ตอนที่ 58 ข้าอยู่ตรงนี้

จารใจรัก

เซี่ยหลินซีได้ยินฉินเจิงบอกเช่นนั้นก็กลับไปบอกอู๋เฉวียนที่หน้าประตูจวน 

 

 

           หลังอู๋เฉวียนทราบข่าวก็ทำหน้าสลด “อาการป่วยของพระชายาน้อยร้ายแรงมากหรือ” 

 

 

           “ตั้งแต่มาที่จวนเมื่อวานก็หมดสติตลอดมา จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย หมอหลวงมาตรวจดูแล้วบอกว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก จำต้องบำรุงร่างกายให้ดี” เซี่ยหลินซีพยักหน้า  

 

 

           “แต่ฝ่าบาททรงตรัสว่าต้องเชิญท่านอ๋องน้อยเข้าวังหลวงให้ได้ มีเรื่องต้องหารือร่วมกัน” อู๋เฉวียนลังเล  

 

 

           “ถ้ามิอย่างนั้นข้าจะนำทางอู๋กงกงไปยังสวนไห่ถังด้วยตัวเอง แต่ตราบใดที่น้องฟางหวายังไม่ฟื้น เกรงว่าท่านอ๋องน้อยคงไม่ละเลยนางเช่นกัน คงไม่เข้าวังไปกับท่านหรอก” เซี่ยหลินซีถอนหายใจออกมา  

 

 

           อู๋เฉวียนครุ่นคิด “ก็จริง” หยุดชั่วครู่แล้วมองเข้าไปในจวน “เช่นนี้เถิด ข้าจะกลับไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อน ได้ความเช่นไรค่อยว่ากัน” 

 

 

           เซี่ยหลินซีประสานมือคำนับส่งเขากลับวังหลวง 

 

 

           เมื่ออู๋เฉวียนขึ้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนจงหย่งโหว มุ่งหน้ากลับวังหลวงทันที 

 

 

           เซี่ยหลินซีเห็นอู๋เฉวียนห่างไปไกลแล้วก็หันหลังกลับเข้าจวน สั่งคนปิดประตูจวนไม่ต้อนรับแขก 

 

 

           เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็มีคนมาส่งข่าวบอกว่าฝ่าบาทเสด็จออกจากวังหลวง ขบวนราชรถกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนจงหย่งโหว 

 

 

           เซี่ยหลินซีไปรายงานจงหย่งโหวทันที 

 

 

           ชุยอวิ่นอยู่ที่ห้องโถงหรงฝูด้วย ได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ “ฝ่าบาททรงประชวรมาสองเดือนเศษแล้ว ทรงประทับรักษาตัวอยู่ในวังหลวงตลอดเวลา วันนี้เหตุใดจู่ๆ ถึงเสด็จมายังจวนจงหย่งโหว” 

 

 

           “ก่อนหน้านี้อู๋กงกงมาเชิญท่านอ๋องน้อยด้วยพระบัญชาของฝ่าบาท แต่ท่านอ๋องน้อยไม่ได้เข้าวังเพราะน้องฟางหวา” เซี่ยหลินซีคาดเดา “บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงมาหาท่านอ๋องน้อยด้วยพระองค์เอง” 

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้าแล้วยกมือสั่งงาน “เราก็เตรียมตัวออกไปรับเสด็จเถอะ ถึงแม้มาหาเจ้าเจิง แต่ก็มาที่จวนจงหย่งโหวเช่นกัน ไม่อาจขาดตกบกพร่องเรื่องพิธีการขุนนางได้” 

 

 

           ชุยอวิ่นผงกศีรษะ 

 

 

           จริงดังคาด ครู่ต่อมาก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างนอก “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว” 

 

 

           จงหย่งโหว ชุยอวิ่น เซี่ยหลินซี รวมถึงทาสรับใช้ในจวนเร่งเปิดประตูใหญ่เพื่อออกไปรับเสด็จ 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ไม่เป็นทางการ หลังเสด็จลงจากราชรถก็ยกพระหัตถ์ปรามจงหย่งโหว “โหวเหยผู้เฒ่าตามสบาย ขุนนางชุยตามสบาย” 

 

 

           จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นคำนับขอบคุณแล้วยืดตัวขึ้น 

 

 

           “เจ้าคือเซี่ยหลินซีจากเรือนใหญ่รึ” ฮ่องเต้ปรายพระเนตรไปยังเซี่ยหลินซี 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้าทูลตอบ  

 

 

           “รัชทายาทละเว้นให้เจ้าอยู่ในเมือง ตอนรายงานกับเราบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ครบถ้วนทั้งบุ๋นบู๊ ตอนนี้อยู่ที่จวนจงหย่งโหวคอยต้อนรับแขกผู้มาเยือน ทำงานจุกจิกทุกวัน มิใช่ว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองเขาพักหนึ่งแล้วตรัสขึ้น  

 

 

           “รัชทายาททรงยกยอเกินไปแล้ว หลินซีมิได้มีพรสวรรค์อันใด ความสามารถบางอย่างยังด้อยกว่าผู้อื่นนัก” เซี่ยหลินซีรีบตอบ 

 

 

           “เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวหรอก ก่อนเรือนใหญ่ย้ายออกจากเมืองหลวง เราก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความสามารถของเจ้ามาบ้างเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัส “รัชทายาทออกไปขุดลองคูคลอง ในราชสำนักจึงเหลือเพียงองค์ชายแปดคนเดียว องค์ชายแปดยังเด็ก หลายเรื่องยังต้องมีเราตัดสินใจแทน ช่วงนี้เราร่างกายไม่แข็งแรง ข้างกายจำต้องมีผู้ช่วยดูแลเอกสารข้อราชการของเหล่าขุนนาง เช่นนี้แล้วกัน นับต่อวันนี้เป็นต้นไป เจ้ามาติดตามเราเถอะ” 

 

 

           “กระหม่อมมิได้มีความสามารถมากนัก ทำประโยชน์ใดมิได้ มิกล้าสอนหนังสือให้สังฆราช*[1]ต่อหน้าฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีสะดุ้งโหยง รีบทูลกล่าวด้วยความหวาดกลัว  

 

 

           ฮ่องเต้ทรงอุทาน “โอ้” ขึ้นก่อนมีพระพักตร์นิ่งขรึม “เจ้าไม่เต็มใจรึ” 

 

 

           เซี่ยหลินซีเงยหน้ามองจงหย่งโหว 

 

 

           จงหย่งโหวไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป และไม่ได้ให้คำชี้แนะ 

 

 

           “ทูลฝ่าบาท ชีวิตอันต้อยต่ำของกระหม่อมได้รัชทายาทเป็นผู้ให้โอกาส รัชทายาททรงมอบกระหม่อมให้คุณหนูฟางหวาแล้ว คุณหนูฟางหวาให้กระหม่อมอยู่ดูแลงานธุรการในจวนหลังนี้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้าลงก่อนทูลกล่าวเสียงทุ้ม 

 

 

           “เจ้าหมายความว่า ถึงเราต้องการตัวเจ้าก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากเซี่ยฟางหวาก่อนรึ” ฮ่องเต้มีพระพักตร์เคร่งขรึมทันที 

 

 

           เซี่ยหลินซีก้มหน้าลง ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ 

 

 

           “ใต้หล้ามิมีที่ใดมิใช่ผืนดินของจักรพรรดิ ตำแหน่งในแต่ละพื้นที่มิมีที่ใดมิใช่ขุนนางของจักรพรรดิ ถ้าเราต้องการใครแล้ว บนผืนแผ่นดินหนานฉินแห่งนี้ยังมีใครไม่เห็นเราอยู่ในสายตาบ้าง เซี่ยหลินซี เจ้าหลอกลวงเรา ดูถูกว่าเราเอาตัวเจ้าไปไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงในลำพระศอ  

 

 

