ตอนที่ 57 สำคัญกว่าข้า

จารใจรัก

หลังฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาย่างเท้าเข้าสู่เมืองหลวงหนานฉินก็มีคนตามมาหาถึงจวนทันที 

 

 

           คนแรกคือหลานชายหมอหลวงซุน คนที่สองคือบุตรชายใต้เท้าหาน คนที่สามคือหย่งคังโหว 

 

 

           ทั้งสามบังเอิญพบกันที่หน้าประตูจวนจงหย่งโหว ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่หลานชายหมอหลวงซุนเป็นผู้ออกไปเคาะประตู 

 

 

           คนเฝ้าประตูชะโงกหน้ามามอง ครั้นแล้วก็แปลกใจยิ่ง 

 

 

           “ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกลับถึงจวนแล้ว ข้าอยากพบพวกเขา” หลานชายหมอหลวงซุนรีบเอ่ยขึ้น  

 

 

           “ข้าก็มาเพื่อพบท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยเช่นกัน” บุตรชายใต้เท้าหานก็เอ่ยขึ้น 

 

 

           “ข้าก็ด้วย” หย่งคังโหวพยักหน้า 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยเพิ่งกลับมาไม่นาน พอก้าวเท้าเข้าไปในจวน พระชายาน้อยก็หมดสติ ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว เกรงว่าท่านอ๋องน้อยคงไม่ว่างพบทั้งสามท่าน” คนเฝ้าประตูได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความลังเล  

 

 

           ทั้งสามมึนงง 

 

 

           “พระชายาน้อยหมดสติ เพราะเหตุใด” หย่งคังโหวรีบถาม 

 

 

           “เมื่อครู่เชิญหมอหลวงมาตรวจแล้ว ข้าน้อยเองก็มิทราบ รู้แค่ตอนหมอหลวงกลับไปนั้นเอาแต่ส่ายหน้าพัลวัน ตอนนี้ในจวนต่างตกอยู่ในความกลัดกลุ้ม ท่านอ๋องน้อย โหวเหยผู้เฒ่า และนายท่านต่างกังวลอย่างยิ่ง” คนเฝ้าประตูตอบ 

 

 

           “พระชายาน้อยได้รับบาดเจ็บนอกเมืองหรือ” หย่งคังโหวตกใจ 

 

 

           “ข้าน้อยมิทราบ” คนเฝ้าประตูส่ายหน้า 

 

 

           “นี่…” หย่งคังโหวหันไปมองบุตรชายใต้เท้าหาน 

 

 

           บุตรชายใต้เท้าหานไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “บอกคุณชายหลินซีให้ออกมาพบได้หรือไม่” 

 

 

           “ข้าน้อยจะไปบอกประเดี๋ยวนี้” คนเฝ้าประตูรีบวิ่งหายไป 

 

 

           “คุณชายหานมาพบท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยครั้งนี้ด้วยเรื่องคดีใต้เท้าหานถูกสังหารหรือ” หย่งคังโหวถาม 

 

 

           “ถูกต้อง” คุณชายหานพยักหน้า “ท่านพ่อมิอาจถูกสังหารอย่างมีเงื่อนงำเช่นนี้ได้ ท่านอ๋องน้อยมีอำนาจสืบคดีนี้ทั้งหมด ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยออกจากเมืองด้วยเรื่องพระชายาน้อยและเพิ่งกลับมาเมื่อครู่ จึงได้แต่รีบมาหา มิฉะนั้นอากาศร้อนถึงเพียงนี้ ถ้าศพท่านพ่อไม่เย็น แล้วจะประกอบพิธีฝังศพได้อย่างไร” 

 

 

           “น่าเสียดายขุนนางผู้มีความยุติธรรมในราชสำนักท่านนี้ ขุนนางที่ดีแบบใต้เท้าหานมีน้อยมาก” หย่งคังโหวพยักหน้าก่อนถอนหายใจออกมา  

 

 

