ภาคที่ 5 ตอนที่ 20 เนื้อและเลือด (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 20 เนื้อและเลือด (1) โดย Ink Stone_Fantasy

          “เจ้าคนฝึกสัตว์นี่เป็นแค่เศษสวะ”

หวังลู่ไม่ได้มีเจตนาจะพูดเสียงดัง แต่ก็ไม่คิดที่จะเบาเสียง เสียงของเขาไม่ดังมากก็จริง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ได้ยินหมด

รอยยิ้มของอาเซี่ยที่ลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทว่าหยิงเยียนที่อยู่ด้านข้างเห็นเต็มตาว่ามือที่ไพล่หลังอยู่ของอีกฝ่ายสั่นเล็กน้อยราวกับว่าเขาต้องการจะกำหมัด เห็นได้ชัดว่าดูกระวนกระวายใจ

“เศษสวะ? เป็นไปได้ยังไง” เสี่ยวชีเห็นว่าหวังลู่อยากจะพูดบางอย่าง ดังนั้นนางจึงตั้งใจเปิดโอกาสให้

“สมาชิกของสำนักชั้นสูงอย่างสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ บำเพ็ญเซียนมามากกว่าสองร้อยปี แต่ยังอยู่เพียงขั้นสร้างแกนระดับกลาง ไม่เรียกว่าเศษสวะแล้วจะเรียกว่าอะไร”

เสี่ยวชีขำ “อ้อ ความหมายของเจ้าตั้งแต่แรกก็คือขั้นตบะของเขาไม่ได้สูงส่งงั้นสินะ แต่เจ้าจะเทียบทุกคนกับตัวเองไม่ได้หรอกเจ้าปีศาจน้อย ในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่ ตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางถือว่าแข็งแกร่งเป็นเลิศในโลกบำเพ็ญเซียนแล้ว หนำซ้ำขั้นตบะก็ไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างด้วย…”

หวังลู่ขัดขึ้น “ปกติแล้วมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งมากพอเท่านั้นจึงจะไม่ใส่ใจเรื่องขั้นตบะ พวกที่ทรงพลังมากพอที่มองว่าการท้าประลองข้ามขั้นนั้นไม่ต่างจากการกินการดื่ม เป็นพวกเดียวที่มีสิทธิ์ชิงชังเรื่องขั้นตบะ แต่เจ้าคนฝึกสัตว์ผู้นี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการท้าประลองข้ามขั้น เอาแค่ในพวกระดับเดียวกันเอง เขายังไม่มีข้อได้เปรียบอะไรไปรับมือคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ หากพูดกันตามเชิงวิชาการแล้ว เขาเป็นแค่กากเดนของขั้นสร้างแกนระดับห้า -3 เท่านั้น”

“เขาเป็นคนฝึกสัตว์แถมยังเจ้าความคิดไม่น้อย ก็อาจไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขนาดนั้นก็ได้…”

“ใช่ นั่นแหละเหตุผลที่เขาเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกที่สวมหนังพญาราชสีห์ [1] เป็นเพียงคนชั่วช้าที่หวังพึ่งสัตว์ภูตเพื่อให้ตัวเองดูน่าเกรงขาม ภาพลักษณ์ที่ทรงพลังของเขาอยู่ที่การข่มเหงสัตว์ภูต ท่านก็เห็นนี่ หากเขาไม่กล้าอัดตูดหยิงเยียนที่มีตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย ลำพังแค่ตัวเขาเองใครจะคิดว่าแข็งแกร่งกัน”

“เรื่องนี้…”

“แม้แต่การที่เขาวางกับดักล่อให้เรามาติดค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตก็ไม่ได้เป็นเพราะความสามารถของเขาเพียงลำพัง คนที่เสียสละลูกนัยน์ตาเพื่อให้คุณหนูเจ็ดอย่างท่านใช้วิชาปลุกชีพคนตายก็คือหยิงเยียน คนที่เอาชีวิตตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อลวงท่านมาที่นี่และถูกระเบิดศีรษะจนตายก็คือหยิงเยียน คนที่ใช้เลือดของตัวเองสาปแช่งให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ต้องมัวหมองก็ยังเป็นหยิงเยียน ตลอดทุกขั้นตอนที่ว่ามานี้ หมอนั่นได้ทำอะไรบ้าง แม้แต่การเปิดใช้งานค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตเพื่อยับยั้งฝ่ายตรงข้าม สัตว์ภูตตัวอื่นของเขาก็อาจเป็นคนลงมือทำก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวเขาแน่”

