที่มีก่อกำเนิดท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ โอสถทองท่านหนึ่งได้ทดสอบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างภูเขามานานถึงหกปีเต็ม ตั้งใจแกะสลักเกลากลึงหยกดิบชิ้นนั้น เตรียมจะรับอีกฝ่ายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้ของตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหน่วยจานกานหน่วยหนึ่งที่ผ่านทางมาพบต้นกล้าที่ดีต้นนี้เข้า โอสถทองผู้เฒ่าเจอเข้ากับหน่วยจานกานที่เผด็จการไร้เหตุผลก็โมโหจนกัดฟันกรอด โอสถทองผู้เฒ่าถึงขั้นยินดีจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ แต่หน่วยจานกานก็ยังยืนกรานว่าจะพาตัวเด็กหนุ่มคนนั้นไป

ทั้งสองฝ่ายถกเถียงวิวาทกันไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด หน่วยจานกานถูกสังหารตายคาที่ไปสองคน หนีไปได้หนึ่งคน

ตามหลักแล้วการกระทำของโอสถทองผู้เฒ่าสมเหตุสมผล อีกทั้งยังถือว่าเห็นแก่หน้าของราชสำนักต้าหลีมากแล้ว นอกจากนี้ภูเขาที่โอสถทองเฒ่าคนนี้ฝึกตนอยู่ก็คือตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของต้าหลี

ทว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังคงถูกกองทัพม้าเหล็กหกพันนายของต้าหลี เลขาธิการอีกเกือบร้อยคน บวกกับกลไกสำนักโม่ที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดอีกหลายร้อยอย่าง รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอีกร้อยกว่าคนที่ที่ว่าการกรมอาญาต้าหลีเรียกตัวมาพากันมาล้อมภูเขา

หากพูดให้เพราะก็คือการแสดงวรยุทธ!

สงครามครั้งนั้นดุเดือดชวนพรั่นพรึง ต้าหลีถึงขั้นเรียกตัวทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีมาเข้าร่วมด้วย

สุดท้ายตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดทางชายแดนทิศเหนือของต้าหลีแห่งนั้นก็ถูกทำลายจนภูเขาหายไปครึ่งลูก พลังต้นกำเนิดเสียหายใหญ่หลวง กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลระดับล่างของขั้นสอง บรรพจารย์ก่อกำเนิดสู้รบจนตัวตาย ผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองถูกแม่ทัพบู๊ต้าหลีตัดหัว จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งพกศีรษะแห้งเหี่ยวที่ตายตาไม่หลับนั้นไป ‘ส่งหัวผู้นำ’ ให้แก่ภูเขาหลายแห่งริมชายแดนได้เห็น

นับแต่นั้นมาเทพเซียนบนภูเขาในอาณาเขตของต้าหลีก็เก็บความโอหังเย่อหยิ่งของตัวเองลงไป ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เลือกพึ่งพาราชสำนักต้าหลีมานานแล้วก็ยังเริ่มกำชับสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของตน

ว่ากันว่าหลังจากศึกครั้งนั้นปิดฉากลง ราชครูซิ่วหู่ที่น้อยครั้งจะออกจากเมืองหลวงต้าหลีได้มาปรากฏตัวบนยอดเขาลูกนั้น แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหาร ‘โจรกบฏ’ ที่เหลืออยู่บนภูเขา แค่บอกให้คนตั้งป้ายศิลาป้ายหนึ่ง บอกว่าวันหน้าจะได้ใช้

ตอนนี้ป้ายหินที่อยู่บนยอดเขายังคงว่างเปล่าไร้ตัวอักษร ไม่รู้ว่าใต้เท้าราชครูลืมเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องนี้ไปแล้ว หรือแค่เพราะโอกาสยังไม่มาถึง

……

บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือของต้าหลีที่มีตระกูลเซียนปักหลักตั้งถิ่นฐานมานานหลายปี มีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เพิ่งเดินขึ้นเขามาได้ไม่นานยืนอยู่ข้างป้ายศิลาว่างเปล่าที่ไม่ได้สลักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว เขายื่นมือไปกดลงบนป้ายศิลา หันหน้าไปมองทางทิศใต้

บนยอดเขามีผู้เฒ่าอยู่แค่คนเดียว ไม่มีคนอื่นๆ อยู่เคียงข้าง

คนรุ่นผู้อาวุโสของตระกูลเซียนทุกคนที่เคยผ่านศึกนองเลือดในปีนั้นต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในแถบพื้นที่ที่ไม่ห่างจากยอดเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ส่วนลูกศิษย์หนุ่มสาวที่เพิ่งรับมาใหม่ในภายหลังก็ยิ่งถูกสั่งห้ามอย่างเข้มงวดว่าไม่ให้ออกจากจวนที่พักของตัวเอง ใครกล้าออกมาเดินโดยพลการจะถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ แล้วโยนทิ้งไปที่ตีนเขา!

ผู้เฒ่าทุกคนในสำนักที่ในอดีตเคยอยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในแถบทิศเหนือของต้าหลี เวลานี้หันมามองหน้ากันเอง ต่างก็มองออกถึงความหวาดกลัวและจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย หวาดเกรงว่าราชครูต้าหลีผู้นั้นจะออกคำสั่งอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นก็ตามมาด้วยการคิดบัญชีย้อนหลัง ตัดรากถอนโคนภูเขาที่ฟื้นคืนความมีชีวิตชีวากลับมาได้น้อยนิดอย่างยากลำบากแห่งนี้!

ชุยฉานซิ่วหู่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลันคลี่ยิ้มบางๆ อย่างคลุมเครือ “เจ้าเฉินผิงอันชอบใช้เหตุผลนักไม่ใช่หรือ คราวนี้ข้าอยากจะดูนักว่าเจ้าจะยังใช้เหตุผลได้อีกหรือไม่”

—–