           “ไม่รู้ว่าใครช่างขาดสามัญสำนึก แม้ท่านพ่อซื่อตรง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด มีเหตุผลใดต้องสังหารท่านพ่อเช่นนี้ด้วย” คุณชายหานนัยน์ตาแดงก่ำ  

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยแม้มีนิสัยแปรปรวนแต่ก็ไม่ยอมใคร จะต้องสืบหาความจริงได้เป็นแน่ เพื่อคืนความยุติธรรมแก่ใต้เท้าหาน” หย่งคังโหวบีบไหล่ให้กำลังใจ  

 

 

           คุณชายหานพยักหน้า “แล้วท่านโหวมาหาท่านอ๋องน้อยด้วยเรื่องใด” 

 

 

           “ข้ามาเพื่อขอให้พระชายาน้อยไปดูอาการบาดเจ็บให้เยี่ยนหลัน แต่ในเมื่อตอนนี้พระชายาน้อยบาดเจ็บและหมดสติไป เกรงว่าไม่อาจรบกวนนางได้แล้ว” หย่งคังโหวถอนหายใจออกมา  

 

 

           “วิชาแพทย์ของพระชายาน้อยยอดเยี่ยมจริงหรือ” คุณชายหานถาม 

 

 

           “แน่นอน ฮูหยินข้าก้าวขาข้างหนึ่งผ่านประตูผี แต่ก็ถูกพระชายาน้อยลากกลับมาได้” หย่งคังโหวตอบ 

 

 

           “ตั้งแต่ท่านพ่อตายท่านแม่ก็กินอาหารไม่ได้เลย สลบไปหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลเสียต่อร่างกาย…” คุณชายหานถอนหายใจออกมา “หมอหลวงเขียนใบสั่งยาให้หลายครั้ง กลับไม่เป็นผล” 

 

 

           “รอพระชายาน้อยดีขึ้น ค่อยเชิญนางไปตรวจดูเถอะ” หย่งคังโหวบอก 

 

 

           คุณชายหานพยักหน้า 

 

 

           ซุนจั๋วหลานหมอหลวงซุนฟังทั้งสองคุยกันอยู่ด้านข้างโดยไม่เอ่ยแทรกขึ้น ยืนนิ่งด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ 

 

 

           “ซุนจั๋ว ท่านอ๋องน้อยสืบคดีหมอหลวงซุนกระจ่างแล้ว วันนี้เจ้ามาหาท่านอ๋องน้อยด้วยเรื่องใด” หย่งคังโหวเอ่ยถามขึ้น 

 

 

           “ข้าคิดว่าการตายของท่านปู่จะง่ายดายเช่นนั้นหรือ” ซุนจั๋วเม้มปาก 

 

 

           “อ้อ?” หย่งคังโหวกับคุณชายหานมองเขาพร้อมกัน 

 

 

           “เอ้อร์เหนียงขี้ขลาด แม้ถูกท่านปู่จับได้ว่านางลักลอบคบชู้กับคนติดตาม แต่เห็นแก่ที่นางเป็นหม้ายอ้างว้างมาหลายปีก็คงไม่ส่งตัวนางให้ทางการเป็นแน่ อย่างมากก็แค่ลงโทษตามกฎของตระกูล อย่างไรก็ไม่ถึงกับเอาชีวิตเอ้อร์เหนียงโดยเด็ดขาด แท้จริงแล้วเอ้อร์เหนียงก็กตัญญูต่อท่านปู่มาก มักเชื่อฟังท่านปู่เสมอ ข้าจึงคิดว่านางไม่น่าจะเป็นผู้บงการให้คนติดตามลงมือสังหาร นางมิได้กล้าหาญขนาดนั้น และเห็นแก่ท่านปู่ที่ดีกับนางตลอดมาก็คงไม่ลงมือสังหารท่านปู่ด้วยจิตใจโหดเ**้ยมเช่นนี้” ซุนจั๋วลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

           “มนุษย์เรารู้หน้าไม่รู้ใจ เรื่องนี้พูดยาก” หย่งคังโหวบอก 

 

 

