ภาคที่ 5 ตอนที่ 20 เนื้อและเลือด (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 20 เนื้อและเลือด (2) โดย Ink Stone_Fantasy

อึดใจถัดมา เหล่าสัตว์ภูตดุร้ายก็เข้าจู่โจมพวกเขาไม่ขาดสาย ระลอกแรกส่วนใหญ่เป็นสัตว์ภูตประเภทแมว เสือดาวที่มีเสียงคำรามกึกก้องราวฟ้าผ่าคำรามอยู่ตรงหน้าหวังลู่ พวกมันเป็นประเภทที่มีความแข็งแกร่งโดยรวมไม่เกินขั้นพิสุทธิ์ระดับกลาง แต่ทันทีที่โจมตี ความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นพิสุทธิ์ระดับสูง ทว่าเมื่อปะทะเข้ากับพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของหวังลู่ เสียงคำรามของพวกมันก็เงียบลง กล้ามเนื้อของพวกมันฉีกขาด กระดูกผิดรูป มีบาดแผลฉกรรจ์ตามจุดต่างๆ ทว่าหวังลู่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับขุนเขาก็ไม่ปาน

          หลังจากเหล่าเสือดาว ก็ถึงคิวแรดเขียวนอเดียวขนาดมหึมาที่กำลังตกมัน สัตว์ร้ายที่สามารถตัดภูเขาทำลายก้อนหินได้ตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างน่าทึ่ง แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ช่วงปลายของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ยังรับมือกับสัตว์พวกนี้ได้ยาก ทว่าหวังลู่ยังอยู่ในอาการสงบ ควบคุมเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของตนอย่างเงียบๆ และเผชิญหน้ากับพวกมันด้วยกระบี่แห่งคุน

          เขาไม่ได้เอ่ยปากขอให้เสี่ยวชีที่อยู่ข้างๆ ช่วยแม้แต่น้อย

          สัตว์ร้ายขนาดเท่าบ้านหลังเล็กๆ พุ่งลงมาราวกับอุกกาบาต ทว่าดูเหมือนมันจะปะทะเข้ากับปราการแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น ร่างครึ่งหนึ่งของพวกมันถูกอัดจนกลายเป็นโคลนนิ่มๆ แม้พื้นที่อยู่ใต้เท้าของหวังลู่จะจมลงไปเกือบวา แต่ทั้งร่างของหวังลู่กลับไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

          ความสามารถในการตั้งรับของเขานับว่าฝืนลิขิตสวรรค์อย่างแท้จริง

          แต่ค่ายกลสัตว์ร้ายล้านตัวที่อาเซี่ยภาคภูมิใจที่สุดจะพ่ายแพ้ให้กับกระบี่ตั้งรับของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางง่ายๆ หรือ การปะทะกันสองรอบก่อนหน้านี้เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น ขบวนฝูงสัตว์ภูตที่ไม่รู้จักจบสิ้นตามมาติดๆ และการปะทะกันในแต่ละครั้งก็ทรงพลังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ไม่สนความเป็นความตายแม้แต่น้อย สัตว์ภูตพวกนี้ไม่ใส่ใจแม้สักนิดว่าพวกมันจะถูกอัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือไม่ ขอแค่เพียงมันได้พุ่งเข้าชนกับกระบี่ตั้งรับของหวังลู่เท่านั้น ไม่นานนักกองเลือดก็ไหลหลากกลายเป็นแม่น้ำและเศษซากกระดูกก็สูงท่วมราวกับภูเขา

          จากจำนวนซากศพ สัตว์ภูตที่ถูกฆ่าต่อหน้าหวังลู่นั้นเกินกว่าจำนวนที่แท้จริงของมันไปแล้ว แม้จำนวนสัตว์ร้ายที่อาเซี่ยเรียกมาจะมีไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะเกินสามสิบหรือสี่สิบตัว อย่างไรเสียจำนวนสัตว์ภูตที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์ในสาขาอวิ๋นไท่ก็ไม่ได้มีมากมายนัก ทว่าตอนนี้สัตว์ภูตที่ตายด้วยคมกระบี่ของหวังลู่กลับมีเกินห้าสิบตัวแล้ว

