ตอนที่ 57 - 3 บุรุษเป็นบ่อเกิดของหายนะ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

อีชีชะงัก มือไวตาไวแย่งภาพถ่ายมาไว้ในมือในครั้งเดียว ภาพถ่ายถ่ายได้เพียงพื้นดินอีกฝั่ง ทว่าเขาเข้าใจเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“นี่ก็คือความลับภาพเทวะของเจ้า!” เขาร้องเสียงดัง 

 

 

พอถูกพบเข้า จิ่งเหิงปัวก็ไม่คิดจะปิดบังอีก คว้าโพลารอยด์มา 

 

 

“มา ยิ้มหน่อย” 

 

 

อีชีเข้ามาใกล้โดยพลัน ยิ้มเห็นฟันสีขาวราวหิมะเจ็ดซี่อย่างให้ความร่วมมือ จิ่งเหิงปัวถอนใจว่าทำไมกงอิ้นไม่เชื่อฟังขนาดนี้ไปพลางกดชัตเตอร์ไปพลาง 

 

 

เสียงแชะเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา อีชีวิ่งหนีออกไปดังสวบ เหลียวซ้ายแลขวาร้องว่า “เสียงใด!” 

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัววางไว้ด้านบนของโพลารอยด์ ภาพถ่ายใบหนึ่งค่อยๆ ปล่อยออกมา ล้างฟิล์มอย่างรวดเร็วใต้แสงอาทิตย์ 

 

 

“การวาดภาพลายเส้นเทวะ หนึ่งใบหมื่นตำลึงทอง” จิ่งเหิงปัวชูไปชูมาทางเขา 

 

 

อีชีคว้าภาพถ่ายมองอยู่เนิ่นนาน อุทานอย่างตื่นตะลึงฮือฮาว่า “นี่ใช่ข้าหรือ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอย่างสำรวม รอเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงของเขา 

 

 

“ข้าไม่เคยรู้ว่าข้างดงามขนาดนี้” 

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากถีบเขาไปไกลเกินพันลี้ในเท้าเดียว 

 

 

บนโลกนี้ยังมีคนที่กล้าหลงตัวเองยิ่งกว่านางอีก! 

 

 

“ทว่าเอ่ยไปเอ่ยมา” อีชีลูบภาพถ่ายใบนั้นอย่างชื่นชมไม่ขาดปาก แลชำเลืองมองโพลารอยด์ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ภาพเหมือนที่คนวาดออกมาจริงด้วย! กล่องนี้คือสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งนักเป็นแน่!” 

 

 

“อืม มันเก็บสะสมวิญญาณของมุษย์ ถ่ายเงาของเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าก็อายุสั้นลงสิบปี” จิ่งเหิงปัวพูดจาเหลวไหลกับเขา รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมามาก มองดูควันดำนั้นก็ไม่อึดอัดใจแล้ว 

 

 

“เจ้าชอบเอ่ยเพ้อเจ้อเหมือนเจ้าสามเลย” อีชีแบะปาก เอ่ยว่า “ทว่าเป็นเพียงเครื่องจักรมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งเท่านั้น” 

 

 

คราวนี้จิ่งเหิงปัวต้องมองกันใหม่แล้ว นี่น่ะเป็นคนโบราณนะ พบเจอสิ่งของเช่นโพลารอยด์นี้กะทันหัน ไม่เพียงแต่ไม่ได้กรีดร้องตกตะลึง ยังกล่าวคำว่า “เครื่องจักร” สองคำนี้ออกมาได้ นี่เป็นความคิดที่อยู่เหนือยุคสมัยแค่ไหนนะ 

 

 

คงไม่ใช่เพื่อนทะลุมิติมาเหมือนกันหรอกมั้ง 

 

 

“เจ้ารู้จักของสิ่งนี้หรือ” 

 

 

“ไม่รู้จัก” อีชีถือโพลารอยด์พลิกไปพลิกมามองดู แววตาเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย 

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่มหัศจรรย์ขนาดนี้” 

 

 

