บทที่ 1105 ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงช

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ด้วยพลังของปราณอมตะเสวียนหวงหลิงซวี่ก็ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-1 นางต้องการที่จะเร่งพัฒนาขึ้นสู่ขั้นต่อไป แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของนาง
  –น้องพี่..อย่าได้รีบร้อนนัก! เจ้าต้องสร้างรากฐานให้มั่นคงเสียก่อน..-
  และนั่นก็คือเสียงของหลิงหยุนที่พูดกับหลิงซวี่ผ่านกระแสจิต..
  ความจริงแล้ว..หลิงซวี่นั้นเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยดื้อรั้น นางคิดว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ก็นึกถึงความห่วงใยของท่านปู่และท่านพ่อที่มีให้กับนาง อีกทั้งหลิงหยุนเรียกนางว่า ‘น้องพี่’ ทำให้จิตใจที่ดื้อรั้นของหลิงซวี่นั้นอ่อนยวบลงไปอย่างมาก นางจึงเริ่มใช้ปราณอมตะเสวียนหวงนั้นทำการชำระล้างไขกระดูก และเส้นลมปราณเพื่อให้รากฐานของตนเองมั่นคงยิ่งขึ้น..
  และในบรรดาหลานชายของตระกูลหลิงนั้นผู้ที่ฝึกฝนก้าวหน้าได้ช้าที่สุดก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก.. หลิงห่าว! แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ที่ต่ำต้อยที่สุด แต่ครั้งนี้ก็สามารถพัฒนาขั้นได้อย่างรวดเร็ว
  เวลานี้..หลิงห่าวสามารถพัฒนาขั้นจนเข้าสู่ระดับเดียวกับหลิงซวี่แล้ว แต่ดูเหมือนหลิงห่าวจะโลภมาก และไม่พอแค่นั้น เขาเดินลมปราณอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ตนเองสามารถพัฒนาขั้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเวลานี้หลิงห่าวสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ได้แล้ว..
  แม้หลิงห่าวจะรู้ว่าการเร่งพัฒนาขั้นจนเร็วเกินไปนั้นอาจจะทำให้ธาตุไฟแตกซ่าน และกลายเป็นมารได้ แต่หลิงห่าวก็มั่นใจว่าหากเกิดเรื่องเช่นนั้นจริง หลิงลี่ซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-8 จะไม่ยอมปล่อยให้เขาต้องกลายเป็นมารอย่างแน่นอน และคงต้องหาทางช่วยตนเองอย่างสุดความสามารถ!
  และการที่หลิงห่าวคลุ้มคลั่งและกระสันที่จะพัฒนาขั้นอย่างมากมายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็คือนิสัยโลภโมโทสันของตนเอง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ.. หลิงหยุน!   เมื่อครั้งที่หลิงห่าวอยู่ในหน่วยเทพอินทรีย์นั้นเขาก็ได้ยินได้ฟังเรื่องความแข็งแกร่งอันน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนมานักต่อนัก และรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่อาจเทียบหลิงหยุนได้เลยแม้แต่น้อย..
  แม้ว่าตอนนี้หลิงห่าวได้แต่แอบหวังว่าหลิงหยุนจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้ที่แอบจ้างคนไปลอบสังหารหลิงหยุนแต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่เผื่อไว้แล้วเช่นกัน..
  หลิงห่าวตั้งใจไว้แล้วว่า..ต่อให้หลิงหยุนรู้จากปากเฉินเซินว่าตนเองเป็นคนสั่งฆ่า แต่เขาก็จะไม่ยอมรับ และหากบังเอิญมีหลักฐานที่มัดตัวเขาอย่างแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด หลิงห่าวก็ตั้งใจไว้ว่าจะใช้แผนที่สองซึ่งได้เตรียมไว้ นั่นก็คือการหลบหนี!
  ยิ่งหนีไปได้ไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวหลิงห่าวเองมากขึ้นเท่านั้น!
  แต่หากยังอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-9เขาจะสามารถหนีรอดได้อย่างนั้นหรือ
  หลิงห่าวจึงต้องอาศัยโอกาสนี้พัฒนาขั้นของตนเองให้สูงขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และเวลานี้หลิงห่าวก็ปรารถนาที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ให้จงได้!
  นับว่าแผนการของเด็กชั่วร้ายอย่างหลิงห่าวนั้นไม่เลวเลยทีเดียวเพียงแต่เขาลืมบางสิ่งบางอย่างไป เพราะมัวแต่คิดในมุมของตนเองฝ่ายเดียวเท่านั้น จนลืมนึกถึงความเป็นจริง..