           “ถูกต้อง สตรีมักมีใจคอโหดเ**้ยม” คุณชายหานเสริมขึ้น 

 

 

           “ข้าคิดว่าท่านปู่มิได้ถูกเอ้อร์เหนียงสังหาร ท่านแม่ก็คิดเหมือนข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงมาหาท่านอ๋องน้อย ขอให้เขาตรวจสอบต่อไป” ซุนจั๋วส่ายหน้า  

 

 

           หย่งคังโหวกับคุณชายหานเห็นว่าเขาอายุยังน้อย ทว่าพูดจาได้อย่างมีลำดับขั้นตอนชัดเจน ชั่วเวลานั้นจึงนับถือหลานชายหมอหลวงซุนผู้นี้อยู่บ้าง 

 

 

           ไม่นานเซี่ยหลินซีก็เดินมาจากในจวนด้วยความรีบร้อน 

 

 

           “พี่หลินซี” คุณชายหานเห็นเซี่ยหลินซีก็รีบส่งเสียงเรียก  

 

 

           ต่างเติบโตมาในเมืองหลวงตั้งแต่เด็กจึงคุ้นเคยกันดี  

 

 

           “น้องหาน” เซี่ยหลินซีเป็นกันเองตอบ ทั้งประสานมือคำนับหย่งคังโหว “ท่านโหว” จากนั้นก็มองไปยังซุนจั๋ว “นายน้อยซุน” 

 

 

           หลังทักทายกันจบลงก็เชิญทั้งสามเข้าไปนั่งคุยข้างใน 

 

 

           คุณชายหานส่ายหน้า บอกจุดประสงค์ในการมาชัดเจน 

 

 

           เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนั้นก็ลำบากใจเล็กน้อย บอกตามความจริง “น้องฟางหวาเพิ่งผ่านผ่านประตูจวนมาก็หมดสติ จนตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว ท่านอ๋องน้อยดูแลนางอยู่ ตอนนี้เกรงว่าไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องอื่น” 

 

 

           “พระชายาน้อยจะฟื้นเมื่อไร” คุณชายหานถาม 

 

 

           “บอกไม่ได้” เซี่ยหลินซีตอบ 

 

 

           “พี่หลินซี ท่านก็รู้ว่าตอนนี้อากาศร้อนมาก ถึงแม้นำน้ำแข็งมาแช่ศพก็อยู่ได้ไม่นานนัก ถ้าศพบิดาข้าไม่เย็นแล้วจะประกอบพิธีฝังศพได้อย่างไร” ใบหน้าคุณชายหานเต็มไปด้วยความกังวล  

 

 

           “เอาอย่างนี้เถิด ทั้งสามท่านเข้ามาข้างในก่อน ข้าจะไปหาท่านอ๋องน้อยแล้วคุยเรื่องนี้กับเขา ดูว่าท่านอ๋องน้อยคิดเช่นไร” เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนี้ก็เห็นใจอย่างยิ่ง  

 

 

           “ขอบคุณพี่หลินซีมาก” คุณชายหานประสานมือขอบคุณ 

 

 

           “ข้ามาเพื่อเชิญพระชายาน้อย เรื่องของข้าไม่ต้องบอกกับท่านอ๋องน้อยหรอก แต่ในเมื่อมาถึงแล้วก็เข้าไปเยี่ยมเยียนโหวเหยผู้เฒ่าสักหน่อย ได้ยินว่าโหวเหยผู้เฒ่าตากลมหนาว ตอนนี้หายดีหรือยัง” หย่งคังโหวยกมือปฏิเสธ  

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่าหายดีแล้ว” เซี่ยหลินซีผายมือเชิญเข้ามาข้างใน 

 

 

           ทั้งสามเข้าไปในจวนด้วยกัน 

 

 

           เซี่ยหลินซีเชิญทุกคนไปยังห้องรับแขกส่วนหน้าก่อน หลังสั่งงานสาวใช้ให้นำน้ำชาและของว่างมาต้อนรับแล้วก็ปลีกตัวไปยังสวนไห่ถังด้วยตัวเอง 