“อาจารย์เอ่ยว่าเจ้าคือคนต่างโลกที่นำดาวพิฆาตทะลุฟ้ามาจุติ เจ้าจะมีความคิดและความมหัศจรรย์ที่ทุกผู้คนบนโลกนี้ไม่อาจมี เจ้านำสิ่งของแปลกประหลาดมหัศจรรย์ออกมาสักหน่อยถึงจะคู่ควรกับสถานะเจ้าน่ะ” อีชีทำเป็นศึกษาโพลารอยด์ มือแอบล้วงเข้าไปในกระเป๋าควานมั่วซั่ว ถูกจิ่งเหิงปัวที่มีตาไฟทิพย์ตบลงไปในฝ่ามือเดียว 

 

 

“อาจารย์เจ้าหรือ” จิ่งเหิงปัวนึกถึงคำถามก่อนหน้านี้ของอีชี เหมือนว่าจะกล่าวถึงเรื่องราวที่อาจารย์ทดสอบที่นา แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผล ผู้มีความคิดฉลาดเฉียบแหลมอยู่เหนือยุคสมัยควรจะเป็นตาแก่ที่หนวดเคราสีขาวราวหิมะปราณเซียนคละคลุ้ง ไม่ควรเป็นหัวขโมยรูปงามที่ใบหน้าเปี่ยมเล่ห์กลยิ้มจนไร้ยางอายเบื้องหน้าคนนี้ 

 

 

“อาจารย์เจ้ายังเอ่ยถึงว่าอะไรอีก” จิ่งเหิงปัวเกิดความสนใจขึ้นมา ผู้วิเศษน่ะ ท่วงท่าสง่าดั่งเซียนเปิดเผยความลับสวรรค์คือความสามารถของพวกเขา 

 

 

“เขาเอ่ยว่าเจ้าคือราชินีลิขิตสวรรค์ ทว่าทุกข์ทรมานหาใดเปรียบ” อีชีกำลังลูบโพลารอยด์ไปมา 

 

 

“ทุกข์ทรมานยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวมองดูรอบด้านที่วุ่นวายแล้วถอนหายใจเฮือก สามารถทำให้พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จพิธีหนึ่งกลายเป็นแบบนี้ นางคงเป็นคนที่ไม่เคยเหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอีกในประวัติศาสตร์ต้าฮวงล่ะมั้ง ควรจะบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ให้เต็มที่ไปเลย 

 

 

“เขาเอ่ยว่าเจ้ามีเจ็ดสังหารสาดส่องชีวิต ลิขิตให้พลิกผันต้าฮวงในหลายร้อยปี กฎเกณฑ์เก่าดุจธุลีอำนาจใหม่ดั่งหนามแหลม โลหิตสาดกระเซ็นเจิ่งนองใต้บัลลังก์จักรพรรดิ” อีชีกำลังศึกษาโพลารอยด์ 

 

 

“เอ่ยให้สุภาพเรียบร้อยหน่อย” จิ่งเหิงปัวเท้าคาง กล่าวว่า “วาจานี้ประโยคแรกถูกต้องประโยคหลังไม่ถูกต้อง ข้าไม่ชื่นชอบสังหารคน” 

 

 

“แต่ไหนแต่ไรมาการสังหารคนไม่เกี่ยวกับชื่นชอบหรือไม่ชื่นชอบ” อีชีตอบกลับทันควัน ลูบโพลารอยด์ไปมา 

 

 

“แล้วเอ่ยว่าอะไรอีก” 

 

 

“เขาเอ่ยว่าเจ้าดวงขึ้นหลายครั้งดวงตกหลายครั้ง ตนเองรวมทั้งผู้คนรอบกายยากสงบสุขครึ่งชีวิต” 

 

 

“ความรักล่ะ” จิ่งเหิงปัวไม่ค่อยสนใจในสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ที่ไหนก็มีนักต้มตุ๋น ให้นักต้มตุ๋นมั่วยังมั่วได้หลายประโยค ขอแค่พัฒนาไปในทิศทางที่จับต้องไม่ได้ก็พอแล้ว 