          “ค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

          หวังลู่ยอมรับเสียงแผ่ว กระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์ของเขายังไม่ถูกทำลายก็จริง ทว่าตอนที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา หวังลู่รู้สึกได้ถึงเลือดที่อวลอยู่ในปากแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่เห็นภายนอก

          อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง การที่เขาต้านทานการโจมตีจากค่ายกลของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนได้นานขนาดนี้ก็พลิกโลกทัศน์ของใครหลายคนได้แล้ว และแม้ใบหน้าของอาเซี่ยจะอาบด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ แต่สายตานั้นไม่อาจซ่อนความตระหนกไว้ได้

          เป้าหมายที่แท้จริงที่เขาใช้ค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายคือนักบวชเซนเนื้อสุนัข ตอนที่ออกแบบกับดักนี้ เขาตั้งใจจะใช้จัดการคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับราชาพยัคฆ์ ทว่าตอนนี้แค่จะเอาผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานลงเขายังทำไม่ได้เลย!? แต่ค่ายกลนี้ยิ่งใช้งานนานเท่าไรมันก็ยิ่งทรงพลังเท่านั้น หากฝ่ายตรงข้ามไม่รู้วิธีทำลายค่ายกลที่ถูกต้อง หวังพึ่งแต่พละกำลังเพื่อต้านทาน… เช่นนั้นก็เรียกว่าถึงจุดจบแล้ว โดยแก่นแล้วทะเลแห่งสัตว์นี้ก็คือความปรารถนาอันแข็งกล้าของวิญญาณภูเขาอวิ๋นไท่ เป็นอาคมขนาดใหญ่ที่หล่อหลอมพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ย ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีวันจบสิ้น

ทว่าหากพิจารณาถึงพื้นเพที่ลึกลับของฝ่ายตรงข้าม การถ่วงเวลาเช่นนี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้… อาเซี่ยนิ่งเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนท่าทาง เขาตัดสินใจจะทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จบเร็วขึ้นกว่าเดิม

          แคร้ง!

          สิ้นเสียงคำรามดุร้าย กรงภูเขาทั้งห้าที่อยู่ด้านบนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เต่าดำกระดองสีทองขนาดมหึมาสามตัวที่อยู่บนเมฆสีดำฝ่าทะลุชั้นของเมฆลงมาพร้อมเปลวเพลิง ทอง ไฟ สายฟ้า ดิน ธาตุทั้งสีรวมตัวกันเป็นหนึ่ง พลังของพวกมันทะลุขั้นพิสุทธิ์ช่วงปลายและแตะถึงขั้นสร้างแกนไปแล้ว!

          สีหน้าของเสี่ยวชีเปลี่ยนไปในทันที นางกวัดแกว่งไม้เท้าตีสุนัขสีเขียวที่อยู่ในมือ สะบั้นกล้ามเนื้อและหักกระดูกสัตว์ภูตนับสิบตัวที่พุ่งมาหา ทันใดนั้นลำแสงสีทองกระจ่างก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ตอนนี้นางพร้อมที่จะใช้พลังขั้นสร้างแกนต้านทานกับการโจมตีที่มาจากฟากฟ้าแล้ว แต่ตอนนั้นเองสายลมเย็นก็ปะทะเข้าที่หลังของนาง เสี่ยวชีรีบหันหลังกลับไป และสกัดการซุ่มโจมตีของเงาร่างหนึ่งได้อย่างฉิวเฉียด

          เงาที่ว่าคือเด็กสาวหูแมวหยิงเยียนนั่นเอง แม้นางจะเพิ่งฟื้นจากความตาย แต่พลังของนางก็ยังอยู่ในขั้นสร้างแกนอยู่ แน่นอนว่าอาเซี่ยยอมไม่ยอมให้นางยื่นดูอยู่เฉยๆ แน่ มีหลายทางที่เสี่ยวชีจะเอาชนะเด็กสาวหูแมวได้ และในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาพัวพัน นางจึงไม่มีเวลาใส่ใจหวังลู่อีก