           “ปัญญาชนไม่เหมือนกับทาสรับใช้ ตระกูลเซี่ยครอบครัวนี้แม้ได้รับการลดโทษ แต่ก็ยังมีสายเลือดตระกูลใหญ่ไหลเวียนอยู่ หลินซีได้อ่านตำรานักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมมาตั้งแต่เด็ก ได้ศึกษาหลักขงจื๊อและเมิ่งจื๊อ ปฏิบัติตามสามหลักห้าจรรยา**[2]อย่างซื่อตรง ผู้เป็นจักรพรรดิแม้กุมอำนาจการเกิด การสังหาร การให้ และการแย่งชิง แต่ก็มิอาจบัญชาการทหารเกราะดาบตามใจชอบได้ กระหม่อมแม้พ้นจากการเป็นนักโทษแล้ว แต่ก็มีจิตใจอันซื่อตรง ยามนี้ในเมื่อรัชทายาททรงมอบกระหม่อมให้คุณหนูฟางหวา ย่อมต้องฟังคำสั่งจากนาง หากนางยินยอม กระหม่อมย่อมถวายงานรับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีกัดริมฝีปาก ก่อนทูลกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด  

 

 

           “นี่เจ้ากำลังบอกว่าเราหาเรื่องทะเลาะอย่างไรเหตุผลรึ” ฮ่องเต้ทรงสะบัดแขนเสื้อ  

 

 

           “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้า 

 

 

           จงหย่งโหวเห็นว่าฮ่องเต้มีพระพักตร์เคร่งขรึม เวลานี้ก็กระแอมขึ้นแล้วก้าวออกมากั้นเซี่ยหลินซีไว้ข้างหลัง ก่อนทูลถามขึ้น “มิทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ มีธุระใดหรือ” 

 

 

           “ได้ยินว่าหวาเอ๋อร์ออกจากเมืองแล้วเกิดเรื่องขึ้นที่อารามลี่อวิ๋น เราจึงตั้งใจมาเยี่ยม” ฮ่องเต้ทรงมองเขาแวบหนึ่งแล้วตรัสเสียงเข้ม  

 

 

           “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง ตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังมิได้สติเลยพ่ะย่ะค่ะ” จงหย่งโหวกล่าวขอบคุณ 

 

 

           “นำทางเถอะ เราจะไปดูนาง” ฮ่องเต้ตรัส 

 

 

           ชุยอวิ่นรีบทูลเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หวาเอ๋อร์หมดสติอยู่ มิอาจออกมารับเสด็จด้วยได้ ท่านทรงเป็นพระวรกายอันล้ำค่าในฐานะโอรสสวรรค์ หรือว่า…” 

 

 

           “ไม่ต้องพูดมากความแล้ว เราจะไปดู” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ แสดงท่าทีให้นำทาง 

 

 

           ชุยอวิ่นมองไปยังจงหย่งโหว 

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้าให้ ก่อนนำทางฮ่องเต้ไปยังสวนไห่ถัง 

 

 

           ทหารกองเกียรติยศของฮ่องเต้ยกขบวนเข้ามาในจวนอย่างอึกทึกครึกโครม มุ่งหน้าไปยังสวนไห่ถัง 

 

 

           ภายในสวนไห่ถัง ฉินเจิงทราบข่าวก่อนแล้ว เขาลงจากเตียงด้วยสีหน้าไม่น่ามอง จัดเสื้อผ้าที่ยับยู่เล็กน้อยจากการถูกกดทับแล้วออกมาจากห้องชั้นใน 

 

 

           ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จมาถึงสวนไห่ถัง 

 

 

           ฉินเจิงเปิดประตูยืนรอ เมื่อเห็นฮ่องเต้เสด็จเข้ามาโดยมีจงหย่งโหวติดตามมาด้วยก็เลิกคิ้ว “เสด็จอาทรงแข็งแรงดีแล้วหรือ ไฉนถึงไม่ประทับที่วังหลวง ทรงมาเดินเล่นที่จวนจงหย่งโหวหรือ” 

 

 

           ฮ่องเต้พบว่าเสื้อผ้าเขาไม่เรียบร้อย ใบหน้าปรากฏร่องรอยอ่อนล้าอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ สีหน้าค่อนข้างซึมเซาไร้ชีวิตชีวา แม้ยังคงพูดจาไม่เอาจริงเอาจังต่อหน้าพระองค์เหมือนเช่นเคย ทว่าเห็นได้ชัดว่าคร้านจะตอบโต้ด้วย พระองค์แค่นเสียงแผ่วเบา “เราส่งคนมาเชิญเจ้า แต่เจ้าไม่ไป เราก็เลยมาดูว่าหวาเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไรกันแน่ เจ้าถึงกับต้องคอยเฝ้าข้างเตียงไม่ยอมห่าง” 