 

 

“โอ้” อีชีไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยว่า “แท้จริงแล้ววาจาที่เอ่ยมาล้วนเป็นเรื่องราวที่ข้าปั้นแต่ง มีเพียงวาจาประโยคต่อไปถึงเป็นสิ่งที่เขาเอ่ยอย่างแท้จริง เจ้าฟังให้ละเอียด เขาเอ่ยว่าเจ้าแลคล้ายดอกท้อสาดส่องชีวิต หลวนชาดทยอยเหิน แท้จริงแล้วผู้ใดหน้าไหนข้างกายล้วนมิใช่คู่บุญคู่วาสนา สามีในอนาคตที่แท้จริงของเจ้า…” 

 

 

“ไกลสุดขอบฟ้าใกล้อยู่แค่เอื้อมใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวตบครั้งหนึ่งทำลายมือของเขาที่ตระเตรียมชี้จมูกตนเอง แย่งโพลารอยด์คืนมา กล่าวว่า “ไม่มีวาจาเข้าท่าสักประโยค คืนมา” 

 

 

“อย่าขยับๆ” อีชีหลบหลีก ชูโพลารอยด์สูงขึ้น โอบใบหน้าของนางเข้ามาในครั้งเดียว แนบนางเข้าใกล้หัวไหล่ตนเอง เอียงหน้าครั้งหนึ่งประชิดเข้ามาอย่างหวานปานน้ำผึ้ง เอ่ยว่า “ยิ้มหน่อย หนึ่งสองสาม!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่เมื่อครู่ยังอยากด่าคน พอเผชิญหน้ากล้องสาดส่องลงมายิ้มแย้มดุจมวลผกาทันที ยังทำท่าชูสองนิ้ว ร้องว่า “เย่!” 

 

 

“เย่!” อีชีเลียนแบบไปทุกสิ่ง 

 

 

“แชะ” 

 

 

โพลารอยด์สั่นอยู่พักหนึ่ง อีกครู่หนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยภาพถ่ายใบหนึ่งออกมา 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูเด็กหนุ่มคนนี้อย่างเหลือเชื่อ กล่าวว่า “เจ้าใช้เป็นแล้วหรือ เจ้าใช้เป็นแล้วจริงๆ หรือ” 

 

 

โพลารอยด์นี้ยังยุ่งยากนิดหน่อย ต้องเปิดเลนส์กล้อง ปรับความละเอียดแล้วค่อยกดชัตเตอร์ เจ้าคนนี้ฉวยมือลูบคลำก็ใช้เป็นแล้วเหรอ 

 

 

นี่ยังใช่คนโบราณอีกเหรอ 

 

 

พอมองภาพถ่าย ชัดเจนอย่างมาก ฉากหลังสมบูรณ์ ภาพบุคคลเล็กใหญ่เหมาะสม องศาแม่นยำ หนุ่มหล่อสาวสวยคู่หนึ่ง ศีรษะชนกันยิ้มแย้มเปี่ยมล้นด้วยความเบิกบาน ต่างยิ้มจนเห็นฟันสีขาวหิมะเต็มซี่เจ็ดซี่ มองอย่างไรเหมาะสมกันดีอย่างนั้น พอจะนำไปทำโฆษณากล้องถ่ายรูปได้ 

 

 

สมัยนี้มีคนฉลาดเยอะเกินไป อยู่ไม่ได้แล้ว 

 

 

บนภาพถ่ายสองคนมีท่วงท่าสนิทสนม จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ว่าไม่เหมาะสม ยื่นมือไปคว้า กล่าวว่า “ให้ข้าไว้เป็นที่ระลึก” 

 

 

“ข้าเป็นผู้ถ่ายย่อมต้องเป็นของข้า” อีชีเขย่าภาพถ่าย รีบเร่งเก็บเข้าไปในอ้อมแขน ฉวยโอกาสที่จิ่งเหิงปัวแบ่งความสนใจไปยังภาพถ่าย มือยื่นเข้าไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วนำออกมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือกุมของสิ่งหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา 