  ก่อนที่จะได้รับปราณอมตะเสวียนหวงในครั้งนี้หลิงหยุนก็แข็งแกร่งกว่าหลิงห่าวมากอยู่แล้ว และเวลานี้ทุกคนต่างก็ได้รับประโยชน์จากปราณอมตะเสวียนหวงอย่างเท่าเทียมกัน เช่นนี้แล้ว.. ขั้นของหลิงห่าวจะเหนือกว่าหลิงหยุนได้อย่างไรกัน
  หลิงหยุนเองก็รู้ว่าหลิงห่าวนั้นสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4ได้แล้วและรู้ว่าหลิงห่าวยังคงที่จะเร่งพัฒนาขั้น แต่หลิงหยุนคร้านที่จะห้ามปราม จึงปล่อยให้หลิงห่าวทำตามที่ใจต้องการโดยไม่ใส่ใจ..
  เพราะยิ่งเข้าสู่ขั้นสูงขึ้นได้มากเท่าไหร่หลิงห่าวก็จะยิ่งตายเร็วมากขึ้นเท่านั้น!   จนกระทั่งเข้าสู่เวลาสองทุ่มตรง..หลิวเทวะก็หยุดโบกสะบัด และหยุดปล่อยปราณอมตะเสวียนหวงออกมาอีก!
  ส่วนหลิงหยุนก็อาศัยโอกาสนี้ทำให้ขั้นเอ้อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-2) ของตนเองนั้นมีเสถียรภาพมั่นคงยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นซานเฉิงชี่ได้ (ขั้นพลังชี่-3) แต่หลิงหยุนก็เลือกที่จะหยุดอยู่เพียงขั้นนี้..
  เพราะในคืนที่หลิงหยุนต่อสู้กับซือกงถูเขาก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ไป อีกเพียงแค่สองวันต่อมาเขาก็สามารถเข้าสู่ขั้นเอ้อเฉิงชี่ได้ นับว่าเป็นการพัฒนาขั้นที่รวดเร็วอย่างน่าตกใจ เพราะภายในเวลาเพียงแค่สามวัน หลิงหยุนก็สามารถพัฒนาขั้นขึ้นไปได้ถึงสี่ระดับแล้ว…
  และที่หลิงหยุนไม่รีบร้อนที่จะพัฒนาขั้นนั้นเพราะเขาแตกต่างจากผู้อื่น ทุกครั้งที่เขาพัฒนาเข้าสู่ขั้นใหญ่เมื่อใด ก็มักจะเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้น ทำให้หลิงหยุนต้องสร้างรากฐานให้มั่นคง และค่อยเป็นค่อยไป..
  ไม่เช่นนั้นแล้ว..หากเกิดความผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด ก็จะนำมาซิ่งปัญหามากมายไม่รู้จบ!
  ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่นี้..หลิงหยุนจะสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงสามหยดภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง หรือเจ็ดสิบสองหยดต่อวัน และนั่นก็นับว่ามากพอที่จะทำให้หลิงหยุนสามารถสร้างวัตถุวิเศษ และสิ่งต่างๆได้อีกมากมาย
  อีกทั้งในขั้นพลังชี่นั้น..แม้หลิงหยุนจะสามารถพัฒนาขั้นได้ช้า แต่ความแข็งแกร่งนั้นนับว่าเหนือกว่าผู้อื่นอย่างมากมาย
  แม้หลิวเทวะจะหยุดปล่อยปราณอมตะเสวียนหวงแล้วแต่ก็ยังมีหลงเหลืออบอวลอยู่ในห้องอีกมากมาย ใช่ว่าสมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆจะไม่อยากดูดซับเข้าไปอีก เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถทำได้อีกแล้ว
  ร่างกายของหลิงหยุนนั้นนับว่าล้ำเลิศกว่าใครๆไม่ว่าพลังชีวิตชนิดใดที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนโลก หลิงหยุนก็สามารถดูดซับเข้าไปได้หมด เขาจึงได้ดูดเอาปราณอมตะเสวียนหวงที่เหลืออยู่เข้าไปไว้ในจุดตันเถียนของตนเองจนหมด
  และครั้งนี้..เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าสมุดจักรพรรดินั้นได้ขยายใหญ่จากเดิมถึงสิบเท่า หนำซ้ำยังเปิดออกด้วย!