 

 

           ในสวนไห่ถัง เมื่อฉินเจิงป้อนยาให้เซี่ยฟางหวาเสร็จแล้วก็นั่งพิงข้างกายนาง เขาหลับตาลง ใต้แพขนตายาวปรากฏร่องรอยดำคล้ำ 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน ไม่รบกวนทั้งคู่ ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน 

 

 

           เซี่ยหลินซีเข้ามาในสวนไห่ถังก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงัด เขาลังเลชั่วครู่ แต่ยังเดินหน้าเข้าไปข้างใน 

 

 

           ซื่อฮว่าสะดุ้งตกใจ นางชะโงกศีรษะออกมาจากห้องแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณชายหลินซี ท่านมีธุระใดหรือ” 

 

 

           “ข้ามาหาท่านอ๋องน้อย มีธุระนิดหน่อย” เซี่ยหลินซีคุมน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอ๋องน้อยเล่า” 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อยเหนื่อยมากแล้ว น่าจะกำลังพักผ่อนและเฝ้าคุณหนูอยู่” ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา “หากเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้บ่าวไปบอกหรือไม่” 

 

 

           “คุณชายหานมาด้วยเรื่องใต้เท้าหาน อากาศร้อนเกินไป แต่คดีใต้เท้าหานยังตรวจสอบไม่กระจ่าง ถ้าศพไม่เย็นก็ประกอบพิธีฝังศพไม่ได้ คุณชายหานร้อนใจจึงหามาท่านอ๋องน้อย คนตายเป็นเรื่องใหญ่ บิดาเสียชีวิตบุตรก็กตัญญู ข้าไม่กล้าบอกปัดโดยตรงจึงได้แต่มาหาท่านอ๋องน้อย” เซี่ยหลินซีพยักหน้า  

 

 

           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บ่าวจะไปรายงานให้” ซื่อฮว่ารีบบอก 

 

 

           เซี่ยหลินซีผงกศีรษะ 

 

 

           ซื่อฮว่าเดินมาที่หน้าประตู ก่อนตะโกนเรียกเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อย” 

 

 

           ฉินเจิงยังไม่หลับจึงได้ยินทั้งสองพูดคุยกันชัดเจน เขาลืมตามองไปยังข้างนอก ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “ให้พี่หลินซีกลับไปบอกหานมู่ว่า ให้เขาหาฤกษ์จัดพิธีฝังศพใต้เท้าหานได้เลย คดีใต้เท้าหานพัวพันกันอย่างใหญ่หลวง ไม่อาจตรวจสอบให้กระจ่างแล้วคลี่คลายได้ในเวลาอันสั้น แต่ข้าจะต้องหาความจริงให้จงได้ เพื่อปลอบขวัญวิญญาณใต้เท้าหานที่สถิตบนสรวงสวรรค์” 

 

 

           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบพยักหน้า 

 

 

           “ยังมีซุนจั๋วหลานชายหมอหลวงซุน เขาบอกว่าคดีหมอหลวงซุนยังมีข้อสงสัย เอ้อร์เหนียงของเขาไม่น่าจะเป็นผู้ลงมือสังหารหมอหลวงซุน” เซี่ยหลินซีมายังหน้าประตูแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

           “คดีหมอหลวงซุนยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ตอนนี้เป็นเพียงการอนุมานเบื้องต้น ยังไม่ปิดคดีอย่างเป็นทางการ ขอให้เขาสบายใจได้” ฉินเจิงตอบอีก 

 

 

           “ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ถ้าน้องฟางหวาฟื้นแล้วก็ส่งคนไปบอกด้วย ข้าจะได้นำไปบอกผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน” เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะ  

 

 

           ฉินเจิงตอบ “อืม” 

 

 

           เซี่ยหลินซีออกจากสวนไห่ถัง 

 

 

           คุณชายหานได้ยินถ้อยคำจากฉินเจิงก็รีบกลับจวนไปเตรียมงานศพใต้เท้าหาน 

 