 

 

“ปีศาจคลั่งทลายดอกไม้มาอีกแล้ว ข้าไปล่ะ” อีชีลุกขึ้นโดยพลัน เอ่ยว่า “จริงสิ ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่าหากมีเวลาว่างไปเป็นแขกที่เขาชีเฟิงนะ ขึ้นเขาจำไว้ว่าหาหนึ่งหนึ่งก็พอแล้ว อย่าได้สนใจอีกเจ็ดคนเชียวนะ ล้วนไม่ใช่คนดี” 

 

 

จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเขารวมเขาด้วยคนหนึ่งเป็นเจ็ดคน อีกหกคนมาจากไหน หลงตัวเลข 

 

 

“เขาชีเฟิงหรือ” 

 

 

“เจ้าต้องไปแน่” อีชียิ้มอย่างลึกลับ พลันพยักหน้าให้เบื้องหน้า เอ่ยว่า “ภูเขาน้ำแข็ง ก่อนหน้านี้เจ้าหวังทำร้ายข้า ข้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรภายภาคหน้าต้องมีความลำบากรอเจ้าอยู่…” 

 

 

พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา กงอิ้นกำลังยืนอยู่ไม่ไกลหลังกายนาง ข้างหลังควันดำคละคลุ้งทว่าเขาดูท่าทางยิ่งเยือกเย็นดุจน้ำแข็งดั่งหิมะ ในนัยน์ตาเป็นสีผลึกน้ำแข็งขาวโพลนเช่นกัน ไอเหน็บหนาวแผ่คลุมอีชีอย่างเย็นชา 

 

 

“ผู้สืบทอดแห่งเขาชีเฟิงริเริ่มวางแผนยุ่งเกี่ยวอำนาจทางโลกมนุษย์ด้วยตั้งแต่ยามใดกัน” เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา 

 

 

“ข้าเพียงหลงใหลในความงามของราชินีเท่านั้น” อีชียิ้มตาหยีโบกนิ้วมือ เอ่ยว่า “ได้รับความรักความเมตตาจากนาง วาดภาพเหมือนให้ข้าหนึ่งภาพ เจ้าจะดูหน่อยหรือไม่” 

 

 

เขาล้วงภาพถ่ายออกมาอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ ให้เจ้าคนบางคนมองเห็นภาพถ่ายที่สนิทสนมกลมเกลียวขนาดนั้นคงยุ่งยากอีกแน่ รีบเร่งกระโดดขึ้นมาพุ่งไปทางกงอิ้น ร้องว่า “โอ๊ยข้าเจ็บเท้า!” 

 

 

กงอิ้นคล้ายหวังจะตบอีชีสักฉาดก่อน สุดท้ายแล้วกลับยกมือรับจิ่งเหิงปัวไว้ก่อน มือของอีชีหดกลับไปดังสวบ เรือนร่างกะพริบวูบ ข้ามผ่านฝูงชนที่โอบล้อมแล้วกระโจนออกไปไกลโพ้น 

 

 

คนหนีไปได้แล้ว เสียงหัวเราะสบายอารมณ์ยังดังกึกก้องตรงขอบฟ้า 

 

 

“ราชินีที่เคารพรัก ภรรยาที่รักยิ่งของข้า ข้าน่ะรู้ว่าเจ้าต้องช่วยข้าเป็นแน่!” 

 

 

ไอ้เวรเอ้ย! 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ถึงความแข็งทื่อของอ้อมแขนเบื้องหน้าทันที แอบหลั่งน้ำตาในใจ 

 

 

ทำไมพวกพ่อรูปงามล่มแคว้นที่พบในต้าฮวงเหล่านี้ แต่ละคนถึงชอบนำหายนะมาให้นางนักนะ… 

 

 

ครู่ต่อมามหาเทพกงผลักนางออกดังคาด หันกายเดินจากไป 

 

 

“เฮ้ๆ!” จิ่งเหิงปัวเดินตามไป ร้องว่า “เจ้ารอข้าด้วยสิ ข้าเจ็บเท้า!” 

