บทที่ 120 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 120 กลับมาอีกครั้ง (4)
อี้เป่ยซีดูซีรี่ย์สองตอนติดกัน ขณะที่ถอนตัวออกมาก็ได้กลิ่นอาหารจางๆ ความหิวพุ่งพล่านขึ้นมาทันใด จนเธอเกือบล้มลงไปกับพื้น เธอคว้าเก้าอี้ไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก
“ไหนนายบอกว่าไม่ทำอาหารไง หอมจังเลย”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานกำลังถกแขนเสื้อขึ้น ยกกับข้าวออกมาพอดี “ออกมาได้เวลาพอดีเลย”
เธอขยี้ตาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แล้วขยี้ตาอีก จนกระทั่งลั่วจื่อหานลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน ลมหายใจของเขาโอบล้อมตัวเธอ
“ฉัน นาย นายมาอยู่นี่ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีมองไปรอบทิศ “ฉู่ซ่งล่ะ?”
“ฉันอยู่นี่” ฉู่ซ่งออกมาจากห้อง อี้เป่ยซีดึงตัวเขาไปอีกทาง
“นายบอกว่าสั่งข้างนอกไง?”
เขาหัวเราะ “ใช่แล้ว สั่งเชฟมาจากข้างนอกให้เธอไง ทั้งดีต่อสุขภาพทั้งอร่อย ดีใจหรือเปล่า ประหลาดใจไหม”
“ดีใจ ดีใจตายเลย ประหลาดใจจะแย่แล้ว” อี้เป่ยซีกัดฟัน จ้องเขาอย่างไม่พอใจ เธอเองยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเผชิญหน้ากับลั่วจื่อหานอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่คุณแม่อี้เล่าเรื่องพวกนั้นให้เธอฟัง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเป็นเหมือนคนในเรื่องนั้นหรือเปล่า และยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีก ถึงอย่างไรลั่วจื่อหานก็ไม่น่าจะ…
ลั่วจื่อหานกอดเธอพร้อมกับยิ้ม “เอาล่ะ ครั้งหน้าถ้ามาจะบอกเธอก่อน โอเคไหม?”
อี้เป่ยซีออกมาจากอ้อมแขนของเขาอย่างสงบเสงี่ยม “กินข้าวก่อนเถอะ”
เขาหดมือกลับ แววตาผิดหวังเล็กน้อย พยักหน้า เดินไปข้างๆ เธอ ยังคงดูแลเธอกินข้าวเหมือนเดิม อี้เป่ยซีไม่ขยับเขยื้อน กับข้าวแต่ละชิ้นกองเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ในจาน ลั่วจื่อหานขมวดคิ้ว ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
เธอรีบกินข้าวเสร็จก็กลับห้องของตัวเองแล้ว ปิดประตู นอนลงบนเตียง ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรและไม่รู้ว่าจะทำอะไร ลืมตาว่างที่เปล่า มองดูห้องที่ว่างเปล่า
“เป่ยซี เป่ยซี” เธอหลับตา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครมาเคาะประตู ใช้หมอนปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงของเขาอีก
“งั้นเธอพักผ่อนเถอะ” ลั่วจื่อหานเคาะอีกสองสามครั้งจึงหยุด ก้าวที่เดินจากไปเชื่องช้าเล็กน้อย ได้ยินว่านอกห้องไร้เสียงโดยสิ้นเชิงแล้ว อี้เป่ยซีจึงปล่อยมือที่กดหมอนไว้
‘ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน’ ราวกับว่าหลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆ แล้วนั้น ยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ‘ลั่วจื่อหาน ทำไมนายต้องปรากฏตัวด้วย ทำไมต้องมาเจอเธอ ทำไมถึงไม่ใช่คนธรรมดากว่านี้ เธอธรรมดากว่านี้และเขาก็เรียบง่ายกว่านี้’
ดวงตากระพริบถี่ มันพร่ามัวโดยไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป ได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูในความฝัน จากนั้นก็เข้าสู้อ้อมกอดอันอบอุ่น เธอซุกๆ ตัวอยู่ข้างในอย่างผ่อนคลาย รู้สึกทั้งสบายและปลอดภัย
จนกระทั่งนอนเต็มอิ่มแล้ว ลืมตาก็ค้นพบว่าข้างกายว่างเปล่า น่าจะเป็นความฝันล่ะมั้ง ฝันในตอนนี้ยิ่งเหมือนจริงมากขึ้นทุกที
เธออยากจะออกไป แต่พอคิดว่าลั่วจื่อหานอาจอยู่ข้างนอก มือที่วางอยู่บนลูกบิดประตูจึงไม่เคลื่อนไหว ผ่านไปสักพัก เธอส่งข้อความให้ฉู่ซ่ง เมื่อได้รับคำตอบว่าเขาจากไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจกลับอึดอัดเล็กน้อย
จากไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ ไม่รู้จักอยู่ต่ออีกหน่อยหรือยังไง บางทีเธออาจจะเปิดประตูในวินาทีต่อมาก็ได้ เธอยังไม่ได้มองเขาให้เต็มตาเลยนะ
เมื่อเธอเปิดประตูก็ได้ยินเสียงปิดประตูใหญ่ จากนั้นก็เข้าไปหลบในห้องอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเดินออกมา มองไปรอบกาย
“ออกมาได้แล้ว เขาไปแล้ว”
“เปล่า ฉันก็แค่หิวน้ำ” พูดพลางรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “ไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ” บ่นพึมพำ แต่มันลอยเข้าหูของฉู่ซ่งพอดี
เขายิ้ม “ฉันช่วยเธอเรียกเขากลับมาไหม?”