เสี่ยวชียิ้ม “การที่สามารถควบคุมสัตว์ภูตได้จำนวนไม่น้อย และสามารถทำให้หยิงเยียนที่มีตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายยอมเสี่ยงชีวิตให้ตัวเอง สิ่งเหล่านี้ย่อมถือว่าเป็นความสามารถได้เช่นกัน”

“ความสามารถ? ความสามารถของใครกัน เขาเป็นแค่ตบะขั้นสร้างแกนระดับกลาง เขาทำยังไงถึงทำให้เด็กสาวหูแมวตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายยอมทำงานให้ตัวเองได้ ด้วยเสน่ห์ส่วนตัวหรือ หรือด้วยทักษะที่ติดตัวมา”

“เอ่อ ไม่แน่เขาอาจมีอำนาจเหนือเด็กนั่นก็เป็นได้”

“ท่านว่าเขาจะมีอำนาจเหนือเด็กแมวนั่นเพราะเสน่ห์ส่วนตัวหรือทักษะที่ติดตัวมางั้นหรือ”

“เรื่องนี้…”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “เป็นเพราะสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต่างหาก เขาเป็นผู้ฝึกสัตว์ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แน่นอนว่าย่อมมีสัตว์ภูตมากมายที่ถูกส่งไปให้เขาฝึก ระหว่างการฝึกนี้เอง ความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือนได้ตลอดกาลได้ถูกฝังแน่นลงไปในร่างกายของสัตว์ภูต ถึงแม้สัตว์ภูตเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์และบำเพ็ญเซียนสำเร็จในอนาคต พวกนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาได้ สรุปก็คือหมอนี่เป็นเพียงแมลงปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างของยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็เท่านั้น”

          กร๊อบ!

          หยิงเยียนที่อยู่กลางอากาศได้ยินเสียงกระดูกหักอย่างชัดเจน มันคือกระดูกนิ้วบนมือที่อาเซี่ยไพล่หลังไว้ซึ่งผิดรูปไปเพราะแรงกำหมัดของเขา

          ทว่าหวังลู่ก็ยังไม่เลิกพล่าม “หากเขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงแมลง ข้าก็ไม่มีอะไรจะว่าร้ายเขาได้ แต่น่าเศร้าที่คน ‘ตัวเล็กๆ’ มักจะหยิ่งยโส ละโมบและโอหังมากเกินไป เขาไม่ต้องการจะเป็นเพียงเศษสวะตบะขั้นสร้างแกนระดับกลาง ดังนั้นเขาจึงใช้สิทธิ์พิเศษในการเป็นคนฝึกสัตว์กดขี่เหล่าสัตว์ภูตเพื่อให้รู้สึกสุขใจว่าตัวเองเหนือกว่า พอเวลาผ่านไป การหลอกตัวเองของเขาก็เลยเถิดจนเขาคิดไปเองว่าตัวเองนั้นเก่งกาจ! คุณหนูเจ็ด ท่านท่องเที่ยวในอาณาจักรเก้าแคว้นมาหลายปี ท่านก็น่าจะเคยเห็นศิษย์ประเภทนี้ในหลายๆ สำนัก อาจเป็นเพราะพวกเขามีพรสวรรค์ไม่พอหรือมีความสามารถจำกัด ความสำเร็จของพวกเขาบนเส้นทางของผู้บำเพ็ญเซียนจึงต่ำต้อยกว่าพวกที่อุตสาหะหรือพวกที่มีพรสวรรค์ในรุ่นเดียวกัน ทว่าแทนที่จะสืบหาหนทางเพื่อให้ได้ไปต่อ พวกเขากลับยอมแพ้และไม่ใส่ใจในเรื่องนี้อีก พวกเขาเสียเวลาและกำลังกายไปกับการทำตัวเป็นจุดเด่น ทำสิ่งต่างๆ ลับๆ ล่อๆ รังแกคนอ่อนแอกว่าหวาดกลัวคนที่แข็งแรงกว่า จากนั้นก็จะยกย่องตัวเอง ถือว่าตัวเองมีชื่อเสียง ขณะที่คนอื่นๆ ในสำนักฝึกฝนกันอย่างหนัก พวกเขากลับไปมีเรื่องโดยไม่จำเป็น หรือไม่ก็ไปเตร็ดเตร่อยู่ในสถานที่ที่ผิดศีลธรรม และตอนที่เงินขาดมือ ก็ทำแม้กระทั่งขโมยเรือเหาะของคนอื่น และหาความบริสุทธิ์ให้ตัวเองว่าการขโมยเรือเหาะนั้นยังดีกว่าขโมยประเทศ… แล้วคนพวกนั้นแตกต่างอะไรจากผู้ฝึกสัตว์อาเซี่ย เขาเองเอาแต่ป่าวประกาศว่าตัวเองมาดี บอกว่าสันติสุขคือสิ่งล้ำค่า ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอวดตน ไม่ต่างจากพวกที่ข้ากล่าวมาก่อนหน้าแม้แต่น้อย หรือพวกที่เราเรียกกันว่ากากเดนสังคมยังไงเล่า”

