บทที่ 121 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 121 กลับมาอีกครั้ง (5)

            ใบหน้าของฉู่ซ่งแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรดี จะปลอบโยนให้เธอปลง ให้ทำความเข้าใจ อย่าไปทำร้ายความรู้สึก อย่าไปหนีความรู้สึกจริงใจจากคนคนหนึ่ง หรือว่าจะยืนในมุมของเธอ บอกเธอว่าเรื่องความรักมันน่าจะง่ายกว่านี้ น่าจะเป็นอะไรที่เธอไขว่คว้าได้?

            เขามีจุดยืนของตัวเอง แต่เขาก็มีศีลธรรมของเขาเช่นกัน การทุ่มเทของเขาไม่ใช่เพื่อเป็นเหตุผลในการร้องขอให้เธอยอมรับ ใช่ว่าลั่วจื่อหานพยายามแล้วจะได้ผล

            ฉู่ซ่งเดินมาข้างเธอ “ฉันรู้แล้ว”

สายตาของอี้เป่ยซีว่างเปล่า ฉากทิวทัศน์ต่างๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนเลย เธอเดินไปด้านข้างเงียบๆ ย่อตัวลง “ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”

            “ฉันรู้แต่แรกแล้ว” ฉู่ซ่งก็ย่อตัวลงข้างเธอ มองดูรถราที่ผ่านไปมาและผู้คนที่เดินผ่านไปมาตรงหน้า

            เสื้อผ้าของแต่ละคนแตกต่างกัน ย่างก้าวต่างกัน การแสดงออกทางสีหน้าต่างกัน แต่ล้วนมีความเฉยชาอย่างเห็นได้ชัด ปกคลุมตัวเองด้วยรอยยิ้มเคร่งขรึม ไม่มีใครรู้จิตใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าจะกลัวเส้นทางที่เต็มไปด้วยกระแสอันไม่มีที่สิ้นสุดหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะชอบความเรียบง่ายในทุกๆ วันหรือเปล่า

            ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงคำรามแผดดังอยู่ด้านหลังกลุ่มเมฆหนา ฉู่ซ่งมองกลุ่มเมฆครึ้มด้วยความกังวลเล็กน้อย “ฝนจะตกแล้ว”

            “อ่อ งั้นพวกเรากลับกันเถอะ” อี้เป่ยซีหันหลังด้วยความแน่วแน่ ทิ้งฉู่ซ่งไว้เบื้องหลัง

            ฉู่ซ่งอ้าปาก วิ่งเหยาะๆ ไปหาเธอ “ผิดทางแล้ว”

            “อ่อ ฉันก็ว่าทำไมทางมันไม่ค่อยเหมือน งั้นต้องไปทางไหน? ทางนี้ หรือว่าทางนี้?”

            “ถ้าฉันไม่รู้ว่าเธอโง่เรื่องเส้นทาง ก็ต้องสงสัยว่าเธอเสียใจจนสมองเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ”

            เธอหัวเราะหึๆ เดินตามหลังฉู่ซ่ง ราวกับว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอหันหน้าไปเล็กน้อย แววตาหดหู่อย่างเห็นได้ชัด กัดฟันหันหน้ากลับและเดินตามไป

            รถสีดำลดหน้าต่างลงช้าๆ กลุ่มควันลอยหนีออกมาจากข้างในสู่อากาศ ลั่วจื่อหานมองทิศทางที่ทั้งสองจากไป ขมวดคิ้ว

            เป่ยซีเอ๋ย เพราะไม่เชื่อใจฉัน หรือว่าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง

            ตอนนี้เดินมาไกลขนาดนี้แล้ว เธอไม่ยอมแม้แต่จะหันกลับมาเลยเหรอ?