 

           ซุนจั๋วได้ยินถ้อยคำจากฉินเจิงก็ขอตัวกลับจากไล่หลังไป 

 

 

           หย่งคังโหวนั่งพูดคุยกับโหวเหยผู้เฒ่าที่ห้องโถงหรงฝูพักหนึ่ง ก่อนขอตัวกลับจวนหย่งคังโหวเช่นกัน 

 

 

           หลังเขากลับไปแล้ว ชุยอวิ่นก็กล่าวกับโหวเหยผู้เฒ่า “น่าแปลก ไปด้วยกันสามคนแท้ๆ เหตุใดองค์หญิงใหญ่กับท่านหญิงจินเยี่ยนถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เยี่ยนหลันจากจวนหย่งคังโหวกลับได้รับบาดเจ็บแทน” 

 

 

           “เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นเช่นไรใครจะรู้เล่า” จงหย่งโหวส่ายหน้า 

 

 

           “หลี่อวิ๋นแม้เป็นคนตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น แต่สนิทสนมกับจวนหย่งคังโหวและค่ายใหญ่เขาตะวันตก ผู้อยู่เบื้องหลังจึงใช้เขาเป็นเครื่องมือ ตอนนี้หลี่อวิ๋นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เยี่ยนหลันกลับบาดเจ็บสาหัส จวนหย่งคังโหวมีสิ่งใดที่ทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังเกิดแรงจูงใจคิดลงมือด้วยกันแน่” ชุยอวิ่นกล่าวอีก 

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งต้องกระจ่างแน่ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ใครจะอยู่ใครจะตายนั้นตอบยาก” จงหย่งโหวแค่นเสียงในลำคอ  

 

 

           “เหตุใดโหวเหยผู้เฒ่าถึงกล่าวเช่นนี้” ชุยอวิ่นตกใจ 

 

 

           “ข้ามีชีวิตอยู่มานาน อวดตนว่าผ่านคลื่นลมมามากน้อย แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะอ่านสถานการณ์ทั้งในและนอกเมืองไม่ออกแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งพร่ามัว ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองหนานฉินจะสงบสุข มิฉะนั้นไพร่ฟ้าประชาชนต้องประสบกับความทุกข์ยาก” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมา  

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่ามีใจเมตตานัก” ชุยอวิ่นถอนหายใจตาม 

 

 

           เช้าวันถัดมา อู๋เฉวียนมาที่จวนจงหย่งโหวพร้อมด้วยพระบัญชาของฝ่าบาท เชิญฉินเจิงเข้าวัง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดสติไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน จนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น ทันทีที่เซี่ยหลินซีนำข่าวมาบอกที่สวนไห่ถังว่าฝ่าบาททรงเรียกฉินเจิงเข้าวัง ฉินเจิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ได้บอกหรือไม่ว่าเรื่องใด” 

 

 

           “อู๋กงกงไม่ได้บอก” เซี่ยหลินซีส่ายหน้า 

 

 

           ฉินเจิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เซี่ยฟางหวายังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขาส่ายหน้าตอบ “ตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังไม่ฟื้น บอกอู๋กงกงว่าเมื่อนางฟื้นแล้ว ข้าค่อยเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จอาเอง” 

 

 

           เซี่ยหลินซีพยักหน้าก่อนเดินออกไป 

 

 

           หลังเขาออกไปแล้ว ฉินเจิงก็เอนกายพิงหัวเตียงด้วยความอ่อนล้า ก่อนกุมมือเซี่ยฟางหวาแล้วขยับเข้าไปจุมพิตนางแผ่วเบา “เซี่ยฟางหวา เจ้าฟื้นได้แล้ว อย่านอนต่อไปอีกเลย มีเรื่องกังวลใจอันใดที่สำคัญกว่าข้าอีกหรือ ถ้าเจ้ายังไม่ฟื้นอีกข้าก็จะไม่ดื่มยาแล้ว ยารสขมที่เจ้าเขียนให้นั้นดื่มยากโดยแท้”