บทที่ 119 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 119 กลับมาอีกครั้ง (3)
“ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งตบไหล่ของอี้เป่ยซี เธอตกใจจนหดตัวไปด้านข้าง “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เหม่อลอยเชียว?”
“จู่ๆ โดนตบแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้น”
“อยากออกไปเดินเล่นหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีพิงอยู่ที่ราว มองดูแสงอาทิตย์ที่สดใสนอกหน้าต่าง ช่างเหมาะแก่การออกไปเดินเล่นจริงๆ เธอยิ้มน้อย ๆ สีหน้าซีดขาว “ไม่ค่อยมีอารมณ์ ไม่อยากไป”
ฉู่ซ่งยืนข้างเธอ เอียงศีรษะ “อารมณ์ ไม่ดีเหรอ?”
“ไม่รู้สิ สงสัยยังเหนื่อยจากการนั่งรถ”
“หรือว่ารู้สึกปรับตัวไม่ได้ ไม่เหมือนที่เธอคิดไว้?” ฉู่ซ่งถามอย่างระมัดระวัง ขนตาสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
อี้เป่ยซีเม้มปาก เหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์อยู่ เป็นเวลานาน จึงเอ่ยปากอย่างผ่อนคลาย “ก็ไม่นะ แบบนี้ก็ดี ปกติมาก”
ใช่ มันปกติ ความคิดของเธอต่างหากที่ไม่ปกติ อุปสรรคได้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เลือกทางเดินแล้ว สิ่งที่ตัวเองคิดล้วนห่างไกลจากความเป็นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ การเปรียบเทียบจิตนาการกับความเป็นจริงนั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี เพราะว่าความทุกข์ทรมานที่ต่างกันแบบนี้ ยิ่งเป็นความโง่เขลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เรื่องปกติกับที่เธอคิด…”
“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีตัดบทเขา “นายคิดว่าฉันหยิ่งยโสมาตลอดใช่หรือเปล่า เคยชินกับการที่ทุกอย่างไปเป็นตามใจฉันนึกใช่ไหม?”
เขาไม่ได้พูดอะไร มองไปข้างนอก
“สวรรค์ทำให้ผู้คนผิดหวังมามากแล้ว ฉันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ต้องระวังตัวแบบนี้หรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณนาย ที่หาวิธีให้ฉันกลับมาแบบนี้”
“ฉู่เซี่ย”
อี้เป่ยซีกอดเขา “ฉันยังไม่เคยพูดเลยว่าโชคดีจริงๆ ที่มีน้องชายอย่างนาย”
ฉู่ซ่งก็เผยยิ้มเช่นกัน เก็บความกังวลของตัวเองเอาไว้ “ถึงเธอไม่พูดฉันก็รู้สึกได้”
“หลงตัวเอง อยากเล่นเกมส์หน่อยไหม”
“เอาสิ มา”
อี้เป่ยซีตามฉู่ซ่งมาถึงที่ห้อง จัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเขาอย่างเป็นระเบียบ ฉู่ซ่งควานหาแล้วเอาเครื่องใส่การ์ดเกมส์สมัยก่อนออกมา ดวงตาอี้เป่ยซีเป็นประกายทันที
“นายยังเก็บไว้?”
“ใช่สิ เก็บไว้อย่างดีเลยนะ สองเครื่องนี้มีค่าเท่าชีวิตเลย เธออย่ากดมั่วอีกล่ะ”
“รู้แล้วน่า ครั้งนี้จะทำให้นายได้เห็นสักหน่อยว่าอะไรคือฝีมือขั้นสูง”
พูดจบทั้งสองคนก็นั่งลงบนพื้น คว้าจอยสติ๊กแล้วต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตัวละครที่ถูกโจมตีต่างวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงอยู่ในฉากที่ขรุขระ คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง เข้าขากันได้เป็นอย่างดีท่ามกลางห่ากระสุนปืน
หาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะ กระโดดหนีกระสุนปืน ใช้วิชาตัวเบาเดินไปตามกำแพงและหลังคา…
“ไม่เล่นแล้ว เมื่อยมือชะมัด” อี้เป่ยซีโยนจอยสติ๊กไปอีกทาง ล้มตัวนอนบนพื้นทันที มองดูเพดาน “ภาพก็ห่วย แถมยังเสียสายตา ทำเอาฉันเล่นดีๆ ไม่ได้เลย”
“เพราะเธอโง่ต่างหาก ก็บอกเธอแล้วว่าให้โจมตีจากทางซ้าย เสียเวลาไปตั้งเยอะ”
“เพราะว่านายฝีมือแย่ก็เลยมาโทษฉัน วันหลังไม่เล่นเกมส์ประเภททีมกับนายแล้ว พวกเราสู้กันตัวต่อตัวดีกว่า”
ฉู่ซ่งเอื้อมมือดึงเธอขึ้นมา “มาสิ มาสิ”
“ไม่เอา ฉันหิวแล้ว อยากกินข้าว”
“สั่งข้างนอกเถอะ”
อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งทันควัน “สั่งข้างนอก?”
เขาพยักหน้าเฉยเมย “ใช่สิ ไม่งั้นจะให้ฉันทำเหรอ?”