            เมื่อกลับถึงบ้าน คุณแม่ฉู่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว กำลังเก็บของอยู่ในห้องรับแขก พออี้เป่ยซีกลับมา ก็เดินเข้าไปหาเธอด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

            “เป่ยซี กลับมาแล้วเหรอ”

            ฉู่ซ่งเอ่ยปากอย่างหัวเสีย “ฉู่เซี่ยต่างหาก แม่”

            “ไม่เป็นไร ฉันก็คือฉัน จะเรียกยังไงก็ได้” อี้เป่ยซีเดินหาคุณแม่ฉู่ “มีอะไรเหรอคะ?”

            “วันนี้ฉันเห็นเสื้อตัวนึงที่ร้าน ฉันคิดว่ามันเพราะกับเธอเป็นพิเศษ เธอลองดูไหม?”

            อี้เป่ยซียิ้มมีความสุขมาก เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “สีฟ้าหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่สีฟ้าฉันไม่เอา”

            “รู้แล้วว่าเธอชอบสีฟ้า ใช่ สีฟ้าบริสุทธิ์ ดูสิว่าชอบหรือเปล่า”

            เธอรับเสื้อมา รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และมีบางอย่างกำลังตื่นขึ้นอีกครั้ง เธอแม้กระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างปะทุออกมา เดินกลับไปที่ห้องอย่างสบายอารมณ์

            ฉู่ซ่งเห็นฉากนี้แล้วก็ถอนหายใจ “แม่อยากซื้อเหรอ?”

            คุณแม่ฉู่ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่ประตูด้วยความเมตตา รออี้เป่ยซีปรากฏตัว

            “รู้อยู่แล้วว่าแม่คิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้” เขาส่ายหน้าถอนหายใจ นั่งลงบนโซฟาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา คอยสังเกตความเงียบข้างกายเป็นระยะ

            อี้เป่ยซีสวมชุด มันพอดีตัวอย่างคาดไม่ถึง ราวกับว่าถูกตัดมาเพื่อเธอ รอยเย็บของกระโปรงนุ่มนวลและเรียบเนียน ยิ่งเสริมบุคลิกให้ดูดีมากยิ่งขึ้น เธอดูตัวเองในกระจก สีฟ้าอ่อนเข้ากันได้ดีกับรูปหน้าที่สวยงาม ราวกับภาพวาดที่มีชีวิต มันมีชีวิตชีวาเหมือนภาพวาดแบบปัญญาชนดั้งเดิม และชัดเจนเหมือนภาพสเก็ตช์

            เธอยื่นมือ**ลวดลายบนไหล่ของเธอ ก้มหน้ามองดู ยิ้มกว้างให้กับตัวเองในกระจก

            เปิดประตูออก ก้มหน้าเขินอาย เดินไปหาคุณแม่ฉู่ “แม่คะ เป็นไงบ้าง?”

            “สวยจ้ะ สวย ลูกสาวแม่สวยมาก”

            อี้เป่ยซีเดินไปหาคุณแม่อย่างรวดเร็ว กอดเธอ “ขอบคุณค่ะแม่ หนูชอบมาก”

            “จ้ะ ลูกชอบก็ดีแล้ว ลูกชอบก็ดีแล้ว”

            “ค่ะ ชอบมาก ชอบมาก ชอบที่สุดเลย”

            ไม่ว่าจะกินข้าวหรือว่านั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา อี้เป่ยซีระมัดระวังชุดบนตัวมาก กลัวว่าตัวเองจะทำเปื้อนหรือกดทับ จนกระทั่งก่อนอาบน้ำ ก็ยังแขวนมันอยู่ที่หัวเตียงแล้วจึงรีบไปอาบน้ำ

            เธอเช็ดผม นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองดูเสื้อตัวนั้น แล้วลุกขึ้นยื่นมือไปสัมผัสมันเชื่องช้า เสื้อก็เหมือนกับว่ามีความรู้สึกและความอบอุ่นเช่นกัน มือของอี้เป่ยซีหยุดอยู่บนลวดลายบนไหล่ ลูบไล้ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า…