  ในเมื่อสมุดจักรพรรดิก็คือสมุดชนิดหนึ่งจึงย่อมเปิดออกได้ดังเช่นสมุดทั่วไป..
  และเมื่อสัมผัสได้ว่าสมุดจักรพรรดิเปิดออกแล้วหลิงหยุนจึงรีบใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองส่องกลับเข้าไปดูภายในร่างกายทันที เขาต้องการจะรู้ว่าภายในสมุดจักรพรรดินั้นได้บันทึกอะไรไว้บ้าง
  และในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่นั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็มีอานุภาพมากกว่าเดิมถึงสามเท่า และเวลานี้จิตหยั่งรู้ของเขาก็มีรัศมีครอบคลุมถึงสองกิโลเมตรแล้ว!
  หลิงหยุนพบว่าภายในสมุดจักรพรรดินั้น..ไม่มีตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือ มีเพียงภาพวาดของชายชราผู้หนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางหม้อขนาดใหญ่ใบหนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องที่หม้อใหญ่ใบนั้นคล้ายกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำบางสิ่งบางอย่าง..
  ‘หม้อเสินหนงงั้นรึ!หรือชายชราในภาพนั้นจะเป็นจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ?!’
  ในยุคจีนโบราณแรกเริ่มนั้น..มีกษัตรย์อยู่สามพระองค์ หรือที่เรียกกันว่าซานหวง ได้แก่จักรพรรดิแห่งมนุษย์นามว่าฝูซี จักรพรรดิแห่งผืนพิภพนามว่าเสินหนง และจักรพรรดิแห่งสวรรค์นามว่าเซวี่ยนหยวน
  ‘จักรพรรดิแห่งผืนพิภพนามว่าเสินหนง..’
  ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่ามีบ้างสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเอง คล้ายกับว่าต้องการที่จะพุ่งออกมา และมันก็คือพู่กันจักรพรรดินั่นเอง..
  หลิงหยุนยังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เขาพบสมุดจักรพรรดิที่ใต้หลุมยักษ์นั้นตัวอักษรประหลาดมากมายได้พุ่งออกจากสมุดเล่มนั้น และหลั่งไหลเข้าไปในตำแหน่งดวงตาที่สามของเขา แล้วก็นิ่งเงียบไป..   ‘น่าสนใจ..นับวันยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ!’
  หลิงหยุนครุ่นคิดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ..
  แต่แล้วจู่ๆหลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าหน้าแรกของสมุดจักรพรรดินั้นได้ถูกเปิดออก ชายชราในภาพดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหว และกำลังทำท่าทางคล้ายกับกวักมือเรียกหลิงหยุน..
  พรึบ!!
  จากนั้นหลิวเทวะที่หลิงหยุนถืออยู่ในมือนั้นก็พุ่งออกจากฝ่ามือของตนเองไปลอยอยู่กลางอากาศ และต้นหลิวเทวะที่มีความสูงมากกว่าสี่ฟุต ก็ค่อยๆย่อขนาดลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงแสงสีเขียวขจี ก่อนจะพุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุนซึ่งเป็นที่อยู่ของสมุดจักรพรรดิในทันที!
  ‘นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน’
  หลิวเทวะมีความอัศจรรย์เช่นนี้หลิงหยุนจึงยังต้องการใช้ประโยชน์จากมันต่อ แต่กลับถูกสมุดจักรพรรดิยึดไปเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ร้องอุทานอยู่ในใจ..
  หลิงหยุนสัมผัสได้ว่า..พู่กันจักรพรรดิที่อยู่หว่างคิ้วของตนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วย เขาสังหรณ์ใจว่ามันเองก็กำลังจ้องมองสมุดจักรพรรดิด้วยความละโมบอยู่เช่นกัน!
  เมื่อถูกยึดของวิเศษล้ำค่าไปเช่นนั้นหลิงหยุนเองก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูสมุดจักรพรรดิต่อไป และพบว่าสมุดจักรพรรดิยังคงไม่ปิดลง ส่วนหลิวเทวะที่ถูกยึดไปนั้น ก็ดูคล้ายถูกนำไปปลูกลงบนสมุดจักรพรรดิที่อยู่ในจุดตันเถียนของตนเอง..
  หลิงหยุนนึกกังวลใจว่าหลิวเทวะอีกต้นจะถูกสมุดจักรพรรดิยึดไปเช่นกันแต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากได้หลิวเทวะไปหนึ่งต้น สมุดจักรพรรดิก็หยุดการเคลื่อนไหว และไม่สนใจหลิวเทวะที่เหลืออีกเลย..
