บทที่ 705 ตัวช่วย

บัลลังก์พญาหงส์

ฉับพลันนั้น ซวนเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ?” 

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่สะท้อนลึกล้ำไม่เหมาะกับอายุของซวนเอ๋อร์ จิ้งหลิงก็คิดว่าโกหกซวนเอ๋อร์ไม่ได้เลย นางได้แต่ถอนหายใจ “ข้างนอกมีคนสร้างเรื่องวุ่นวาย พระชายากำลังเฝ้าอยู่ด้านนอก” 

 

 

“อันตรายหรือไม่?” ซวนเอ๋อร์ถามขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย สงบนิ่งจนไม่เหมือนเด็ก อีกทั้งท่าทางเม้มริมฝีปาก ก็แสดงให้เห็นถึงความเคร่งขรึมของเขาอย่างแท้จริง 

 

 

จิ้งหลิงไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดออกมาอย่างหมิ่นเหม่คลุมเครือ “ข้าเองก็ไม่รู้ อาจจะอันตรายหรืออาจจะไม่” 

 

 

“ท่านพ่อจะมาช่วยพวกเราหรือไม่?” ซวนเอ๋อร์ถามขึ้นอีก  

 

 

จิ้งหลิงรีบพยักหน้าอย่างมั่นใจ “แน่นอน” จากนั้นพอเห็นว่าซวนเอ๋อร์ไม่ถามอีก นางถึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา หากซวนเอ๋อร์ยังถามต่อไป นางจะต้องรับมือไม่ไหวเป็นแน่  

 

 

จิ้งหลิงมองซวนเอ๋อร์ ก่อนมองไปที่หมิงจูอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้เฉลียวฉลาดเกินวัยเพียงนี้เชียวหรือ? 

 

 

จากนั้นเหตุการณ์ที่ยิ่งทำให้นางปากอ้าตาตะลึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ซวนเอ๋อร์ลุกขึ้นมาอยู่หน้าหมิงจู ก่อนนอนลงข้างๆ หมิงจู แล้วช่วยกระชับผ้าห่มให้หมิงจูอย่างใส่ใจ ถึงได้หลับตานอนไป  

 

 

ซวนเอ๋อร์เหมือนรู้ว่าจิ้งหลิงตกใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะปกป้องน้องสาว ขอให้ท่านแม่วางใจ” 

 

 

จิ้งหลิงตกใจจนผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้สติกลับมา จากนั้นก็ค่อยๆ แสบจมูกขึ้นมา ซวนเอ๋อร์ฉลาดเช่นนี้จะไม่ให้นางเอ็นดูได้อย่างไร? 

 

 

จิ้งหลิงส่งคนไปบอกคำพูดของซวนเอ๋อร์กับถาวจวินหลัน 

 

 

พอถาวจวินหลันได้ยินก็รู้สึกแสบจมูกคล้ายจะร้องไห้ แต่ผ่านไปครู่หนึ่งกลับหัวเราะกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ดี ซวนเอ๋อร์เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ สมแล้วที่เป็นลูกชายข้า” 

 

 

แม้แต่ซวนเอ๋อร์ยังเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจหนีได้อีกต่อไป จึงเริ่มมีความมุ่งมั่นขึ้นมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด! นางอยากดูนักว่าใครจะได้รับชัยชนะกันแน่! 

 

 

พอทางด้านถาวจวินหลันต้มน้ำแกงเนื้อเสร็จแล้ว ข้างนอกก็เริ่มทนไม่ไหว อย่างไรก็อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บและหิมะโปรยปรายมานาน ไม่เพียงแค่หนาวจนตัวแข็ง ทั้งยังได้กลิ่นน้ำแกงเนื้อที่ไม่อาจดื่มได้ พออ้าปากจะกลืนน้ำลายก็ทำได้แค่กินลมเย็นเข้าไปเต็มท้อง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทนได้  

 

 

วินาทีที่ประตูวังตวนเปิ่นถูกกระแทกดัง ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคนข้างนอกรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบรรดาข้ารับใช้ได้ยินเสียงกระแทกประตูก็แอบใจโหวง ถาวจวินหลันได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “กลัวอะไร? มีอะไรน่ากลัวกัน? ประตูใหญ่วังตวนเปิ่นแข็งแรงดี! กินน้ำแกงเนื้อเสร็จ พวกเจ้าก็ไปค้ำประตูเอาไว้!” 