“ใช่สิ ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้อยู่แล้ว เธอคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนพี่ใหญ่จื่อหานเหรอที่วันๆ อยากทำกับข้าวให้เธอกิน ขี้เกียจน่ะ”
จู่ๆ ชื่อของลั่วจื่อหานก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงปุ่มสวิทช์ดังติ๊งต่องจริงๆ ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าได้เจอเขา เหมือนได้กอดเขา อยากฟังเพลงของเขา อยากกินข้าวที่เขาทำ
ไม่ได้เจอเขาและไม่ได้ติดต่อเขานานแล้วสินะ รู้สึกเหมือนมันนานมาก นานมากๆ แล้ว
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่? พี่ใหญ่จื่อหาน?” ฉู่ซ่งเขยิบมาด้านหน้าเธอ แต่ถูกผลักอย่างไร้เมตตา
“สั่งข้างนอกก็สั่งข้างนอกสิ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน รำคาญ”
“งั้นเธอเห็นใครถึงจะไม่รำคาญล่ะ”
รอยยิ้มของฉู่ซ่งไม่มีความยินดีหรือยินร้าย อี้เป่ยซีคว้าจอยสติ๊กที่อยู่ข้างๆ โยนใส่เขาเหมือนที่เคยทำ “เห็นใครก็รำคาญทั้งนั้น”
“โอเค ข้าน้อยจะไปสั่งอาหารให้ท่านแล้ว” ฉู่ซ่งวิ่งออกไปอย่างเชื่อฟัง ยกหูโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ดีสุดขีด
อี้เป่ยซีลุกขึ้นยืน เดินไปข้างคอมพิวเตอร์ เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ฟังเพลงของมู่ลี่ไป๋ที่ตอนนี้ได้อัพโหลดลงอินเทอร์เน็ตแล้ว อดไม่ไหวเปิดดูความคิดเห็น
“ไพเราะจนแทบคุกเข่า เสียงของพี่ชายที่ร้องกับเทพบุตรเพราะจริงๆ เลย”
“โอ๊ยๆๆ พี่ชายคนนี้ถูกฉันเซ็นต์สัญญาแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันชอบคุณ นี่คือเหตุผลที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่ไม่ใช่เป็นหุ่นเชิดที่คุณเลี้ยงไว้”
เธอถอนหายใจ อ่านบรรทัดต่อไป
“พี่ชายคนนี้คือใครกันนะ เสียงเพราะมาก โคตรชอบเลย”
ใบหน้าของอี้เป่ยซีมีรอยยิ้มพึงพอใจ มีความรู้สึกภูมิใจและดีใจแทนเขา อดไม่ไหวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ขณะที่เปิดรายชื่อผู้ติดต่อก็วางลง
จะพูดเรื่องนี้ในสถานะอะไร รอจนคิดทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งแล้วค่อยพูดทีเดียวเลยดีกว่า
เธอหลับตา ดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งอารมณ์อันสวยงามที่สร้างขึ้นด้วยเสียงของคนคนนั้น ทุกคำล้วนทรงพลังและคมชัด อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ร้องไห้ไม่ออก แต่เจ็บจนเหนือคำบรรยาย
ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าพวกเขาร้องได้ดีมากจริงๆ เธอวางเม้าส์ไปอีกทาง เท้าคางมองเนื้อเพลงที่กำลังเลื่อนไหล ตัวอักษรสีขาวดำ คนที่สามารถมอบชีวิตให้เธอได้จะต้องใช้บทเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศ ยิ่งต้องใช้เสียงเพื่อแสดงความรู้สึก
มันน่าพอใจมากจริงๆ ขอบคุณจริงๆ ที่ผลงานที่ไร้ความสมบูรณ์แบบได้ถูกนักแต่งเพลงและนักร้องแต่งเติมจนกลายเป็นความสมบูณ์เช่นนี้
“ฉู่เซี่ย เธอกำลังฟังอะไรอยู่ ร้องไห้ด้วยเหรอ?” ฉู่ซ่งคว้าหูฟังข้างหนึ่งมาทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็อึ้ง จนกระทั่งเพลงจบแล้ว เขาจึงดึงสติกลับมา “นี่ นี่มัน…”
อี้เป่ยซีพยักหน้า แววตาเหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ใช่แล้ว เหมือนที่นายคิดนั่นแหละ’
“ไม่ ไม่จริงมั้ง แต่ว่าทำไมล่ะ มันแปลกเกินไปแล้ว พี่ใหญ่จื่อหานไม่ชอบอะไรพวกนี้ ฉัน ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย” เขาขมวดคิ้ว “ตามตรรกะแล้วก็ไม่ควร ทำนองพอได้ เนื้อเพลงก็โอเคอยู่ แต่ว่า…”
“มีอะไรไม่ควรล่ะ มู่ลี่ไป๋ไปหาเขา เขาก็ช่วยเหลือ มันเป็นเรื่องปกติมากเลยไม่ใช่เหรอ” อี้เป่ยซีคว้าหูฟังกลับมาจากมือเขา แล้วใส่หูตัวเองอีกครั้ง ลดเสียงลง
“เปล่า” เขาถอดหูฟังที่เธอเพิ่งใส่เข้าไปในหูออกอีกครั้ง “พี่ใหญ่จื่อหานไม่ใช่คนที่คุยด้วยง่ายๆ แบบนี้ หรือว่ามันเกี่ยวกับเธอ เธอเขียนเนื้อเพลงเหรอ?”
“แค่ก” อี้เป่ยซีกดหยุดเพลง แสดงอาการรอคำชื่นชม ฉู่ซ่งหันไปหันมา ขมวดคิ้ว แล้วส่งเสียงจุ๊ๆ
“มีจุดเด่นอยู่ แต่ว่าเพลงตลาดไปหน่อย เธอก็ชอบเขียนเรื่องรักๆ พวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันอารมณ์ไม่ดี” อี้เป่ยซีหันกลับมา เปิดวีดีโอ พิงพนักเก้าอี้ไม่อยากคุยกับเขาต่ออีก ฉู่ซ่งส่ายหน้าเหมือนคนแก่
————