  หลิงหยุนรีบใช้วิชาพลังลับหยิน–หยางหมุนจุดตันเถียนของตนเองทันที!
  “หลิงหยุน..หลิวเทวะในมือของเจ้าหายไปใหนเล่า”
  หลิงลี่ที่สามารถเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9ได้แล้ว ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นมา และพบว่าหลิวเทวะได้หายไปแล้ว… novel-lucky
  “ท่านปู่สั่งให้ข้าเป็นผู้เก็บรักษาไม่ใช่รึ”
  หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนทันทีความลับเรื่องพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดินั้น หลิงหยุนไม่ยอมแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้อีกแม้แต่หลิงลี่..
  “โอ้โห..ข้ารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวยิ่งนัก!”
  หลิงหย่งลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพร้อมกับร้องตะโกนออกมาและเขาก็สามารถพัฒนาถึงสู่ระดับกลางขั้นเซียงเทียน-3 ในขณะที่หลิงซิ่ว หลิงเฟิง และหลิงเลี่วยนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-3เช่นกัน..
  และเวลานี้..สมาชิกตระกูลหลิงทั้งหมดก็ได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันทุกคน!
  และด้วยพลังอำนาจของหลิวเทวะ..ทำให้ตระกูลหลิงคล้ายกับได้เกิดใหม่ และกำลังจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ  หลิงลี่กระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศก่อนจะร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคงเขากวาดสายตามองสมาชิกตระกูลหลิงทุกคนพร้อมกับประกาศก้องว่า
  “ตระกูลหลิงสามารถมีวันนี้ได้ก็เพราะบรรพชนปกปักษ์รักษา!ทุกคนตามข้าไปกราบไหว้บรรพชนตระกูลหลิงอีกครั้ง!”
  ……..
  หลิงลี่นำทุกคนเข้าไปกราบไหว้บรรพชนตระกูลหลิงอีกครั้งพร้อมกับประกาศต่อหน้าป้ายวิญญาณด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
  “ขอดวงวิญญาณของเหล่าบรรพชนตระกูลหลิงได้โปรดมองดูเวลานี้ลูกหลานตระกูลหลิงล้วนเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันถ้วนหน้าแล้ว!”
  จากนั้นหลิงลี่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งราวกระซิบ“บรรพชนทั้งหลาย.. เวลานี้มรดกตระกูลหลิงได้เริ่มแสดงบทบาทของตนเองแล้ว!”
  และเพราะมรดกตกทอดเช่นนี้เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายจึงได้สามารถยืนหยัดมาได้นานนับหลายร้อยปี และไม่ว่าจะผ่านคลื่นลมถาโถมให้ขึ้นลงมากเพียงใด ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอดมา!
  สายเลือดตระกูลหลิงไม่ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่นได้ใช้เลือดของตนเองรดหลิวเทวะ และถ่ายเทปราณเสวียนหวงให้ แต่ที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย
  แต่คืนนี้หลิวเทวะกลับตอบแทนคนตระกูลหลิงอย่างมหาศาลแม้ว่าหลิงหยุนจะเป็นผู้หยดเลือดเป็นคนสุดท้าย แต่หากไม่มีปราณเสวียนหวงที่คนตระกูลหลิงได้ถ่ายเทให้ก่อนหน้าแล้ว หลิวเทวะก็คงจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์เช่นนี้!
  สมาชิกตระกูลหลิงทุกคนต่างก็นิ่งฟังคำประกาศของของหลิงลี่ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง..
  “บรรพชนทั้งหลาย..นับแต่วันนี้ไปที่มรดกตระกูลหลิงได้ทำหน้าที่แล้ว จากนี้ไปตระกูลหลิงจะต้องมีแต่ความรุ่งเรืองอย่างที่คาดไม่ถึง..”
  จากนั้นดวงตาของหลิงลี่ก็เริ่มแดงก่ำในระหว่างที่พูดขึ้นว่า“พี่ใหญ่.. พี่รอง.. พี่สาม.. พี่ห้า และน้องหญิง..”
  “หลายปีที่ผ่านมา..เพื่อปกป้องตระกูลหลิง และลูกสามของข้า ทุกท่านได้ต่อสู้จนตัวตาย! ข้าหลิงลี่.. ขออภัยต่อดวงวิญญาณของพวกท่านทุกคนด้วย!”