 

 

สิ้นเสียงของถาวจวินหลัน ข้างนอกก็เริ่มตะโกนเสียงดัง “ชายารัชทายาท ยอมแพ้เถิด! องค์รัชทายาทถูกจับทั้งเป็นแล้ว! ไม่มีใครมาช่วยพวกท่านแล้ว!” 

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เริ่มลนลาน แต่นางก็กลับมาสงบนิ่งได้โดยเร็ว แม้ว่าหลี่เย่จะถูกจับทั้งเป็น แต่นางไม่มีทางเปิดประตูยอมแพ้เป็นอันขาด ลูกสาว ลูกชายของนางยังอยู่ในวังตวนเปิ่น นางจะยอมแพ้ได้อย่างไร? 

 

 

ถ้าเทียบกับอนาคตของเด็กๆ จะต้องมีชีวิตที่ไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรี ไม่สู้ยืนหยัดจนตัวตาย ต่อให้นางต้องตายจริง ก็ยังดีกว่าถูกจับ ถูกคุมขังให้คนทรมานตามใจชอบไปทั้งชีวิต  

 

 

เมื่อปักหลักกับความคิดนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็กัดฟันแน่น นิ่งเงียบแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน 

 

 

นางสงบนิ่งมุ่งมั่นเช่นนี้ ท่าทางเพิกเฉยย่อมต้องส่งผลถึงบรรดาข้ารับใช้ หลังจากลนลานไปครู่หนึ่งทุกคนก็สงบลงอีกครั้ง จากนั้นก็ไปเติมน้ำแกงเนื้ออีกคนละถ้วย แล้วค่อยๆ กิน ถ้าโชคไม่ดีนี่คงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาแล้ว  

 

 

บรรยากาศแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าบางๆ ถาวจวินหลันนิ่งเงียบมองทุกคน แอบซ่อนความร้อนรนและกังวลของตนเอาไว้ในใจ 

 

 

พูดตามจริงแล้ว นางเป็นห่วงหลี่เย่ยิ่งกว่าใคร ตอนนี้หลี่เย่เป็นเช่นไร นางอยากรู้จริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้แล้วหลี่เย่ก็ยังไม่มาช่วยนางกับลูกๆ เสียที ที่จริงอาจจะอธิบายถึงปัญหาหนึ่งได้แล้ว นั่นก็คือตัวหลี่เย่เองก็เอาตัวไม่รอด ดังนั้นจึงไม่มีทางมาพะวงทางนี้  

 

 

สถานการณ์จะต้องอันตรายเพียงใดถึงบีบหลี่เย่จนถึงขั้นนี้ได้ เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากเลย  

 

 

ถาวจวินหลันเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง แล้วความรู้สึกผิดก็แทรกซึมเข้ามา ที่จริงนางรู้แจ้งนานแล้วว่าหลี่เย่คงไม่ได้ขึ้นครองราชย์ราบรื่นนัก จวงอ๋อง อู่อ๋อง และฮองเฮามีใครไม่เอาเรื่องบ้าง? เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางคิดว่าพวกเขาต้องลงมือหลังฮ่องเต้ลงหลุมไปแล้ว และเรื่องหลี่เย่ขึ้นครองราชย์จะต้องถูกจัดวางอย่างเป็นทางการ 

 

 

แต่ตอนนี้นับดูแล้วฮ่องเต้เพิ่งจะสิ้นพระชนม์ไปได้เจ็ดวันเท่านั้น เพิ่งจะเจ็ดวันอีกฝ่ายก็ลงมือเสียแล้ว แตกต่างอย่างมากกับสิ่งที่นางคาดเดา 

 

 

หากสันชาตญาณเตือนภัยของนางดีกว่านี้ เตรียมแผนป้องกันได้เร็วกว่านี้ หรือเอ่ยเตือนหลี่เย่ก่อนสักครั้ง บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องแบบวันนี้  

 

 

นางรู้สึกเสียใจจริงๆ  

 

 

ขณะที่ถาวจวินหลันรู้สึกเสียใจนั่นเอง ด้านนอกก็เกิดเสียงนกหวีดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงตะโกนคุ้นเคย “พี่สะใภ้รอง ข้ารับคำสั่งจากพี่รอง ให้มาช่วยท่าน!” 