“นายว่างมากเหรอ? ไหนว่านายมีงานไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เห็นนายไปทำงาน”
“เจ้านายอกหัก ก็เลยหยุดตามเขา ต้องขอบคุณคนนั้นที่ทำให้เจ้านายอกหัก”
อี้เป่ยซีดื่มน้ำไปอึกใหญ่ ตบๆ แก้มไม่พูดจา กลืนลงไปอย่างแรง “ออกไปเดินเล่นกัน”
“ตอนบ่ายฝนจะตก อย่าออกไปเลย” ฉู่ซ่งก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เธอแย่งมันมา
“ฝนตกก็ออกไป ไปๆๆ” ลากเขาต้องการจะออกไปข้างนอก ฉู่ซ่งแสดงอาการยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก
“รับทราบแล้วท่านพี่ ให้ฉันเก็บของแป๊บนึงค่อยออกไปเถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า กลับห้องคว้ากระเป๋าของตัวเองยืนรอเขาอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันออกไปจากเขตชุมชน เดินทอดน่องอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย
“ฉู่เซี่ย เธอเป็นอะไรไป ก่อนหน้านี้เห็นเธอกับลั่วจื่อหานก็สนิทกันดีนี่”
“ตอนนี้พวกเราไม่สนิทกันหรือไง” อี้เป่ยซีเตะก้อนหินที่อยู่ข้างเท้าไปยังข้างแปลงดอกไม้ แล้วเตะหินอีกก้อนไปด้านข้าง
“เรื่องมันเป็นยังไง เธอรู้ดีที่สุด ฉันไม่พูดมากหรอก”
เธอไม่ได้กะทิศทางและแรงดีพอ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหิน มุมที่แหลมคมทำให้แทบจะร้องไห้ “รู้สิ ถ้าฉันไม่รู้ไม่แน่ว่ามันอาจจะง่ายกว่านี้”
“เธอกำลังหนีอะไรอีก?”
เธอถอนหายใจ ใช้เท้าอีกข้างเตะหิน “หนีความเจ็บปวด”
ฉู่ซ่งมองเธอด้วยความไม่เข้าใจ อี้เป่ยซีหันกลับมา เปี่ยมด้วยความอ้างว้าง “ฉู่ซ่ง นายรู้สถานะของลั่วจื่อหานสินะ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไงใช่ไหม นายคิดว่าพวกเราสองคนเหมาะสมเหรอ?”
คำถามนี้ทำให้ฉู่ซ่งนิ่งไป ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แม้จะเป็นคุณหนูของบ้านอี้แล้ว เขาก็ยังประหลาดใจ ประหลาดใจที่ลั่วจื่อหานชอบอี้เป่ยซี
ฉู่เซี่ยเป็นคนดีมากๆ บวกกับภูมิหลังที่โดดเด่น เธออาจเป็นเด็กสาวที่สง่างามมากในโลกใบนี้ อาจจะถูกเรียกว่านางฟ้า อาจจะถูกคนมากมายตามจีบ แต่ว่าลั่วจื่อหานเป็นคนทะเยอะทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง นี่คือภาพลักษณ์แรกที่มีต่อเขา เขาลึกลับเกินไป อีกทั้งยังเผยความสูงเด่นไปทุกที่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา อดไม่ได้ที่จะติดตามเขา แต่เขาก็รู้ว่าคนที่มีรอยยิ้มดุจเทพอย่างเขา ไม่มีวันจะก้มหน้ามองดูมดตัวน้อยอย่างเธอหรอก
เมื่อเทียบสองคนแล้ว คำว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินนั้นนับว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย
เขามีความคิดเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงของชายคนนั้นโน้มตัวลงมา เห็นเสือยิ้มยากคนนั้นหยอกล้อเหมือนกับคนทั่วไป ก็เหมือนกับถูกดึงลงมาจากสรวงสวรรค์ เดินลงมาจากสวรรค์เพียงเพื่อมนุษย์ที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง
ทั้งสองคนไม่เคยมีคำว่าคู่รักที่สมบูณ์แบบ อย่าว่าแต่เรื่องเหมาะสมกันเลย
ความเงียบงันที่ยาวนานคือการบอกความในใจของเขาแก่อี้เป่ยซี ยักไหล่อย่างไม่แยแส “ใช่ไหมล่ะ นายก็เห็นแล้ว พวกเราไม่เหมาะสมกัน ฉะนั้นนะ”
“ฉู่เซี่ย ยังไม่ทันเริ่มก็ตัดสินใจเร็วแบบนี้แล้วเหรอ? เธอชอบท้าทายในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบตลอดเลยไม่ใช่เหรอไง?”
เธอส่ายหน้า “เรื่องพวกนั้น ฉันรู้ว่าถึงฉันแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องนี้ ฉันไม่สามารถจริงๆ ฉันเคยทำพลาดไปแล้วครั้งนึง”
“ฉู่เซี่ย” เขาหัวเราะเย็นชา “พูดไปพูดมาสุดท้ายเธอก็แค่เป็นห่วงตัวเอง มองเห็นแต่ตัวเอง เธอเคยคิดถึงพี่ใหญ่จื่อหานหรือเปล่า เธอเห็นไหมว่าเขาทำอะไรให้เธอบ้าง เขาเปลี่ยนเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอ ตอนนี้เขาอดกลั้นทุกอย่างไว้ในใจแล้ว”
อี้เป่ยซีแคะเล็บ “ฉันรู้ เขารอให้ฉันบอกว่าเริ่ม ให้ฉันบอกว่าเริ่มก่อน”
————