 

 

           “เช่นนั้นท่านก็เข้าไปดูเถิด” ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็หลีกทางให้ 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงมองเขาด้วยความสงสัย ทว่าก็ทรงเดินเข้าไปในห้องตามคำชวน 

 

 

           เมื่อมาถึงห้องชั้นในแล้วแหวกม่านออก เซี่ยฟางหวากำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวเด่นชัดอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งประกายมันวาว 

 

 

           “ฟังว่าหมอหลวงมาตรวจดูแล้ว ป่วยเป็นโรคใด” ฮ่องเต้ทรงเดินมายังหน้าเตียง มองพักหนึ่งก่อนขมวดพระขนงใส่ฉินเจิง  

 

 

           “สภาพจิตใจเหนื่อยล้าจนส่งผลกระทบกับอวัยวะภายใน เป็นกังวลมากเกินเหตุ” ฉินเจิงตอบ “จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง หลายวันนี้ได้รับความตระหนกตกใจติดต่อกันจึงหมดสติไป” 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงเงียบลงพักหนึ่งก่อนตรัสขึ้น “ได้ยินว่าดอกไห่ถังในศาลาไห่ถังแห่งจวนจงหย่งโหวสวยงามอย่างยิ่ง สร้างทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมให้จวนหลังนี้ เจ้าไปชมกับเราหน่อย” 

 

 

           ฉินเจิงยืนนิ่ง 

 

 

           “อย่าบอกเราว่ากว่าจะได้แต่งภรรยาไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าจึงไม่กล้าละสายตาแม้แต่ครู่เดียว” ฮ่องเต้มี 

 

 

พระพักตร์เคร่งขรึมทันที 

 

 

           “เสด็จอาตรัสว่าแค่ครู่เดียวก็ครู่เดียว อย่านานจนเกินไป” ฉินเจิงหันหลังเดินออกไป 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงในลำพระศอก่อนตามเขาออกไป ขณะเดียวกันก็ตรัสกับจงหย่งโหว “โหวเหยผู้เฒ่าไม่ต้องตามเราไปหรอก เจ้าอายุมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เราเองก็ไม่ใช่คนนอกอันใด” 

 

 

           จงหย่งโหวยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

           ฉินเจิงกับฮ่องเต้ไปยังศาลาไห่ถังด้านหลังด้วยกัน 

 

 

           ชุยอวิ่นรอจนฮ่องเต้กับฉินเจิงหายไปหลังบานประตูแล้วก็มองไปยังจงหย่งโหว 

 

 

           จงหย่งโหวบอกให้เขาเข้าไปในห้อง ทั้งสองเข้ามาดูอาการเซี่ยฟางหวาพักหนึ่ง ก่อนออกมาพร้อมกัน 

 

 

           เวลาหนึ่งถ้วยชาถัดมา ฮ่องเต้กับฉินเจิงก็ออกมาจากสวนไห่ถังด้วยกัน 

 

 

           ฮ่องเต้มีพระพักตร์ไม่น่ามองยิ่ง เป็นพระพักตร์แบบเดียวกับเวลาฉินเจิงหาเรื่องโต้เถียงกับพระองค์เหมือนทุกครั้ง หลังออกจากสวนไห่ถังก็เผยพระพักตร์เยือกเย็น ก่อนสะบัดแขนเสื้อแล้วทรงออกคำสั่ง “กลับวัง” 

 

 

           อู๋เฉวียนรีบเรียกผู้ติดตามตามออกไป จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นออกไปส่งเสด็จ 

 

 

           ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จออกจากจวนจงหย่งโหว 

 

 

           ฉินเจิงกลับเข้าห้องด้วยใบหน้าปกติ เขาเดินมาที่เตียงก่อนจับมือเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “เสด็จอาตรัสว่าหากเจ้ายังไม่ฟื้นอีก หากข้ายังอยู่เฝ้าเจ้าข้างเตียงเช่นนี้โดยไม่ทำอันใดทั้งนั้น พระองค์จะออกพระราชโองการหย่ากับเจ้า แล้วพระราชทานสตรีใหม่ให้ข้าแทน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง 