 

 

ถาวจวินหลันสั่นเทิ้มเล็กน้อย ก่อนลุกพรวดพราดขึ้นมา มองไปยังประตูใหญ่อย่างตื่นเต้น…นั่นเป็นเสียงขององค์ชายเจ็ด  

 

 

นอกจากเสียงขององค์ชายเจ็ดแล้วยังมีเสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้อง เสียงที่มีกำลังและรีบร้อนเช่นนี้เหมือนกำลังลั่นกลองถี่ ทุกคนพลันก็ใจเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

หลังจากความเงียบสงบชั่วครู่ ตอนที่เสียงเรียกขององค์ชายเจ็ดดังขึ้นอีกครั้ง บรรดาข้ารับใช้ในวังตวนเปิ่นก็ส่งเสียงโห่ร้องยินดี ไม่ให้ยินดีได้อย่างไร? ตอนที่พวกเขาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ตอนที่คิดจะละทิ้งความหวัง องค์ชายเจ็ดกลับนำพาความยินดีใหญ่หลวงมาให้พวกเขา ทำไมพวกเขาถึงจะไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดีเล่า? 

 

 

แม้แต่ถาวจวินหลันก็รีบกระชับผ้าคลุม เร่งฝีเท้าเดินไปข้างประตู ก่อนลอบมองข้างนอกผ่านช่องประตู 

 

 

นางเห็นห่าฝนธนู จากนั้นบรรดาข้ารับใช้เหล่านั้นก็ล้มลงเหมือนผักโดนหั่น โคมไฟในมือของพวกเขาก็หล่นลงบนพื้นตามร่างเจ้าของไป ก่อนแผดเผาจนกลายเป็นทะเลเพลิง แล้วลามไปยังร่างของเจ้านายมัน  

 

 

ฤดูหนาวคนสวมเสื้อผ้าค่อนข้างหนา ไม่ว่าเป็นผ้าฝ้ายหรือดอกฝ้ายล้วนเผาไหม้ง่าย แม้ข้างนอกหนาว แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการลุกลามของเปลวเพลิงเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ถาวจวินหลันอาศัยทะเลเพลิงมองสถานการณ์ข้างนอกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

นางเห็นกลุ่มทหารองครักษ์ในชุดดำกลุ่มหนึ่งบุกทะลวงเข้ามาจากจุดซ่อนตัว พุ่งเข้าไปทางห่าฝนธนูด้วยทีท่าไม่คิดชีวิต ทีท่าเช่นนั้นทำให้นางตัวสั่นขึ้นมา  

 

 

นางเห็นความอาฆาตและความมุ่งมั่นตัดสินใจในดวงตาของคนเหล่านี้ 

 

 

ต่างฝ่ายต่างเตรียมพร้อม ‘ไม่ใช่เจ้าตายก็ข้าตาย’  

 

 

แต่ที่น่าเสียดายคือหลังจากห่าฝนธนูที่แหลมคมเบียดเสียดแล้ว สุดท้ายคนที่ยังยืนอยู่ได้ก็เหลือไม่ถึงครึ่ง แต่คนอีกครึ่งที่เหลืออยู่ก็ยังคงพุ่งเข้าไปข้างหน้า ต่อให้เหยียบร่างของเพื่อนพ้องก็ไม่หวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น  

 

 

ในที่สุดถาวจวินหลันก็มองเห็นองค์ชายเจ็ด เขาอยู่บนหลังม้ารูปงาม บุกเข้ามาเป็นทัพหน้าปะทะเข้ากับทหารองครักษ์กลุ่มนั้น  

 

 

องค์ชายเจ็ดใช้หอกด้ามหนึ่ง ปลายหอกนั้นแหลมคมและเรียวยาว แต่กลับไม่ได้สะท้อนแสงออกมาอย่างน่าแปลก แต่แลดูดำคล้ำ แม้ไม่โดดเด่น แต่ความทรงอำนาจนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย 

 

 

องค์ชายเจ็ดลงมืออย่างรวดเร็ว พุ่งเป้าไปที่คอและดวงตาของอีกฝ่าย ทุกที่ที่ถูกปลายแหลมของหอกแทงลงไปล้วนเหลือรูโหว่เอาไว้ที่หน้าของอีกฝ่าย ก่อนมีเลือดไหลพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

เสียงร้องโหยหวนพลันก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย ในวินาทีนี้เหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่วังหลวงโอ่อ่าตระการตา แต่เป็นสนามรบที่ไว้เข่นฆ่าคน เป็นนรกที่ต้องเอาชีวิตคน  

 

 