 

 

กงอิ้นหยุดลงแล้วทว่าไม่หันหน้ากลับมาแลไม่สนใจนาง ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เช็ดมืออย่างเอื่อยเฉื่อย เช็ดแล้วรอบหนึ่งฉวยมือสะบัดทิ้ง ผ้าเช็ดหน้าล่องลอยหายไปดุจวิหคขาว 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดในใจว่าโรครักสะอาดน่ารำคาญจริงๆ ยังไม่ทันได้คิดเสร็จมองเห็นเขาล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนที่สองออกมาอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนที่สามออกมาอีกครั้ง… 

 

 

“เฮ้เหตุใดเจ้าต้องเช็ดมือบ่อยๆ ด้วย” นางอดจะถามไม่ได้ในที่สุด 

 

 

“สกปรก” เขาตอบอย่างเรียบง่ายเฉื่อยเนือย สายตาเหลือบมองมาอย่างเย็นชา 

 

 

สกปรก สกปรกอะไรล่ะ สกปรกตรงไหน มือเขาสะอาดขาวราวหิมะไม่เปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียวนะ 

 

 

จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่อีกครั้ง ถึงเข้าใจขึ้นมาเลือนราง…คงเกี่ยวกับตุ๊กตาล่ะมั้ง ตุ๊กตาทำให้มือของเขาสกปรกเหรอ 

 

 

เขาคงอยากถามแต่ไม่กล้าปริปาก ในใจคงอึดอัดด้วย นี่เขากำลังบอกเป็นนัยให้ตัวนางเองอธิบายสินะ 

 

 

“เรื่องนั้น…” นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ รู้สึกว่าไร้หนทางอธิบายจริงๆ บอกว่าของสิ่งนี้มีคนให้มา บอกว่าเบ็คแฮมนางรู้จักเขาไม่รู้จักนาง บอกว่าที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่นับว่าร้ายแรงที่ทางนั้นของพวกนาง บอกว่าที่ทางนั้นพวกนางมีคลับเปลือยกายเดินไปทั่วโดยไม่สวมเสื้อผ้า กล่าวจบแล้วมหาเทพจะคิดว่านางมีนิสัยกำเริบเสิบสาน นับจากนี้ไปกักบริเวณนางตลอดกาลด้วยความโกรธแค้นหรือเปล่านะ 

 

 

นางกระอึกกระอัก คนบางคนยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้น 

 

 

“เหตุใดถึงคล้ายเจ้า” เขาถามขึ้นมาโดยพลัน 

 

 

“หา” จิ่งเหิงปัวที่กำลังควานหาวิธีพูดที่กงอิ้นยอมรับได้และตนเองไม่เกิดปัญหาสักวิธีเต็มสมอง สมองหยุดชะงักไป 

 

 

เหตุใดถึงคล้ายเจ้าราวกับพิมพ์เดียวกัน” เขาหันกลับมา ดูคล้ายไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง น้ำเสียงสงบเงียบ ทว่าสายตาแสงเยือกเย็นดุจเข็มแหลม เอ่ยว่า “ไม่มองดูร่างเจ้า คงไม่อาจประดิษฐ์ออกมาได้เสมือนจริงเช่นนี้” 

 

 

“เรื่องนั้น…ทำตามภาพเหมือนสิ” นางหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ทว่าที่จริงแล้วมิได้สวมอาภรณ์น้อยชิ้นขนาดนี้นะ…” เสียงยิ่งกล่าวยิ่งเบาลงไป 

 

 

ที่จริงตอนที่นางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นขนาดนี้มีเยอะแยะไป จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ว่าสิ่งที่เรียกว่าเห็นบ่อยไม่ค่อยแปลก ภายหลังให้เขาได้เห็นสักหน่อยคงจะไม่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมขนาดนี้แล้วใช่ไหม 

 

 

“ผู้ที่ทำตุ๊กตาตัวนี้ให้เจ้าคือคนต้นแบบตุ๊กตาผู้ชายคนนั้นหรือ” เขาถามคล้ายอย่างไม่สนใจใยดีอีกครั้ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักไปอีกรอบ 