          หลิวหลีก้าวเท้าไปข้างหน้าครึ่งก้าว ต้องการที่จะใช้เพลงกระบี่กระจ่างใจช่วยหวังลู่สกัด ทว่าเขากลับยกมือขึ้นห้าม อึดใจถัดมาดวงตาของหวังลู่ก็พลันผิดปกติ ปากของเขาห่อขึ้น พลังวิญญาณขั้นปฐม ร่างกายและพลังอิทธิฤทธิ์ภายใต้การควบคุมที่คาดไม่ถึงของจิตเซียนไร้ลักษณ์ก็เพิ่มสูงขึ้นจนเกินขอบเขตพลังของตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง

การตั้งรับของกระบี่ไร้ลักษณ์พลุ่งพล่านขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน พลังปราณที่ยืนยงราวขุนเขาชัดเจนและเข้มข้นขึ้น กระบี่แห่งเขาคุนที่ยอมหักไม่ยอมงอเปลี่ยนสภาพไปขณะคายเสียงแห่งสายลมและสายน้ำออกมา

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

          หลังจากปะทะกันสามครั้ง แถวสีดำทองของเหล่าเต่าที่เหมือนอุกกาบาตก็แตกออกจากกัน แต่ละตัวบินหนีออกไปคนละทิศละทาง จากนั้นก็ชนเข้ากับกำแพงภูเขา และพบจุดจบที่สยดสยอง หวังลู่เองก็รับแรงกระแทกจนร่างหมุนติ้วราวกับลูกข่าง

          เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์อาจไม่เฉียบคม แต่ก็ว่องไวและคล่องแคล่ว ตอนนี้หวังลู่เพิ่งแสดงความ ‘นุ่มนวลชนะแข็งแกร่ง’ ของเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ให้เห็น

          ทว่าทันทีที่หวังลู่หยุดหมุน บนใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยแดงผิดธรรมชาติขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานสามารถต้านทานการโจมตีต่อเนื่องของตบะขั้นสร้างแกนสามตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วจะไม่ให้มีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนได้อย่างไร หลังจากการปะทะกันสามครั้งนั้น จิตเซียนไร้ลักษณ์ก็แทบจำหลุดออกมา พลังวิญญาณขั้นปฐม พลังอิทธิฤทธิ์ และร่างกายของเขาต่างใช้พลังไปจนหมดสิ้น จนไม่อาจควบรวมพลังได้อีก ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดฮวบ

          “หนีเร็วหวังลู่!”

          แม้จะรู้สึกประหลาดใจในวิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่ที่ดูเชี่ยวชาญกว่าผู้เป็นอาจารย์ แต่เสี่ยวชีก็ไม่ลืมเตือนให้อีกฝ่ายเลิกอวดวิชาได้แล้ว

          สิบปีก็ไม่สายที่จะแก้แค้น ด้วยความสามารถของหวังลู่ เขาน่าจะบรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์ได้ในไม่ถึงสิบปี ถึงตอนนั้นการที่เขาจะท้าประลองข้ามขั้นกับอาเซี่ยก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เหตุใดจึงต้องดึงดันต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีสภาพได้เปรียบกว่าด้วยเล่า การต่อสู้ด้วยอารมณ์จะมีประโยชน์อะไร ส่วนเรื่องวิธีหนีนั้น หากใช้ยันต์สวรรค์ของสำนักกระบี่วิญญาณ เช่นนั้นค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตจะขัดขวางได้หรือ

          “หนี? ถ้าหนีตอนนี้ก็เข้าทางอีกฝ่ายที่จะต้อนให้ข้าใช้ยันต์สวรรค์ เพราะถ้าเราหนีตอนนี้ เราต้องใช้เวลาสองสามวันเป็นอย่างน้อยในการกลับมา แต่เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาคงกลบร่องรอยในการตามล่าตัวสัตว์เซียนภูตจันทราไปหมดแล้ว ยิ่งกว่านั้นตราบใดที่เรายังคิดที่จะได้หน้า เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับมาตามพัวพันพวกเขาไม่จบไม่สิ้น”

“เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารเรา ดังนั้นจึงแค่ต้องการให้เราออกไปจากที่นี่และประกาศชัยชนะ ทว่าต่อให้เป็นชัยชนะปลอมๆ อย่างในตอนนี้ ข้าก็ไม่ยอมให้เขาได้ไปหรอก”