            “เธอชอบมันแค่ไหนกันนะ ถึงได้ระวังขนาดนี้” ฉู่ซ่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขว้างแอปเปิ้ลบนโต๊ะออกไป อี้เป่ยซีรับไว้ได้ยังคงมองดูชุดบนตัวด้วยความระมัดระวังมาก

            “นายอิจฉาล่ะสิ” กัดแอปเปิ้ลไปหนึ่งคำ “ไว้ฉันจะซื้อให้นาย ถ้าอดกินองุ่นก็อยากไปโทษว่าองุ่นเปรี้ยวสิ”

            “เธอ ฉันไม่เห็นด้วยกับความงามของเธอหรอกนะ”

            “หุบปาก ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว”

            “แล้วเธอจะคุยกับใคร กับชุดนี้เหรอ”

            อี้เป่ยซีพยักหน้าด้วยความจริงจัง ราวกับว่าได้ผ่านการพิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบ “แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ดีกว่านาย”

            “ฉันว่านะฉู่เซี่ย…” ฉู่ซ่งจิ้มๆ หัวของเธอ “ช่างเถอะ ฉันไม่ได้มีความรู้เหมือนเธอซะหน่อย เด็กน้อยสอนไม่จำ จนป่านนี้แล้วเธอยังเพ้อฝันอยู่ได้”

            “ใช่สิ ใช่สิ มีความเห็นก็หุบปากไปซะ”

            สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะ “ฉันยอมแพ้ ฉันจะมีความเห็นอะไรได้ ผู้อาวุโสมีความสุขก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจผู้น้อยหรอก”

            “อืม คำพูดเช่นนี้ประทับใจข้ายิ่งนัก”

            “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องต้องรายงาน ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้กระหม่อมลาสักสองสามวันได้หรือไม่ ที่บริษัทมีงานนิดหน่อย กระหม่อมต้องกลับไปดู”

            อี้เป่ยซีหยุดกินแอปเปิ้ล “นายจะกลับเมือง A?”

            “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แค่แวะที่บริษัทก็พอ วันนี้อยากไปไหนล่ะ ฉันยังพาเธอออกไปเดินเล่นได้ สองสามวันหลังจากนี้ ฉันน่าจะยุ่งมาก”

            “ไม่เคยเห็นแรงงานเด็กที่บอกว่าตัวเองยุ่ง”

            “ช่วยไม่ได้ มีความสามารถมากแค่ไหนความรับผิดชอบก็มากแค่นั้น ฉันใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่นับว่าเป็นแรงงานเด็กแล้ว พูดจาระวังหน่อย ถ้าเจ้านายโกรธจะทำยังไง ฉันยังมีบ้านต้องเลี้ยงดูนะ”

            อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง “พวกเรา ไปที่ที่เคยอยู่เมื่อก่อนกันเถอะ”

            “เธอแน่ใจเหรอว่าจะไปที่นั่น?”

            “ก็นายยุ่งขนาดนี้ เจ้านายของนายคงไม่ว่างถึงขนาดไม่มีอะไรทำหรอกมั้ง ฉันจะเป็นห่วงอะไร?”

            ฉู่ซ่งยกนิ้ว “ก็ได้ ก็ได้ เธอพูดแบบนี้ ไม่ว่าเจ้านายแบบไหนก็ไม่กล้าอู้แล้วล่ะ ไปเถอะ พวกเรานั่งรถไปกัน”

            “ก็ได้ รอฉันไปเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึง”

            “ทำไมล่ะ เธอแน่ใจว่าจะไม่มีคนโผล่มาไม่ใช่เหรอ? กลัวว่าเขาจะเห็นหรือไง?”

            อี้เป่ยซีจ้องเขาเขม็ง “ฉู่ซ่ง นายนี่นับวันยิ่งปากคอเราะร้าย ไม่น่าฟังเลย ไม่ชอบ”

            “โอเคๆๆ ฉันผิดเอง ขอโทษ เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”

        เธอเดินปึงปังออกไปจากห้องรับแขก กลับถึงห้องแล้วเปลี่ยนเสื้ออย่างว่องไว

————