 

 

           “นี่ เซี่ยฟางหวา เจ้าได้ยินหรือไม่” ฉินเจิงยื่นมือไปเขย่าตัวนาง “เจ้าอย่านอนอย่างไม่รู้จักพอเช่นนี้ ตาแก่นั่นพูดจริงทำจริง หากเขานึกครึ้มหาสตรีมาให้ข้าจริงๆ ล่ะก็…” 

 

 

           “ไม่ได้” เซี่ยฟางหวาโพล่งขึ้น 

 

 

           ฉินเจิงชะงักทันที เขาเงียบลงแล้วก้มมองนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้วแน่น ดวงตายังคงปิดสนิท ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับพยายามตื่นขึ้นมา ทว่าผ่านไปพักหนึ่งก็ราวกับต่อต้านไม่เป็นผล เปลือกตาปิดสนิท การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งไป 

 

 

           “ไม่ได้อะไร เจ้านอนพูดว่าไม่ได้เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด ถ้าบอกว่าไม่ได้ก็ควรลุกขึ้นมาบอกกับเสด็จอาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวสิ” ฉินเจิงเขย่าตัวนางอีกครั้ง  

 

 

           เซี่ยฟางหวาถูกเขาเขย่าตัวพักหนึ่ง ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งเชื่องช้า 

 

 

           ฉินเจิงรีบพยุงนางลุกขึ้น ประคองใบหน้านาง “เซี่ยฟางหวา เจ้ามองข้า อย่าหลับอีกเลย ถ้าเจ้ายังหลับต่อไปเช่นนี้ วันหนึ่งเมื่อเจ้าลืมตาขึ้นมา ข้าคงกลายเป็นคนแก่แล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเปิดเปลือกตาเชื่องช้า มองฉินเจิงด้วยความล่องลอย 

 

 

           “ฟื้นหรือยัง” ฉินเจิงจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตา  

 

 

           เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่ง ก่อนยกมือลูบใบหน้าเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยถามเสียงเบา “ฉินเจิง” 

 

 

           “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นสักที ที่แท้วิธีการนี้ก็ได้ผล หากรู้เร็วกว่านี้คงไม่ปล่อยให้เจ้าหลับไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก…” ฉินเจิงถอนหายใจโล่งอก  

 

 

           มือของเซี่ยฟางหวาค่อยๆ ไล้ใบหน้าฉินเจิง ไล่ระดับลงมายังขากรรไกรด้านล่าง ราวกับอยากยืนยันให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้สัมผัสนั้นเป็นความจริง ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ร้องไห้ออกมาพลางวาดมือกอดเขา “ฉินเจิง ฉินเจิง ฉินเจิง…” 

 

 

           “ร้องทำไม” ฉินเจิงมองนางแล้วขมวดคิ้ว 

 

 

           “ข้าฝัน คิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว โชคดีที่…” เซี่ยฟางหวาสะอื้นตอบ 

 

 

           “ฝันอะไร” ฉินเจิงตัวแข็ง ลำคอแห้งผากฉับพลัน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เอาแต่กอดเขาแล้วไม่พูดอะไรขึ้นอีก 

 

 

           ฉินเจิงรออยู่นานสองนาน พบว่านางยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ น้ำตาไหลซึมลงบนปกเสื้อเขาอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจออกมา “ก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้ามากเกินไป อย่าร้องไห้เลย ถ้าเจ้าร้องไห้จนกระทบกับร่างกาย แล้วข้าจะไปร้องไห้กับใครเล่า”ล 

 

 

 

 

 

*สอนหนังสือให้สังฆราช หมายถึง สอนผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีอยู่แล้ว 

 

 

**สามหลักห้าจรรยา คือ หลักคุณธรรมในสมัยศักดินาของจีน สามหลักประกอบไปด้วย บิดาเป็นหลักของลูก ประมุขเป็นหลักของขุนนาง และสามีเป็นหลักของภรรยา ส่วนห้าจรรยาประกอบด้วย เมตตา กตัญญู มารยาท สติปัญญา และสัจจะ