          เสี่ยวชีพูดไม่ออก นางรู้จักนิสัยหัวดื้อไม่ยอมแพ้ของเหล่าศิษย์มากพรสวรรค์ในโลกบำเพ็ญเซียนดี เมื่อไม่เคยต้องถอยหลัง พวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีถอยหลัง เพราะหวังลู่เคยแต่เดินมุ่งตรงไปข้างหน้ามาตลอดโดยไม่เคยเจอกับทางที่คดงอเลย

          หากเขายืนกรานที่จะเอาหัวลงก่อนในการตีลังกาหลายๆ รอบ เช่นนั้นเขาคงได้เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากผู้เป็นอาจารย์มาแล้ว…งั้นก็ช่าง ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำแล้วกัน อย่างเลวสุดนางก็คงต้องสังเวยร่างอวตารนี้เพื่อปกป้องชีวิตเขา

          “ไม่อยากให้ข้าชนะหรือ” อาเซี่ยที่ชัยชนะอยู่เพียงแค่เอื้อมอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและยิ้มออกมา “นอกจากทักษะการต่อปากต่อคำของเจ้าที่ข้ายอมรับว่าสู้ไม่ได้ เจ้ามีโอกาสอันใดที่จะเอาชนะข้าได้ด้วยหรือ”

          ขณะพูด เขาก็เผยไพ่ตายอีกใบเพื่อเสริมท่าทีโอหังให้มากขึ้น

          สุนัขป่าสีแดงฉานราวเปลวเพลิงปรากฏกายอยู่ข้างๆ เขา สุนัขป่าปีศาจตัวนี้เปลี่ยนร่างมาเรียบร้อยและตอนนี้อยู่ในร่างของมนุษย์ซึ่งมีตบะขั้นสร้างแกนระดับสูง หนำซ้ำมันยังผสานตัวเองเข้ากับพลังของค่ายกลหมื่นสัตว์ร้าย เมื่อดูจากความแข็งแกร่งโดยรวม มันแข็งแกร่งกว่าเด็กสาวหูแมวที่อยู่ในขั้นสร้างแกนช่วงปลายอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อเทียบกับหวังลู่ที่ตอนนี้ไร้ซึ่งพละกำลังใดๆ ความแข็งแกร่งที่ว่าก็มากพอที่จะขจัดข้อได้เปรียบใดๆ ของอีกฝ่ายได้

          เมื่อได้เห็นสุนัขป่าปีศาจ เสี่ยวชีก็จิตตกทันที นางรีบเหลือบตามองหวังลู่ หากเขายังยืนกรานที่จะต่อสู้ เขาอาจไม่มีโอกาสเรียกใช้ยันต์สวรรค์ก็ได้ ดังนั้นนางจึงต้องรีบหยุดเขาเสียก่อน!

          ทว่านางกลับเห็นหวังลู่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่จริงใจไม่ได้ดูฝืนสักนิด

          “ในที่สุดเจ้าก็เผยไพ่ไม้ตายออกมา ข้ารอให้เจ้าเผยไพ่ใบนี้ตั้งนานแล้ว”

          จากนั้นเขาก็หยุดยิ้ม

          “เจ้าคงไม่มีไพ่เหลืออยู่ในมือแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ก็ถึงตาข้าละ”

ลำแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นในย่ามสีเหลืองตุ่นของเขา ทันใดนั้นคน เรือเหาะสีเงินเงาวับก็ปรากฏขึ้นในหุบเขาภายใต้สายตาตกตะลึงของทุก

          อึดใจถัดมา เรือเหาะสีเงินก็พุ่งทะยานไปบดขยี้เต่าลายดำทองที่เพิ่งฟื้นจากความตายด้วยพลังของค่ายกลหมื่นสัตว์ร้าย เจ้าเต่าตัวนั้นเพิ่งปรากฏร่างออกมา และก่อนที่มันจะทันรู้ตัวมันก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว!

          ครั้งนี้ร่างของมันละเอียดไม่เหลือดี ใจของอาเซี่ยกระตุก ทั้งที่อยู่ภายใต้ค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายแท้ๆ แต่ร่างของเจ้าเต่ากลับต้องหายไปตลอดกาล!

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “กายเนื้อจะไปสู้รถถังได้ยังไง อาเซี่ย บอกลาสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของเจ้าได้แล้ว!”