 

 

นี่มันตรงไหนกับตรงไหนเนี่ย 

 

 

“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” นางรีบเร่งชี้แจงว่า “ตุ๊กตาสองตัวล้วนทำตามภาพเหมือน” 

 

 

“ผู้ใดเป็นคนทำ” 

 

 

“ช่างฝีมือสิ” 

 

 

“ช่างฝีมือเพศชาย” เสียงเขาคล้ายทุ้มลงเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ผิดปกติอยู่บ้าง 

 

 

ขั้นต่อไปเขาคงจะถามว่าตุ๊กตาผู้ชายนั้นคือใครใช่ไหม จากนั้นถามนางว่าเบ็คแฮมคือใคร จากนั้นตระเตรียมบัญชาทหารคั่งหลงเคลื่อนพลสังหารเบ็คแฮมใช่ไหม จากนั้นทุกคนที่แซ่เบ็คในต้าฮวงจะโชคร้ายกันหมดใช่ไหม 

 

 

ไม่ได้ ถ้าถามแบบนี้ต่อไป ชั่วชีวิตนี้เขาคงต้องสู้ตายกับเบ็คแฮมแน่นอน 

 

 

“เพศหญิงเพศชายสำคัญด้วยหรือ” ดวงตานางค่อยๆ หรี่ขึ้นมา กล่าวว่า “หรือว่า…กงอิ้นเจ้ากำลังหึงหวงหรือ เจ้ากำลังหึงหวงด้วยเพราะ…ตุ๊กตา” 

 

 

กงอิ้นพลันก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากนาง 

 

 

“วาจาพิกลพิการ!” เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าเพียงอยากถามช่างฝีมือที่ประดิษฐ์สิ่งของคลุมเครือนี้ให้แน่ชัด! จะใช้สิ่งของสกปรกเช่นนี้ล่อลวงราชินีและทำให้ราชินีตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร! คนเช่นนี้ควรจะจับตัวมาไต่สวน ใช้โทษฐานใส่ร้ายป้ายสีหมิ่นเกียรติราชินีตัดสินประหารชีวิต! อีกทั้งจิ่งเหิงปัว เขาไม่รู้ว่าของสิ่งนี้จะทำร้ายเจ้า ตัวเจ้าเองก็ไม่รู้หรือ!” 

 

 

“จริงหรือ สกปรกหรือ” จิ่งเหิงปัวใช้สายตาวูบวาบมองดูเขาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม กล่าวว่า “สกปรกขนาดนี้ คลุมเครือขนาดนี้ ไม่อาจบอกผู้ใดได้ทำร้ายคนโดยไม่เลือกวิธีขนาดนี้ ผู้ที่ประดิษฐ์ของสิ่งนี้ควรจับมาตัดศีรษะ ถูกต้องยิ่งนักถูกต้องยิ่งนัก วาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล ทว่าท่านมหาราชครู ข้าอยากถามสักหน่อย ตุ๊กตานั่นคล้ายว่ายังเหลืออีกตัวหนึ่งนะ เจ้าว่าผู้ที่เก็บมันเอาไว้คงยิ่งคลุมเครือยิ่งไม่อาจบอกผู้ใดได้กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เก็บมันเอาไว้ผู้นั้นอยู่ที่ใด พวกเราจับเขาออกมาด้วยดีหรือไม่…” 

 

 

ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดผ่าน เบื้องหน้านางมืดมิด 

 

 

เจ้าคนเผด็จการที่พาลโมโหโกรธาไร้วาจาโต้ตอบบางคน กระทำการ “เถียงไม่ชนะก็ให้เจ้าหลับ” อีกครั้ง 

 

 

ก่อนที่จิ่งเหิงปัวจะล้มลงสู่อ้อมแขนที่คุ้นเคยนั้น ทันแค่ได้พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง 

 

 

“แม่งเอ้ย เจ้ายังกล้ายอมรับอีกนะ…”