          วาจายาวเหยียดนี้ทำให้เสี่ยวชีตื่นตะลึงเสียจนนางต้องเปล่งเสียงผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐมไปหาอีกฝ่าย “เจ้ามันเป็นเทพมาจุติแท้ๆ! เหลือเชื่อจริงๆ! แค่คำพูดไม่กี่คำจากปากคนอื่น เจ้าก็สามารถวิเคราะห์หมอนั่นได้อย่างละเอียดแถมยังให้ข้อสรุปที่ฟังดูเชื่อถืออีกต่างหาก! แต่เขาเป็นแค่กากเดนจอมอวดเบ่งใจมดแน่หรือ”

          หวังลู่ตอบกลับ “ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นหรือไม่เป็น ยังไงซะข้าก็พูดออกไปหมดแล้ว!”

          “…”

          “วางใจเถอะ อย่างน้อยก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ข้ามองไม่ผิด หมอนั่นภูมิใจในตัวเองมาก และพึงพอใจในวิธีการของตัวเอง ทว่ายิ่งเขาภูมิใจในตัวเองมากเท่าไร คำพูดของข้าก็ยิ่งสั่นคลอนเขาได้มากเท่านั้น ดังนั้นหากข้ายังพูดจาดูแคลนเขาอย่างที่ทำอยู่ เขาย่อมไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้ และถ้าจิตใจของเขาขุ่นข้องขึ้นมา เขาจะเผลอเผยจุดอ่อนออกมาเอง”

          เสี่ยวชีเงยหน้าขึ้นไปมอง ร่างกายของอาเซี่ยแข็งทื่ออย่างที่คาดไว้ แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม แต่มันกลับดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

          “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า” เสี่ยวชีถอนหายใจอย่างไม่เสแสร้ง “ยัยหวังอู่ไร้ศีลธรรมนั่นจะได้เจ้าที่มีความฉลาดทางอารมณ์ทะลุกรอบเป็นศิษย์”

          หวังลู่กล่าว “ความฉลาดทางอารมณ์ของข้าจะทะลุกรอบได้ยังไง ก็แค่ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ ข้าเห็นตัวร้ายประเภทนี้มานับครั้งไม่ถ้วน หากข้ามองวิธีการของพวกเขาออก ข้าก็จะเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที”

          ขณะที่คนทั้งสองพูดจากันอยู่นั้น อาเซี่ยก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

          “พูดได้ดี แต่กดขี่สัตว์ภูตเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าฟังดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่” น้ำเสียงของอาเซี่ยดูสงบและเยือกเย็น ไม่ได้มีร่องรอยของความโกรธขึงแม้แต่น้อย

          “ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตีราคาว่าเป็นกากเดน ข้าคงต้องกำราบผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์เพื่อให้รู้สึกเหนือกว่าจริงๆ น่าเสียดายที่คิดว่าจะตกลงกับพวกเจ้าได้อย่างสันติ ดูเหมือนข้าจะประเมินพวกเจ้าสูงไปหน่อย” อาเซี่ยกล่าวจากนั้นก็ผงกศีรษะ ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็ดังก้องขึ้นมาทันที

          “ข้าเป็นผู้ฝึกสัตว์ ข้าภูมิใจในอาชีพและทักษะของตัวเอง และหากเจ้าอยากพิสูจน์ว่าเส้นทางที่ข้าเลือกนั้นไร้ค่า งั้นก็ใช้วิธีใดก็ได้เอาชนะข้าให้ได้สิ”