  “หากไม่มีพวกท่าน..วันนี้ตระกูลหลิงคงไม่ได้ชื่นชมกับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้!” หลิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
  จากนั้นหลิงลี่ก็หันไปพูดกับหลิงเสี่ยวและหลิงหยุน“ลูกสาม.. หลิงหยุน.. พวกเจ้ามาคาราวะบรรพชนผู้เสียสละต่อสู้เพื่อปกป้องตระกูลหลิงอีกครั้ง!”
  หลิงเสี่ยวกับหลิงหยุนปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายในขณะเดียวกันหลิงเสี่ยวก็รำพึงรำพันออกมาพร้อมน้ำตา
  “ท่านลุงใหญ่..ท่านลุงสอง.. ท่านลุงสาม.. น้าหญิง.. หลิงเสี่ยวทำผิดใหญ่หลวงนัก ขอพวกท่านอภัยให้ข้าด้วยเถิด!”   หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า“ท่านพ่อ.. อย่าได้เสียใจไปเลย! ลูกสัญญาว่าจะค้นหาศัตรูที่แท้จริงให้พบ และสังหารพวกมันแก้แค้นให้กับบรรพชน!”
  “เลือดตระกูลหลิงต้องไม่สูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์แน่!”
  หลิงลี่โน้มตัวลงพยุงร่างของหลิงเสี่ยวให้ลุกขึ้นพร้อมกับประกาศกร้าว่า “หลิงหยุนพูดได้ถูกต้อง! พวกเราจะแก้แค้นให้กับเหล่าบรรพชนด้วยกัน!”
  “ล้างแค้น!ล้างแค้น!”
  เสียงร้องตะโกนอย่างฮึกเหิมของเหล่าทายาทตระกูลหลิงรุ่นเล็กดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ..
  หลิงลี่หันไปทางทายาทรุ่นเล็กพร้อมกับยกมือขึ้นห้ามให้ทุกคนอยู่ในความสงบแล้วจึงพูดขึ้นว่า
  “คืนนี้พวกเจ้าทุกคนนับว่าได้เกิดใหม่และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมาก! แม้กระทั่งหลิงซวี่ยังสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-1 ตระกูลหลิงสามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้เช่นนี้ นับว่าเป็นความต้องการของสวรรค์โดยแท้!”
  “แต่พวกเจ้าห้ามใช้วิชาของตนเองไปรังแกผู้อื่นหรือสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลิงโดยเด็ดขาด..”
  “และห้ามไม่ให้พี่น้องตระกูลหลิงต่อสู้กันเองโดยเด็ดขาด!”
  “ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของตระกูลใหญ่ที่พี่น้องจะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเองแต่ตระกูลหลิงจะต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และหากผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ก็ต้องถูกลงโทษตามกฏตระกูลหลิง ถึงตอนนั้นอย่าได้หาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
  น้ำเสียงของหลิงลี่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจแสดงให้เห็นถึงบารมีของอดีตผู้นำตระกูลหลิง..
  หลังจากที่พูดจบแล้ว..ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ สายตาของหลิงลี่ก็ไปจับจ้องอยู่ที่หลิงเจิ้นกับหลิงห่าว..  จากนั้นหลิงเจิ้นจึงได้แต่พูดขึ้นว่า“ท่านพ่อ.. หากผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ข้าในฐานะผู้นำตระกูลและผู้รักษากฏ จะเป็นผู้ลงโทษคนผู้นั้นด้วยตัวเอง ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย!”
  หลิงห่าวที่ได้ฟังคำประกาศกร้าวของหลิงหลี่ก็ถึงกับตกใจจนสั่นเพราะรู้สึกราวกับว่าหลิงลี่จงใจพูดกับตัวเองโดยตรง
  หลิงเย่วเองก็พูดขึ้นว่า“ท่านพ่อ.. ลูกจะทำตามคำสั่งสอนของท่านพ่อ และอบรมเด็กๆเช่นเดียวกัน..”
  หลิงเสี่ยวจึงเสริมต่อว่า“ท่านพ่อ.. ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ลูกหลานตระกูลหลิงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่!”
  หลิงลี่มองหลิงเสี่ยวพร้อมกับแอบถอนใจอยู่ข้างใน..
  “ถ้าไม่ก็ดีไป..แต่หากใครคิดที่จะทำ ข้าก็ของเตือนไว้ก่อน!”
  “เอาล่ะ..นี่ก็ดึกมากแล้ว เข้าไปในบ้านก่อน ข้ามีบางเรื่องที่จะพูดกับทุกคน!”