ถาวจวินหลันเห็นองค์ชายเจ็ดถลึงตาโกรธกรุ่นทรงอำนาจ ปิดบังความอ่อนเยาว์และกลิ่นอายบัณฑิตของเขาไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงภาพจำอันน่าหวาดกลัว  

 

 

หนุ่มน้อยขี่ม้าเหยียบผืนดิน หอกยาวกวาดไปทั่วอย่างไร้เทียมทาน องค์ชายเจ็ดใช้ท่าทางเช่นนี้บุกทะลวงทหารองครักษ์ที่เหลือ คนที่หลุดรอดมาได้นั้นมีไม่เกินห้าคน 

 

 

ขณะที่องค์ชายเจ็ดกระโดดลงจากหลังม้า ถาวจวินหลันก็เห็นว่าปลายหอกของเขาสะบัดเลือดที่ติดอยู่ออกมาเป็นสาย นี่ล้วนเป็นเลือดสดที่ติดอยู่เมื่อครู่นี้  

 

 

ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าองศาของเลือดเหล่านั้นสวยงามจนน่าแปลกใจ  

 

 

หลังจากองค์ชายเจ็ดลงจากหลังม้าก็ทำความเคารพต่อหน้าประตูใหญ่วังตวนเปิ่นอย่างจริงจัง “พี่สะใภ้รอง ข้ามาช้าไป โปรดให้อภัยด้วย! ข้ามีโทษสมควรตาย!” 

 

 

ตั้งแต่องค์ชายเจ็ดขี่ม้ามา ตะโกนเสียงดังลั่นอยู่นอกวังตวนเปิ่น จนกระทั่งจัดการคนที่มาจู่โจมล้มกองกับพื้นไม่เหลือ ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แม้แต่นาทีเดียวก็ยังไม่ถึง  

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันเห็นองค์ชายเจ็ดนั่งคุกเข่า ก็แสดงท่าทีให้ข้ารับใช้เอาไม้กั้นที่ขวางประตูออก จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วถึงค่อยๆ เปิดประตูวังตวนเปิ่นออก 

 

 

นางตื้นตันใจจนยากจะอธิบาย ก่อนหน้านี้องค์ชายเจ็ดตะโกนบอกว่าหลี่เย่ให้เขามา นี่ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่แก้สถานการณ์วุ่นวาย และพ้นผ่านอันตรายแล้วอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่านางตื้นตันก็เพราะรู้สึกยินดีระคนผ่อนคลายที่รอดจากพ้นภัยมาได้ 

 

 

องค์ชายเจ็ดเงยหน้าขึ้นมา ส่งยิ้มให้ถาวจวินหลัน ดวงตาเป็นประกายยินดีที่ปิดไม่มิด  

 

 

ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดยังมีเศษเลือดกระเด็นโดน เป็นจุดๆ ดวงๆ ดูแล้วเหมือนมีกระบนใบหน้า ถาวจวินหลันมองฟันขาวขององค์ชายเจ็ด และใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด จึงอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรออกมา 

 

 

แต่พอจะอ้าปาก ได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรง บวกกับความต่างระหว่างฟันและเลือดสดบนใบหน้าขององค์ชายเจ็ด นางก็รู้สึกคลื่นไส้ทันที ส่งเสียงสำรอกดังออกมา  

 

 

องค์ชายเจ็ดตกใจจนแทบจะกระโจนเข้าไปประคองถาวจวินหลัน แต่คิดได้ว่าหญิงชายไม่ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน สุดท้ายจึงได้แต่ยืนดูนิ่งๆ ถามอย่างร้อนใจว่า “พี่สะใภ้รองเป็นอะไรไป?”  

 

 

กลิ่นคาวเลือดบนร่างขององค์ชายเจ็ดยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาใกล้ถาวจวินหลันมากขึ้น ถาวจวินหลันรู้สึกว่าสิ่งที่นางได้กลิ่นนั้นไม่ใช่เพียงกลิ่นคาวเลือด แต่ยังเหมือนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเลือดมนุษย์ ฉับพลันก็ยิ่งคลื่นไส้หนักมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ทนไม่ไหว รีบก้าวถอยหลังไป  

 

 

หงหลัวถึงได้ฉวยโอกาสถลึงตาใส่องค์ชายเจ็ด “องค์ชายเจ็ด อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้เพคะ ชายารัชทายาทกำลังตั้งครรภ์ไฉนเลยจะทนกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ไหว?”