ขณะที่พูด สัตว์ภูตหลากชนิดก็เดินตามหลังกันมาหยุดอยู่ข้างๆ อาเซี่ย แม้สัตว์ภูตเหล่านี้จะไม่ได้มีระดับสูงส่ง ตัวที่ดูทรงพลังที่สุดอยู่แค่เพียงขั้นพิสุทธิ์ช่วงปลาย และส่วนใหญ่เป็นขั้นพิสุทธิ์ระดับกลาง แต่ในเมื่อพวกมันมีจำนวนมากอีกทั้งยังอยู่ในถิ่นของตัวเอง จึงย่อมได้ค่ายกลช่วยเสริมแรงด้วยอีกทาง

          “ไม่ดีแน่ เหมือนค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายเลย” เสี่ยวชีหรี่ตาและระบุวิธีของอีกฝ่าย

          เมื่อสัตว์ร้ายจำนวนมากเข้าแถวเรียงกันเป็นค่ายกลหมื่นสัตว์ร้าย ประสิทธิภาพที่สุดยอดของมันก็คือผลลัพธ์ทวีคูณ หนึ่งกลายเป็นสิบ สิบกลายเป็นร้อย ทำให้จำนวนสัตว์ที่มากมายอยู่แล้วมหาศาลขึ้นเทียบเท่ามหาสุมทร เมื่อรวมเข้ากับค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิต แม้อีกฝ่ายจะเก่งกล้าเพียงไร ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไม่ติดกับดักค่ายกลสัตว์ร้ายไม่รู้จบนี้

          อาเซี่ยเป็นเพียงกากเดนจอมอวดเบ่งหรือไม่ ความจริงดูเหมือนจะประจักษ์ในชั่วการปรายตามองนี้เอง

          “หากเราคิดจะสู้จริงๆ โอกาสชนะคงมีไม่มาก” หลังจากที่คิดคำนวณอยู่ในใจ เสี่ยวชีก็พบว่าโอกาสชนะนั้นห่างไกลจากคำว่าดีอยู่มากโข ทว่าหวังลู่กลับตอบด้วยทีท่าสบายๆ “เรื่องนั้นไม่สำคัญ สู้ก่อนเลยดีกว่า”

          …เอาละ ในเมื่อตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางยังกล้าเอ่ยอาวากินใจเช่นนี้ แล้วศิษย์พี่ที่มีตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางจะพูดอะไรได้อีก สู้ก่อนก็แล้วกันจากนั้นค่อย…

          ไม้เท้านักบวช อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเสี่ยวชีถูกเลือดของเด็กสาวหูแมวทำให้แปดเปื้อน ดังนั้นมันจึงใช้การไม่ได้ชั่วคราว ทว่าอาวุธวิเศษสำรองของนางก็มีถมเถ นางดึงเอาไม้เท้าสีเขียวที่มีกลิ่นเลือดตลบอบอวลออกมาจากแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนี้เข่นฆ่าชีวิตมาไม่น้อย ทว่าทันทีที่อาวุธวิเศษนี้ปรากฏโฉม สุนัขภูตจำนวนไม่น้อยที่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศก็ผงะถอยหนีไป

          “…สมกับเป็นนักบวชเซนเนื้อสุนัข แม้แต่อาวุธก็ดูมีความเป็นมืออาชีพ” ในฐานะนักเรียนที่ยอดเยี่ยมสุดของสำนักกระบี่วิญญาณ พริบตาเดียวหวังลู่ก็รู้ว่าสิ่งนี้คือไม้เท้าที่ทำขึ้นเพื่อกำราบสุนัขโดยเฉพาะ

          ทว่านอกจากสุนัขภูตแล้ว สัตว์ร้ายสายพันธุ์อื่นๆ ยังมีจำนวนมหาศาล และด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียวของอาเซี่ย พวกมันก็ทวีคูณขึ้นจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากนั้นเหล่าสัตว์ภูตมากมายก็ตกลงมา ราวกับว่ามีฝนดาวตกหล่นจากฟากฟ้าลงมาใส่

          “ตั้งรับเต็มกำลัง รอดูอีกนิดซิว่าหมอนั่นจะมีอะไรอีก”

          หวังลู่กล่าว จากนั้นกระบี่แห่งเขาคุนในมือก็สั่นขึ้น ทันใดนั้นกระบี่ตั้งรับชื่อดังก็เริ่มทำงาน ช่วยปกป้องเขา ฉวนโจ่วฮวาและหลิวหลี

…………………………………………

 [1] การใช้สายสัมพันธ์ที่ทรงอำนาจข่มขู่ผู้อื่น